กาแฟดิโอโร่ (D’Oro) ที่คุณถืออยู่ในมือ นอกจากรสชาติกาแฟที่ดีแล้ว คุณยังสัมผัสได้ถึงความสุขและรอยยิ้มที่บาริสต้ามอบให้ จนทำให้อยากกลับมาลิ้มรสชาติของมันอีกครั้ง

คุณจะรู้สึกดีทุกครั้งที่เดินเข้ามาในร้านดิโอโร่ เพราะนั่นคือเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงแบบ 360 องศา ตั้งแต่การรีแบรนด์โลโก้และปรับเปลี่ยนหน้าร้านให้สวยงามทันสมัย

หัวใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ภายนอก แต่เกิดขึ้นได้จากภายในองค์กรที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรง ภายใต้บรรยากาศที่เหมาะกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ด้วยความเชื่อว่า พลังความความสุขจากคนในองค์กรจะส่งต่อมาถึงกาแฟหนึ่งแก้วที่เราถืออยู่ในมือ

The Momentum ได้คุยกับทายาทรุ่นที่สองของร้านกาแฟดิโอโร่ ถึงเคล็ดลับที่ทำให้องค์กรปรับตัวเข้ากับยุคนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทายาททั้งสามคนเป็นลูกสาวของ ‘วีรเดช สมบูรณ์เวชชการ’ ผู้ก่อตั้ง ‘ดิโอโร่’ ได้แก่ นีน่า-ภคมน สมบูรณ์เวชชการ Chief Operation Officer ดูแลแผนกปฎิบัติการ เอนี่-วรรณินา สมบูรณ์เวชชการ Brand Experience Director ดูแลด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์ การตลาด รวมทั้ง CRM และเอน่า-วีรดา สมบูรณ์เวชชการ People Director ดูแลด้านทรัพยากรบุคคล

รีแบรนด์ 360 องศา

การรีแบรนด์แบบ 360 องศา อาจมองเห็นได้ผ่านตัวสำนักงานที่รีโนเวทใหม่ มีการเปลี่ยนโลโก้ โทนสี การตกแต่งร้าน ยูนิฟอร์มของพนักงานหน้าร้าน และยังนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ขับเคลื่อนองค์กร เป็นการเปลี่ยนแปลงหลายด้านที่เห็นผลในระยะเวลาเพียงปีเศษ

เอนี่ – วรรณินา สมบูรณ์เวชชการ ผู้บริหารไฟแรงที่ทำหน้าที่ดูแลด้านภาพลักษณของแบรนด์ การตลาด และ CRM เล่าถึงสาเหตุสำคัญของการรีแบรนด์ว่า ขณะที่อยากให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสัมผัส แต่ก็ไม่ทิ้งคนรุ่นเก่า และอยากทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าอยู่ในบรรยากาศเดิมที่มานั่งแล้วสบายใจ ขณะเดียวกันก็ดูทันสมัยมากขึ้น

ความหมายของการเปลี่ยนแปลงจากภายใน

ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ต้องดูดี ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ต้องเริ่มจากภายในองค์กร ดังเช่นที่ดิโอโร่ให้ความสำคัญกับสถานที่ทำงาน โดยมีการรีโนเวทออฟฟิศให้ดูเป็นกันเอง ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสนุก เหมือนนั่งทำงานอยู่ใน Co-Working Space ที่มีเพื่อนช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยสร้างสรรค์ ตรงนี้เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานเพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าเร็วขึ้น

“ถ้าเราต้องการคนรุ่นใหม่ แต่ให้มานั่งทำงานในออฟฟิศเก่าๆ เขาก็คงไม่ได้อยากจะมา หรือคุณภาพงานอาจไม่ได้ดีเท่ากับในบรรยากาศที่รู้สึกสนุก ฉะนั้น เราดูตั้งแต่จุดแรกของเขาที่มาถึงออฟฟิศ การเดินทางออกจากบ้านมาถึงที่ทำงาน เรามีคาเฟ่อยู่ชั้นล่าง มีมุมทานข้าว มีมุมนั่งทำงานที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โต๊ะตัวเองเสมอไป เราสร้างความสบายใจในการทำงานให้กับเขา ซึ่งบรรยากาศความเป็นกันเองเหล่านี้จะช่วยให้พวกเขาดึงศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์มาใช้ประโยชน์ในงานได้” เอนี่ – วรรณินา สมบูรณ์เวชชการ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการรีโนเวทออฟฟิศ

องค์กรที่เต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่

ขณะที่เรื่องของ ‘คน’ นับเป็นโจทย์ใหญ่ ที่เมื่อหลายบริษัทอยากเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ดูทันสมัยก็มักประสบปัญหาช่องว่างระหว่างวัย ระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ซึ่งต่างก็เป็นบุคลากรที่มีคุณค่า

