การนำประเด็นทางการเมืองขึ้นมาพูดคุยในที่สาธารณะของไทยในช่วงปลายทศวรรษ 2550 นั้น อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไรนัก เพราะนั่นอาจไปสะกิดต่อมความไม่พอใจของคณะรัฐประหาร ซึ่งอาจทำให้คุณถูกรายล้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจำนวนหลายสิบนายในเวลาต่อมา และพาไปที่ไหนสักแห่งที่คุณไม่รู้จัก เพื่อพิพากษาคุณว่าเป็น ‘ภัยความมั่นคงของชาติ’ จากนั้นคุณอาจถูกดำเนินคดีทางการเมืองสัก 1-2 คดี และถูกกักขังอิสรภาพของคุณในเรือนจำที่ใดสักแห่งได้
บริบทเหล่านี้เกิดขึ้นเป็น ‘ปกติ’ ภายหลังการรัฐประหารปี 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกำลังพลเข้าปิดสวิตช์ประชาธิปไตย ด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้กำกับของทหาร หลังจากนั้นประเด็นทางการเมืองก็กลายเป็นเรื่องที่อ่อนไหว ที่เวลาใครต่อใครพูดถึงก็มักลงเอยด้วยการติดคุกติดตะราง ไม่ก็ต้องลี้ภัยไปยังต่างประเทศ
ท่ามกลางภาวะที่เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองถูกปราบปรามถึงขีดสุด อัญชัญ ปรีเลิศ ข้าราชการกรมสรรพากร มองเห็นความผิดปกติของประเทศอย่างชัดเจน เธอพยายามเคลื่อนไหวด้วยวิธีที่สันติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการแชร์คลิปเสียงของผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกันกับเธอบนโลกออนไลน์
แต่มูฟเมนต์ที่แทบไม่เป็นพิษเป็นภัยนี้ทำให้อัญชัญถูกบุกจับภายในบ้าน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 ด้วยคดีทางการเมืองที่มีโทษจำคุกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 87 ปี ก่อนลดโทษลงครึ่งหนึ่งเหลือ 43 ปี 6 เดือน และได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา สิ้นสุดการรอคอยอิสรภาพภายในเรือนจำเป็นระยะเวลาถึง 8 ปี 4 เดือน
ในวาระที่ความเป็นมนุษย์และอิสรภาพกลับคืน ปีนี้จึงเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงที่ชื่อ อัญชัญ ปรีเลิศ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งสถานะจากผู้ต้องขังสู่พลเมือง จากข้าราชการสู่คนว่างงาน รวมไปถึงอายุที่เข้าสู่วัยชราเต็มรูปแบบ เป็นเหตุผลให้พาเธอมาพูดคุยในคอลัมน์ Another Year คอลัมน์ที่ว่าด้วยผู้คนและความเปลี่ยนแปลง ให้เธอเล่าแบบยาวๆ ว่า ปีที่ผ่านมาชีวิตของเธอเป็นอย่างไร พร้อมกับฉายภาพการใช้ชีวิตในฐานะของคนธรรมดาอีกครั้ง
ปีนี้ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
จะเรียกว่าเป็นปีแห่งอิสรภาพก็ว่าได้ เพราะเราออกจากเรือนจำหญิงเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 หากถามว่ารู้สึกอย่างไร ก็คงรู้สึกดีใจที่ได้ความเป็นมนุษย์ที่ตนรอคอยมานานกลับคืนมา หลังจากใช้ชีวิตอย่างขาดอิสรภาพภายในเรือนจำ ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
