“เมื่อไรก็ตามที่คุณเชื่อคำโกหกมานานเกินไป ความจริงจะไม่ช่วยให้คุณเป็นอิสระ —มันจะฉีกกระชากคุณออกเป็นชิ้นๆ”
Altered Carbon คือซีรีส์ไซเบอร์-พังค์ของเน็ตฟลิกซ์ที่ปล่อยซีซั่นแรกออกมาในปี 2018 และกวาดเรตติ้งถล่มทลาย เพราะมันไม่ใช่แค่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นไซ-ไฟแอ๊คชั่นล้างผลาญ แต่ยังว่าด้วยปรัชญาการเกิดการดับของมนุษย์ ในโลกอนาคตซึ่งมนุษย์เก็บจิตวิญญาณกับตัวตนไว้ใน ‘สแต็ค’ และร่างกายทั้งหมดเป็นเพียง ‘เปลือก’ ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้โดยถ่ายย้ายสแต็คที่ฝังไว้ตรงท้ายทอย ดังนั้น วิธีการฆ่าให้ได้ผลอย่างเด็ดขาดคือการทำลายสแต็คหรือตัดอวัยวะตรงท้ายทายออกมาทำลายนั่นเอง
อย่างไรก็ดี เปลือกของมนุษย์นั้นมีราคาค่างวด ยิ่งเปลือกที่รูปร่างสวยงามก็ยิ่งมีราคาแพง จึงมีแค่เพียงเหล่าคนรวยไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิในการยึดครองเปลือกได้หลายรูปแบบ เปลี่ยนเปลือกได้ตามใจชอบหรือคัดลอกเปลือกนั้นไว้หลายๆ ชุดเพื่อสำรองใช้เผื่อวันที่เปลือกที่สวมอยู่ชำรุด (บาดเจ็บ) ขึ้นมา ในทางกลับกันคือเหล่าคนจนจำเป็นต้องใช้เปลือกเอื้ออาทรหรือเท่าที่พอจะหาได้ตามเงินที่มีหรือตามที่รัฐบริจาค ครอบครัวที่จนมากๆ จึงต้องฝืนใจใส่สแต็คของลูกในร่างนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือใส่สแต็คของคุณยายในร่างมือสังหาร ไปพร้อมกันนี้ หลายคนก็พร้อมจะแลกตัว พลีกายด้วยเรือนร่างจนตายด้วยเงินจากชนชั้นบน ซึ่งสัญญาว่าหากพวกเขาตายจะเปลี่ยนเปลือกใหม่ให้เขา และให้คนจนเหล่านี้ต่อสู้กันเองด้วยมือเปล่าจนกว่าจะขาดใจ หรือขึ้นเตียงด้วยแล้วร่วมรักจนร่างฉีกขาด ฯลฯ
ความเหลื่อมล้ำในสังคมขยายกว้างขึ้น ทาเคชิ โคแวคส์ คือเอนวอยหรือนักรบเชี่ยวชาญพิเศษที่เข้าร่วมกลุ่มปฏิวัติเพื่อล้มล้างความห่างชั้นของมนุษย์ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เขาถูกแช่แข็งนานสามร้อยปี และตื่นขึ้นมาอีกทีในเปลือกของใครคนอื่น
นั่นคือพล็อตคร่าวๆ ของ Altered Carbon ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อเดียวกันเมื่อปี 2002 ของ ริชาร์ค เค มอร์แกน นักเขียนชาวอังกฤษ มันจึงเป็นซีรีส์แอ็กชั่นโลกอนาคตที่กว่าครึ่งดำเนินไปด้วยความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้อ ทั้งยังวิพากษ์ปรัชญาการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ปรากฏตั้งแต่เวอร์ชั่นนิยายของมอร์แกนแล้ว ซึ่งเขาอธิบายว่า “หัวใจหลักของมันคือ เราคุยกันถึงเรื่องกรรมและความเจ็บปวดที่คุณต้องเผชิญในชีวิตนี้อันเป็นผลมาจากการกระทำของชีวิตในอดีตของคุณ ซึ่งคุณอาจไปทำเรื่องเลวร้ายไว้ ผมได้ไอเดียนี้มาจากการศึกษาศาสนาพุทธน่ะ” มอร์แกนสาธยาย “มันตั้งต้นมาจากว่า ถ้าสมมติเราทนทุกข์และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมเราต้องทนกับมัน เราไปทำอะไรไว้ แบบนี้มันไม่ถูกนี่นา”
หากแต่ในเวอร์ชั่นซีรีส์ซีซั่นแรก Altered Carbon ดูจะหยิบเอาประเด็นที่มอร์แกนอธิบายไว้มาเป็นประเด็นรอง และจับจ้องไปยังความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างอันนำไปสู่การต่อสู้สุดขีดคลั่งของโคแวคส์ (โยเอล คินนาแมน) ในฐานะตัวแทนของมนุษย์ชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างที่ร่างกายถูกสับเปลี่ยน กับเหล่าชนชั้นสูงซึ่งมีชีวิตยืนยาวนับอสงไขยเพราะเปลี่ยนเปลือกได้ตามต้องการ จึงไม่มีวันโรยรา องก์ท้ายๆ ของเรื่องจึงเป็นภาพแทนของมนุษย์กับพระเจ้าผู้อยู่เหนือความตายอย่างแท้จริง