“เราต้องรู้จักรับมือหรือทำงานกับพวกเขาให้ได้ ความจริงข้อหนึ่งคือ คนรุ่นเก่าไม่อยากเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนคนรุ่นใหม่มีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เราก็ขาดคนรุ่นเก่าๆ ไม่ได้ เพราะพวกเขาจะรู้ทุกอย่าง” เอน่า-วีรดา บอกกับเราและเสริมว่า วิธีหนึ่งคือ ต้องทำให้คนในองค์กรรู้สึกมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง

เพื่อให้การทำงานสามารถปรับตัวทันตามกระแส สิ่งสำคัญหนึ่งก็คือการเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เพื่อเป็นแรงผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว โดยเปิดโอกาสให้ทีมงานได้เรียนรู้การทำงาน และได้ทำในสิ่งที่อยากทำในบรรยากาศแห่งความสบายใจ มีวัฒนธรรมองค์กรแบบครอบครัว ผู้บริหารกับพนักงานอยู่กันแบบพี่น้องมากกว่าจะเป็นเจ้านายและลูกน้อง

กิ๊กส์-ธนการณ์ ไชยโส ซึ่งปัจจุบันรับตำแหน่ง Social Media Marketing Executive กล่าวถึงประสบการณ์ช่วงแรกที่เข้ามาทำงานที่ดิโอโร่ เขาเล่าว่าเขาเองก็เป็นเหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไปที่สมัครงานมาหลายที่ โดยตอนแรก สมัครงานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Business Developer) แต่จากวิสัยทัศน์ขององค์กรมองเห็นว่า บุคลิกของเขาดูจะไม่ตรงกับตำแหน่งนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่ดิโอโร่รีแบรนด์ ซึ่งมีเปิดรับตำแหน่งใหม่ที่ต้องการคนรุ่นใหม่เข้าไปทำงาน

น่าสนใจว่า ดิโอโร่ มองนอกกรอบ หาคนทำงานที่ไม่จำเป็นต้องเรียนจบตรงสายงาน

“เขาอยากได้คนจบไม่ตรงสาย เพราะจะมีความเปิดรับมากกว่า เราถูกเรียกสัมภาษณ์อีกตำแหน่งนึง แต่ผู้บริหาร offer ให้อีกตำแหน่งที่เข้ากับคาแร็กเตอร์เรามากกว่า เราก็ตัดสินใจสัมภาษณ์ในตำแหน่งใหม่นี้ต่อเลย และสุดท้ายก็ตกลงเข้าทำงานที่นี่” กิ๊กส์กล่าว  

“ทำงานมาได้หกเดือนแล้ว เหมือนกับที่คิดไว้ทุกประการ เพราะเราได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็ต้องปรับตัวเยอะ และต้องเรียนรู้ให้เร็ว แต่ชอบบรรยากาศในการทำงานที่ยืดหยุ่น เหมือนมานั่งทำงานที่ร้านกาแฟมากกว่าเป็นที่ทำงาน เพื่อนๆ พี่ๆ ก็เป็นกันเอง เรียกว่ามีความสุขทั้งการทำงานและสภาพแวดล้อม” กิ๊กส์เล่าให้เราฟัง

ขณะที่ ปั้น-กฤตยชญ์ มนอัตระผดุง ซึ่งทำงานในตำแหน่ง Business Development Executive ก็เล่าว่า ด้วยบรรยากาศที่เปิดกว้าง ทำให้มีโอกาสได้นำเอาประสบการณ์และความรู้ที่มี มาปรับใช้กับองค์กร

“เราเรียนจบด้านไฟแนนซ์มา เคยทำงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ด้านการเงินให้กับธุรกิจยาและโรงแรมมาก่อน แต่รู้สึกอิ่มตัวและส่วนตัวสนใจด้านการพัฒนาธุรกิจ จึงตัดสินใจมาทำงานที่นี่ ได้บริหารความคิด เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบมีส่วนร่วมในการคิด หาไอเดียในการทำงาน เราก็ได้เอาประสบการณ์หรือความรู้จากที่เคยทำมาลองใช้กับที่นี่ดู เขาก็เปิดกว้างให้เราได้เสนอไอเดีย ใช้ความรู้ที่มีมา ทำให้เกิดประโยชน์กับองค์กรมากที่สุด” ปั้นกล่าว

“เราทำงานที่นี่มาได้สองปีแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในเวลาไม่กี่เดือน เรารู้สึกว่ามีความเป็นกันเองมากขึ้น สามารถนำเสนอไอเดียต่างๆ ได้ เราสามารถตัดสินใจบางอย่างเองได้ และผู้บริหารก็รับฟัง บรรยากาศการทำงานที่นี่เหมือนทำงานอยู่ที่บ้าน” โซเฟีย-ณัฐญาณ์ เอนกธรรม ตำแหน่ง Marketing Executive

สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ ที่คุ้นเคยกับภาพในอดีตของดิโอโร่ “เราผูกพันกับแบรนด์นี้มาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว เพราะชอบแบรนด์นี้ ก็เห็นพัฒนาการไปตามยุคสมัย สิ่งที่เด็กรุ่นใหม่ต้องการในการทำงานไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความสุขในการทำงาน ซึ่งเรามาทำที่นี่ก็สนุกสนานอยู่ทุกวัน เพื่อนร่วมงานก็ดีมาก” จูน-ชุติมา ว่องสกุลชัย ตำแหน่ง CRM Analyst กล่าว

อาจต้องบอกว่า คนทำงานทันสมัย มีคุณภาพ ประกอบกับบรรยากาศการทำงานที่สร้างสรรค์ คือเคล็ดลับความสำเร็จที่เปลี่ยนแปลงองค์กรให้เหมาะกับยุคสมัยใหม่ ในระยะเวลาปีเศษของกาแฟแบรนด์ไทยที่ชื่อ ดิโอโร่

กับความท้าทายที่รออยู่ในอนาคต

คุณนีน่าเผยว่า ปัจจุบัน ดิโอโร่ มีสาขาทั้งสิ้น 130 สาขา พร้อมกับตั้งเป้าว่า ภายในปีนี้จะขยายสาขาใหม่อีก 50 สาขา โดยเป็นสาขารูปแบบใหม่และบางแห่งมี Drive-Through โดยสาขาใหม่ที่จะเปิด ให้ความสำคัญกับโลเคชันที่ต้องดีจริงๆ และการออกแบบหน้าร้านที่สวยงาม รวมทั้งการนำระบบ Technology เข้ามาใช้ใน CRM (การจัดการลูกค้าสัมพันธ์) เพื่อนำ Big Data มาศึกษาข้อมูลพฤติกรรมการบริโภค ของลูกค้าและนำมาพัฒนาเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เเละความประทับใจให้กับการใช้บริการ

“เมื่อก่อนเราอาจจะมีแค่ชื่อ เบอร์โทรลูกค้า และคะแนนของสมาชิก แต่ตอนนี้เรารู้ได้ว่าลูกค้าชอบอะไร ถ้าวันเกิดเขาเราก็ส่งข้อความเซอร์ไพรส์ลูกค้า หรือเซอร์ไพรส์ลูกค้าที่หน้าร้าน ด้วยข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้เรามอบประสบการณ์และบริการที่เข้ากับลูกค้ามากขึ้น” เอนี่- วรรณินา พูดถึงการนำระบบ CRM มาใช้โดยผลลัพธ์ของการเปลี่ยนครั้งนี้ เพื่อให้ดิโอโร่เป็นร้านกาแฟที่ลูกค้าเดินเข้ามาแล้วมีความสุขมากที่สุด

ในขณะเดียวกัน เรื่องมาตรฐานเละคุณภาพ ดิโอโร่ก็ไม่ทิ้ง

“เราต้องการเป็นร้านกาแฟไทยที่คนไทยภูมิใจที่ได้ดื่ม มีมาตรฐานเทียบเท่าเมืองนอก ในราคามิตรภาพ คนสามารถถือแก้วเราโดยไม่อาย เป็นโปรดักต์ที่อยู่ในชีวิตพวกเขาทุกๆ วัน” นีน่า-ภคมน พูดถึงเป้าหมายที่มองไว้
ส่วนเอน่า-วีรดา ก็บอกว่า “ถ้าพนักงานไม่มีความสุข เขาก็ไม่สามารถส่งต่อความสุขไปให้ลูกค้าได้ แม้แต่เรื่องส่วนตัวที่ทำให้เขา เครียด หน้าบึ้ง ลูกค้าก็จะไม่มีความสุข”

“เราไม่ได้แข่งขันว่าจะเป็นร้านกาแฟที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย แต่เราขอเป็นร้านกาแฟที่ลูกค้าเดินเข้ามาแล้วมีความสุขมากที่สุด” เอนี่-วรรณินา กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.d-oro.coffee/work-with-us

 

 

 

 

 

 

 

Fact Box

ร้านกาแฟ ดิโอโร่ เกิดขึ้นในปี 1999 โดย วีรเดช สมบูรณ์เวชชการ  เดิมทีเขาทำธุรกิจกาแฟแบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูกกาแฟ ที่มีแหล่งปลูกกาแฟเป็นของตนเองที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ มีโรงคั่วและทำส่งออก ทั้งยังมีโรงงานผลิตเบเกอรีเป็นของตัวเองด้วย สาเหตุที่ทำร้านกาแฟเพราะมองเห็นว่า ยังไม่มีร้านกาแฟสไตล์อิตาเลียนในเมืองไทย จึงตัดสินใจทำร้านกาแฟ ดิโอโร่ สาขาแรกขึ้นมาที่ปั๊มน้ำมันเชลล์ สาขาถนนวิภาวดี ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 130 สาขาทั่วประเทศ และเป็นแบรนด์กาแฟไทยแบรนด์แรกที่มี Drive-Through

Tags: , ,