นอกจากการพ้นโทษ อีกอย่างที่มองว่าเป็นเรื่องดีๆ ของปีนี้คือการขึ้นรับรางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 เป็นรางวัลสำหรับผู้ขับเคลื่อนสังคมประชาธิปไตยที่ทางสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีมติมอบรางวัลนี้ให้ ซึ่งทำให้ภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ไม่คิดว่าผู้หญิงอายุมากแบบเราจะถูกมองเห็นว่ามีความสลักสำคัญควรได้รับรางวัลนี้
นั่นเท่ากับว่า ปี 2568 เป็นปีที่รอคอยมานาน ต่อไปนี้จะทำอะไรก็ได้ เพราะชีวิตไม่ได้ถูกบังคับเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
การเปลี่ยนสถานะจากข้าราชการสรรพากร สู่ผู้ต้องขังทางการเมืองน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของคุณหรือเปล่า
ใช่ โดนจับครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2558 แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าเรือนจำ เขาพาไปยังสถานที่หนึ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ในค่ายทหารก่อน พอวันที่ 30 มกราคม 2558 ถึงจะส่งเราขึ้นศาลทหาร ซึ่งไม่สามารถประกันตัวได้ จากนั้นก็จับเข้าเรือนจำในวันนั้นเลย
ที่อยู่ของเราจะอยู่ในแดนกับกลุ่มนักโทษหน้าใหม่ ตอนเข้าห้องขังจำได้ว่าตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่ยังพอมองเห็นสภาพข้างใน เห็นครั้งแรกก็ตกใจเลย ในนั้นคนแน่นมาก แทบไม่มีที่ว่าง แต่ละคนนอนเอาหัวกับตีนชนกัน ผ้ารองนอนยังปูเต็มผืนไม่ได้ ต้องพับแล้วพับอีกให้พอสำหรับตะแคงนอน จังหวะนั้นก็คิดในใจว่าเราจะนอนอย่างไร ใจหนึ่งก็ตั้งคำถามว่าทำไมตัวเองต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ มันใช่ที่อยู่ของเราจริงๆ เหรอ
พอคิดย้อนกลับไปก็เศร้านะ เป็นความทรมานที่เราไม่เคยผจญกับมันมาก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องทนอยู่ในนั้นเกือบ 4 ปี ก่อนได้รับการประกันตัวออกรอบแรกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เพื่อรอการพิจารณาคดี
มีช่วงหนึ่งได้ออกมาอยู่ข้างนอกเรือนจำ 2 ปี น่าจะเป็นเพราะอยู่ระหว่างการย้ายคดีจากศาลทหารไปอยู่ในความรับผิดชอบของศาลยุติธรรม เราจึงมีเวลาใช้ชีวิตนอกเรือนจำนานหน่อย ช่วงว่างๆ นี่แหละที่มีโอกาสคุยกับทีมทนายฯ ของตัวเอง เขาว่าคดีนี้สู้ให้ชนะยาก ก็คิดแล้วว่า หากเป็นแบบนั้นเราก็จะรับสารภาพไปเลย ท้ายที่สุดศาลจึงพิพากษาให้โดนโทษไป 43 ปี 6 เดือน นี่คือโทษที่ลดลงกึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่ลดคือจะต้องติดคุกถึง 87 ปี ชีวิตของเราก็กลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกรอบในวันที่ 19 มกราคม 2564
ย้อนกลับไปยังวันที่ตำรวจกับทหารบุกจับกุมคุณในบ้านพัก คิดไหมว่าการกระทำเพียงแค่แชร์คลิปเสียงวิพากษ์การเมืองจะทำให้คุณต้องอยู่ในเรือนจำยาวนานขนาดนี้