หากแต่ในซีซั่นที่สอง เรื่องราวดูจะหวนกลับไปจับในสิ่งที่มอร์แกนเน้นย้ำในเวอร์ชั่นนิยาย นั่นคือภาวะการระลึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้ในอดีต อันส่งผลมายังปัจจุบันของตัวละคร ทาเคชิ โคแวคส์ ได้รับการเปลี่ยนเปลือกอีกครั้งในร่างของชายกำยำ (แอนโธนี แม็กกี) ทั้งยังได้รับการดัดแปลงยีนให้ไวต่อการต่อสู้เป็นพิเศษด้วยการใส่สัญชาติญาณของหมาป่าเข้าไปในเปลือก พร้อมกันนั้น ควิลล์ ฟัลโคเนอร์ (เรเน เอลิส โกล์ดส์เบอร์รี) อดีตเอนวอยเช่นเดียวกันกับโคแวคส์ ทั้งยังเป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิวัติที่โคแวคส์เคยสังกัดและเป็นหญิงสาวที่เขาหลงรักบูชาสุดหัวใจ หวนกลับมาในชีวิตเขาอีกครั้ง ในสภาพที่เธอเองจดจำสิ่งที่ตัวเองทำไว้ไม่ได้มากนักแต่ตกอยู่ในความกลัดกลุ้มและไม่เป็นสุขกับมันแม้แต่น้อย โคแวคส์จึงช่วยเธอสืบค้นหาว่าตัวฟัลโคเนอร์ในอดีต —กับความทรงจำที่หายสาบสูญไปนั้น— ก่อเรื่องอะไรไว้ และทำไมผลลัพธ์อันร้ายแรงมันจึงมาระเบิดเอาในนาทีนี้
ซีซั่นสองนั้นปรับโทนจากการเป็นซีรีส์ไซเบอร์พังค์กลิ่นปรัชญา มาสู่การเป็นซีรีส์ที่เน้นความเป็นแอ็กชั่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการเน้นย้ำความสามารถของโคแวคส์ที่ปกติเป็นนายทหารถูกฝึกมาเป็นพิเศษจนเก่งเหนือคนธรรมดาไปหลายขั้น ทั้งยังถูกดัดแปลงจนมีสัญชาติญาณสังหารแบบสัตว์ป่า หรือการมีตัวตนของฟัลโคเนอร์ที่ต่อสู้เก่งกาจและทั้งเรื่องก็มีฉากที่เธอได้ ‘โชว์ของ’ ไปแล้วกว่าครึ่ง จนเราเห็นได้ว่า เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของซีซั่นนี้เต็มไปด้วยฉากต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างหมดจดทั้งในแง่การเคลื่อนไหวของตัวละครและการเคลื่อนกล้อง น่าเสียดายที่มันออกจะยืดเยื้อเกินความจำเป็นไปสักหน่อย
สิ่งที่น่าตะขิดตะขวงใจอีกอย่างหนึ่งคือความเชื่อมโยงของนักแสดงสองคนซึ่งรับบทเป็นตัวละครเดียวกันอย่างคินนาแมนและแม็กกี เราไม่ปฏิเสธว่าทั้งคู่คือนักแสดงมากฝีมือ หากแต่ดูเหมือนจะตีความตัวละครไปคนละทิศละทางพอสมควร เราอาจจะชินตากับโคแวคส์ของคินนาแมนที่หน้าตาบึ้งตึงและสภาพงุนงงเหมือนเมายาอยู่เกือบตลอดเวลา (ซึ่งตามเนื้อเรื่องแล้วก็เมายาจริงๆ) ขณะที่โคแวคส์ของแม็กกีนั้นดูคุกคามน้อยกว่า แบกความเจ็บช้ำน้อยกว่าพอสมควร
ทั้งนี้ หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่น่าจับตาอย่างมากคือการพยายามจัดตั้งการปฏิวัติเพื่อล้มล้างสังคมเหลื่อมล้ำขึ้นมาอีกครั้งของฟัลโคเนอร์ ศัตรูของพวกเขาจึงเป็น คุณฮาร์ลาน (ลีลา โลเรน) มหาเศรษฐีสาวที่หวังจะสืบทอดอำนาจทางการเมืองและการเงินของหล่อนต่อไปอย่างยาวนาน โดยหวังจะครอบครองอำนาจที่ทรงพลังที่สุดอย่างพลังจากเหล่าเอลเดอร์ —มนุษย์ต่าวดาวผู้ทรงภูมิซึ่งเผ่าพันธุ์ถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์— อันเป็นตัวแปรสำคัญในการพาเส้นเรื่องกลับไปสู่จุดที่มันเคยเป็นอย่างการปะทะกันระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า แต่คราวนี้ ฝ่ายหลังไม่ได้เป็นภาพแทนของเทพเจ้าอย่างคนรวยที่มีชีวิตอสงไขย แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือมนุษย์และทรงพลังกว่ามนุษย์จริงๆ จนต้องใช้มือสังหารหลายคนเข้ารุมถล่มเพื่อจัดการปราบให้ราบคาบ ซึ่งนี่อาจเป็นผลลัพธ์หนึ่งจากการ ‘เบนเข็ม’ ให้ซีรีส์มีความเป็นแอ็กชั่นสูงกว่าเดิมเพราะเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยการออกแบบฉากต่อสู้อย่างละเอียด ซึ่งน่าเสียดายที่ลดทอนประเด็นทางปรัชญาซึ่งเป็นจุดเด่นของซีซั่นแรกไปอย่างน่าเศร้าใจ
อย่างไรก็ดี Altered Carbon ซีซั่นนี้นั้นไม่ได้แย่ มันยังวางตัวเป็นซีรีส์ไซเบอร์-พังค์ที่โดดเด่นกว่าซีรีส์รุ่นๆ เดียวกันหลายเรื่อง หากแต่เมื่อเทียบกับซีซั่นแรกที่เต็มไปด้วยความอลังการและคำถามอันลุ่มลึก ก็นับว่าซีซั่นนี้ยังปล่อยหมัดได้ไม่เด็ดเท่าซีซั่นที่แล้วเท่านั้นเอง
Tags: Netflix, Altered Carbon