ไม่คิดเลย ในหัวมีแต่คำถามว่า คนอื่นๆ เขาก็แชร์คลิปเสียงนี้กันเยอะแยะ คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นข้าราชการแบบเราเขาก็ฟังคลิปที่เราแชร์กันตั้งมากมายทำไมไม่เห็นเขาจะมีปัญหาอะไร เพราะคลิปที่เราแชร์มีอยู่มากมายและมีการเผยแพร่มาตั้งนานแล้ว
ทำไมการเมืองจึงอยู่ในความสนใจของคุณในช่วงเวลานั้น
น่าจะเป็นเพราะการรัฐประหารปี 2557 ที่ทำให้ตั้งคำถามว่า ทำไมเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเดี๋ยวก็รัฐประหารกัน ทำไมคนดีๆ ขึ้นมาบริหารบ้านเมืองแล้วอยู่ไม่ได้ ทำไมประเทศยังคงย่ำอยู่ที่เดิมวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้กันแน่
บอกกันตามตรงว่า เราอยากรู้ข้อเท็จจริงว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศนี้มีสาเหตุมาจากอะไร ซึ่งวิธีแสวงหาข้อเท็จจริงคือการฟังวิทยากรใต้ดิน ถึงได้รู้ว่า อ้อ สาเหตุนี้สินะที่ทำให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้
คุณคิดว่าจากประชาชนที่อยากรู้อยากเห็นในประเด็นทางการเมือง สู่ผู้ต้องขังทางการเมือง เกิดขึ้นได้อย่างไร
เป็นเพราะความบิดเบี้ยวของ กฎ กติกา และกฎหมาย คนเขาแชร์กันถมเถ เราแชร์บ้างจะเป็นอะไรไป คนอื่นๆ ที่แชร์กันเขาก็ไม่เห็นจะโดนอะไร ในบรรดาคนที่ถูกจับเหมือนกันก็โดนลงโทษเพียงกรรมเดียว แม้แต่เจ้าของคลิปเสียงยังโดนเพียงกรรมเดียว แต่เราที่เป็นคนแชร์โดนไป 29 กรรม คนอื่นๆ ออกจากเรือนจำกันไปหมดแล้ว แต่เรายังคงต้องอยู่ในนั้นต่อไป ประกันตัวออกมาแล้วก็ยังต้องกลับไปอยู่ในคุกอีก คิดดูว่าความเป็นธรรมสำหรับเราอยู่ตรงไหน หรือเพราะเราเป็นข้าราชการจึงโดนลงโทษโดยไม่มีความเป็นธรรมแบบนี้
ข้าราชการพูดคุยเรื่องการเมืองไม่ได้หรือ
ข้าราชการเขากลัวกันจะตาย (หัวเราะ) พวกนี้ไม่มีใครกล้าแสดงออกหรอก เขาแตะต้องการเมืองไม่ได้ แต่เมื่อเกิดความผิดปกติในประเทศนี้เขาก็รู้กันภายในว่า มีสาเหตุมาจากอะไร หลายคนก็มีมุมมองคล้ายๆ กับเราเสียด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาคุยกันเรื่องการเมืองไม่ได้นะ เขาคุยได้ เพียงแต่ไม่แสดงออกทางการเมืองเท่านั้น เพราะเขากลัว ประเทศนี้มีกฎหมายบางอย่างที่ทำให้เขากลัว
ที่เอาเราเข้าคุกคงเพราะอยากให้เราหลาบจำ หรือไม่อยากให้ไปยุ่งเรื่องการเมืองกระมัง ทำนองเชือดไก่ให้ลิงดู หากคุณทำแบบนี้ หากคุณแตะต้องประเด็นนี้ คุณโดนนะ สำหรับเรา สิ่งที่ทำคือการแสวงหาข้อเท็จจริงทางการเมือง ดังนั้นอะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด
คุณถูกจับเพราะต้องการแสวงหาบางอย่าง ความไม่ปกติของระบอบประชาธิปไตยไทย วันนี้ได้รับคำตอบแล้วหรือยัง
ได้อยู่แล้ว ได้คำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่พูดมากไม่ได้ เพราะจะทำให้ลำบากกันอีก พูดได้เพียงว่า ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ทำให้การเมืองผิดเพี้ยนไปหมด หากผู้มีอำนาจคนนั้นไม่ชอบนักการเมืองคนใด คนนั้นก็ขึ้นมามีอำนาจไม่ได้ ต้องถูกกำจัด
เลือกตั้งปี 2566 เราเลือกคนรุ่นใหม่ด้วยความดีใจ ก็ยังคิดอยู่ว่าเขาจะได้เป็นรัฐบาลไหม สุดท้ายก็ถูกกำจัดอยู่ดี แล้วประเทศไทยเมื่อไรจะดีขึ้น คนรุ่นใหม่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองไม่ได้เชียวหรือ จะต้องเอารุ่นแก่ๆ ที่เข้ากับผู้มีอำนาจแบบคุณได้มาบริหารอย่างเดียวหรือ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ประเทศนี้มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ
เราควรให้โอกาสคนรุ่นใหม่ที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางหรือเปล่า สิ่งต่างๆ ที่เขาเรียกร้องควรจะเอามาพิจารณาบ้างหรือไม่ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไป แต่นี่อะไรไม่เอาอะไรเลย จะเอาแต่พรรคพวกตัวเอง
อีกกี่ปี ประเทศไทยจะเจริญ
สงสัยว่าเราคงตายก่อนละมั้ง แต่ก็มีความหวังกับคนรุ่นใหม่นะ หวังว่าเขาคงจะไม่ยอมทิ้งลูกหลานให้ต่อสู้กับปัญหาที่พวกเขาเคยเจอหรอก หวังว่าเขาจะใช้พลังความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้ตัวเองมีพลังต่อรองทางการเมืองขึ้นมาได้
พูดแบบนี้อาจเกิดคำถามอีกว่าแล้วความหวังที่ว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้หรือเปล่า คำตอบคือ ‘กาลเวลา’ เท่านั้นแหละที่จะพาไปถึงจุดนั้น ซึ่งสำหรับเราตอนนี้เวลาเหลือน้อยแล้ว เดี๋ยวก็ตาย แต่คนรุ่นใหม่เขายังมีเวลาให้แก้ไขบางอย่างในทางการเมืองได้ เราเชื่อแบบนั้น
คุณทำให้ตัวเองอยู่ได้ในพื้นที่ที่กักขังอิสรภาพของคุณไว้ด้วยวิธีใด
เอาเข้าจริงๆ ก็มีช่วงเวลาที่รู้สึกเซ็งๆ เบื่อๆ หรือบางวันก็รู้สึกสดชื่นปะปนกันไป แต่สิ่งที่ทำให้ได้รับกำลังใจก็มาจากแคมเปญ Write for Rights ที่ให้คนนอกเรือนจำเขียนจดหมายส่งเข้ามาให้คนที่อยู่ในคุก ซึ่งสำคัญกับนักโทษทางการเมืองมาก ในแง่ของกำลังใจ จดหมายที่ส่งเข้ามาแต่ละฉบับบ่งบอกว่า อัญชัญ ปรีเลิศ ยังคงมีคนสนใจและรอเราอยู่ข้างนอกรั้ว เราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ยังมีคนที่พยายามจะเข้าใจและต่อสู้เพื่อเรา เพราะสิ่งนี้เลยที่ทำให้ผ่านช่วงเวลามืดมิด และผ่านสิ่งต่างๆ จนออกมารับแสงข้างนอกห้องขังได้
การรอคอยการพระราชทานอภัยโทษมานานกว่า 8 ปี ได้สิ้นสุดลงแล้ว ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นกับคุณเป็นอย่างไร
อิสระเกิดขึ้นกับเราแล้ว ต่อจากนี้ฉันจะทำอะไรก็ได้ แล้วก็มาตกใจตรงที่มีคนมารอรับเรา หอบดอกไม้มารออยู่ที่หน้าเรือนจำเยอะมาก กองทัพนักข่าวมากันเต็มไปหมด
คิดในใจว่า มีคนสนใจฉันขนาดนั้นเชียวหรือ ถึงจะไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่มันก็ตื้นตันอยู่ข้างใน ตอนนี้ดอกไม้เต็มกระถางหมดที่บ้าน ดีใจที่ทุกคนยังไม่ลืมเรา
เพราะพวกเขามองคุณเป็นภาพแทนการต่อสู้ของพวกเขาหรือเปล่า
ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นมั้ง (หัวเราะ) จำได้ว่ามีน้องๆ บางคนเคยเขียนจดหมายส่งให้เราในคุกว่า เราเป็นไอดอลของเขา เพราะเราอดทน แข็งแกร่ง อยู่ในคุกมาได้ 8 ปีกว่า
ติดคุกมา 8 ปี คุณรู้สึกว่าบ้านเมืองมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนที่เราจะเข้าคุก หรือหลังออกจากคุก ก็ไม่เห็นประเทศจะเดินหน้าเลย คนสัมภาษณ์เห็นว่ามันเดินหน้าไหมล่ะ ยิ่งแย่กว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ อายุของพวกเรานี่สิยังเดินหน้าอยู่ แต่ประเทศไทยไม่เดินหน้าเลย
หากว่าการขังอิสรภาพของ อัญชัญ ปรีเลิศ เกิดขึ้นเพราะต้องการให้คุณหยุดพูดเรื่องการเมืองตลอดชีวิต คุณคิดว่าเขาทำสำเร็จหรือเปล่า
ถามว่าสำเร็จไหม สำเร็จแค่การทำให้เรากลัวจนหยุดวิพากษ์วิจารณ์เขาไปพักหนึ่ง แต่การจับเราเข้าคุกคงไม่สามารถหยุดความคิดหรือการกระทำทางการเมืองของเด็กรุ่นใหม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เลย
เขาอาจจะไม่ได้แสดงออกทางการเมืองแบบที่เราเคยทำ แต่ท้ายที่สุดเขาก็จะหาวิธีอื่นๆ ในการเคลื่อนไหวที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเจอกับการเล่นงานของกฎหมาย เราไปเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาไม่ได้หรอก
สำหรับเรา เขาปิดปากเราได้ในบางครั้งเมื่อมีโอกาส แต่เขาจะปิดปากเราไปตลอดไม่ได้อยู่แล้ว ความคิดของเราเขาห้ามไม่ได้ ฉะนั้นจึงตอบได้ว่า เขาทำไม่สำเร็จ สุดท้ายคนก็จะพูดการเมืองแบบปากต่อปาก กับคนที่มีความคิดเหมือนๆ กันอยู่ดี เขาปิดปากเราไม่สนิทหรอก แต่เราจะไปโพสต์เหมือนแต่ก่อนคงทำไม่ได้แล้ว
แสดงว่าคุณจะยังเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลาต่อจากนี้ไปใช่หรือไม่ หรือใจจริงๆ แล้วอยากจะพักเรื่องการเมืองไปเลย
มันหยุดไม่ได้ อย่างไรก็ต้องแสวงหา ต้องอ่าน ต้องเห็น นิสัยความอยากรู้มันฝังอยู่ในตัวเรา แต่ก็คงจะแสดงออกทางการเมืองในที่สาธารณะมากเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่แสดงออก เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนเป็นการแสดงออกในรูปแบบอื่น เพราะเราเพิ่งออกจากเรือนจำในฐานะนักโทษทางการเมือง อย่างไรเขาก็ต้องจับตามองเราอยู่
หน้าที่นี้ให้เป็นของคนรุ่นใหม่ต้องรับช่วงต่อไป เราอายุมากแล้ว จึงทำได้แต่เฝ้ารอคอยความเปลี่ยนแปลง การเมืองต่อจากนี้มันเป็นภาระของเขาจริงๆ หากพวกเขาต้องการเมืองมีหน้าตาเป็นแบบไหน พวกเขาก็ต้องทำกันเอาเอง
คุณหมดหวังกับการเปลี่ยนแปลงหรือยัง
ก็ไม่หมดหวังหรอก ตราบใดที่คนรุ่นใหม่ยังคงแสดงออกเมื่อมองเห็นว่าสิ่งใดไม่ถูกต้อง ก็ได้แค่รออย่างมีความหวัง เพราะเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
มุมมองส่วนตัวนะ ตอนนี้เรามีอิสรภาพทางกายและไม่ได้ถูกจำกัดด้วยบางสิ่งบางอย่างแล้วก็จริง แต่การพูด การวิพากษ์วิจารณ์ เรายังคงถูกจำกัดอยู่ เราไปพูดสิ่งที่ล่อแหลม เคลื่อนไหวทางการเมืองบนโซเชียลฯ ไม่ได้ ขนาดแม่ค้ายังโดนจับยัดคดีทางการเมืองเลย จะเอาอะไรกับประเทศนี้
เรารู้สึกว่า เขาใช้คดีทางการเมืองเชือดให้คนกลัว เรายังถูกกระทำด้วยกฎหมายที่เป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจในประเทศนี้กระทำอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้แตะต้อง ก็ตั้งคำถามเหมือนกันว่า ทำไมประเทศนี้จึงไม่มีระบบการเมืองหรือพื้นที่ให้วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองได้แบบญี่ปุ่น หรืออังกฤษเขา ประเทศนี้เป็นบ้าอะไร วิจารณ์อะไรก็ไม่ได้ จะต้องโดนยัดเข้าคุก
จะใช้ชีวิตอย่างไรในอิสรภาพที่ยังได้กลับมาไม่ทั้งหมด
ก็คงต้องระมัดระวังการดำรงชีวิตของเรามากขึ้น เพราะตอนนี้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนไปมาก เราไม่มีบำนาญข้าราชการเพราะถูกยกเลิก แทนที่เราจะมีเงินมีทองสำหรับใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เราก็ต้องจำกัดจำเขี่ยตามอัตภาพที่เรามี ชีวิตเราคงจะดำเนินไปเรื่อยๆ บอกกับตัวเองว่า ขอแค่อย่าใช้ชีวิตจนทำตัวเองอดอยากไม่มีอะไรกินก็พอ ความมานะ อดทนของตัวเองยังมีอยู่ ก็คงจะต้องนำมาเป็นพลังในการใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่เบียดเบียนใครเขา และสิ่งที่เราเคยหวังเอาไว้ในอดีตบางอย่างก็คงต้องหยุดหวัง เช่น ความหวือหวาในชีวิตคงจะไม่มีแล้วหลังจากนี้
คำว่า อยู่ไปวันๆ ของเราก็คือ แค่อย่าทำให้ชีวิตของเรามันเศร้าหมองอะไรมากมาย มีอะไรทำเราก็ทำไป เรามีแมว 2 ตัว มีเพื่อนที่รักเรา เราก็ไปหาเพื่อน อยากไปทำอะไร อยากไปร้องเพลง เราก็ไปกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเพื่อนเสียที่ไหนกันล่ะ มันมีอยู่แล้วคนที่เข้าใจเราน่ะ
มีแค่คนเดียวก็ยังดี มีโอกาสก็ไปเที่ยวกับเพื่อน สังสรรค์กับพวกเขาบ้าง ตอนนี้ก็คิดอยู่ว่าจะทำอะไรให้มันได้เงินกันดี จะขายอะไรกันดีล่ะ
อยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหนในอีก 12 เดือนต่อจากนี้
สิ่งที่เราพูดมันก็ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก แต่ก็ขอพูดว่า เราก็อยากเห็นตัวเองเป็นคนมีเงินมีทอง คิดอยากจะทำอะไรก็ทำได้ อยากจะไปไหนก็ไป อยากซื้ออะไรก็ซื้อ
ไม่แน่นะ ในช่วงชีวิตต่อจากนี้อาจจะมีอะไรเข้ามาก็ได้ ใครจะไปรู้ เราก็ต้องมีความหวัง ถูกไหม หากในวันนั้น เวลานั้น เรามีเงินสักก้อนเข้ามาเราก็จะใช้ชีวิตให้มีความสุข อยากไปต่างประเทศ อยากไปเที่ยวไหนก็จะไป ส่วนตัวเราอยากไปเที่ยวแถวยุโรปเพราะยังไม่เคยไป ให้การท่องเที่ยวเป็นกำไรชีวิตให้ตัวเอง เพราะเราเองก็แก่ตัวมากแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าปีหน้าจะมีมีสิ่งดีๆ เข้ามา
ทิ้งท้ายสักนิด สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากปี 2568 คืออะไร
จะพูดอะไรต้องระวัง
Tags: สังคม, นักสิทธิมนุษยชน, ม.112, นักโทษทางการเมือง, Another Year Another Milestone, ลดต้นทุน, อัญชัญ ปรีเลิศ, Another Year Another Milestone 2025, การเมือง, อิสรภาพ, ประชาธิปไตย




