ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปจนถึงขีดสุดเกือบแทบจะทุกด้าน แต่สิ่งที่สวนทางกันคือ สิ่งแวดล้อมทั่วทุกมุมโลกที่เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด  ถ้าจะหยิบยกตัวอย่างปัญหาสภาพแวดล้อมที่ใกล้ตัวให้เห็นแบบชัดเจนมากที่สุดน่าจะหนีไม่พ้นปัญหา ‘ฝุ่น PM 2.5’ ฝุ่นพิษที่สร้างปัญหาเป็นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้

ปัญหาส่วนหนึ่งของฝุ่น PM 2.5 นั้นมาจากการใช้รถยนต์จำนวนมหาศาลบนท้องถนน รถยนต์หรือยานพาหนะส่วนใหญ่ยังเป็นการเติมแบบระบบน้ำมันแบบดีเซลและเบนซิน ซึ่งมีระบบเผาผลาญตัวเครื่องยนต์ให้กลายออกมาเป็นควันเสียมากมาย ทั้งไนโตรเจนออกไซด์(NOX) , ไฮโดรคาร์บอน(HC) , คาร์บอนมอนออกไซด์(CO) จนถึงเขม่าควันดำจากท่อไอเสีย แม้ว่าแก๊สและควันดำจากยานพาหนะจะไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกิดฝุ่นมลพิษ แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรปรับเปลี่ยนแก้ไขอยู่ดี วัดจากสถิติข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษที่ระบุไว้ว่าร้อยละ 50 ของปัญหา ฝุ่น PM 2.5 นั้นมาจากรถยนต์บนท้องถนน โดยเฉพาะเมืองหลวงกรุงเทพฯ ที่มีรถยนต์จดทะเบียนอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้มีปริมาณจำนวนผู้ป่วยทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้นมาโดยตลอด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ กับการจุดกระแสเพื่อเปลี่ยนอนาคต

ขณะที่สถานการณ์เชื้อไวรัส โควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกยังให้การจับตามองอยู่ในขณะนี้ แต่ภัยจากฝุ่น PM 2.5 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญด้านมลภาวะที่ละเลยไม่ได้ ปัญหานี้เองทำให้ทาง บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ผุดแคมเปญ ‘Charge to Change’ ขึ้นมา เป็นการปลุกกระแสให้สังคมหันมาสนใจข้อดีของรถยนต์ระบบ ‘ปลั๊กอิน-ไฮบริด’ ที่ใช้ระบบเติมพลังงานขับเคลื่อนแบบผสมผสาน ทั้งแบบใช้น้ำมันเบนซิน/ดีเซล และชาร์จพลังงานไฟฟ้า  แต่โดยหลักแล้วสิ่งทางเมอร์เซ-เดสเบนซ์ หวังไว้ คือ เจ้าของรถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด จะตระหนักได้ถึงการมีส่วนร่วมที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลกให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถเริ่มต้นจากพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของตัวเองก่อนและขยายวงกว้างออกไปสู่สังคม

 

 

 ปฏิบัติการสร้างความเข้าใจและเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์

โครงการ ‘Charge to Change’ แบ่งออกเป็น 3 เฟสหลัก สำหรับการเริ่มเปลี่ยนแปลงสังคมการขับขี่เพื่อก้าวไปสู่อนาคตพลังงานสะอาดวันข้างหน้า

 เฟสที่ 1 : สร้างความเข้าใจแก่ผู้ใช้รถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด

จากผลสำรวจของทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ พบว่า ผู้ใช้รถยนต์ EQ Power หลายต่อหลายท่านยังมีปัญหาในด้านการใช้งานในระบบนี้ ทั้งความเข้าใจในด้านการใช้ ถึงขนาดที่ว่าผู้ใช้งานบางท่านซื้อรถยนต์ไปแล้วแต่กลับไม่ทราบว่ารถยนต์ของตัวเองสามารถใช้ระบบชาร์จไฟแทนการเติมน้ำมันแบบปกติได้

ถ้าเช่นนั้นแล้วลองมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีปลั๊กอิน-ไฮบริด ‘EQ Power technology’ กันเสียใหม่ว่า เทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพอย่างไร สำหรับเทคโนโลยี EQ Power นั้นเป็นเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่อยู่ในรถปลั๊กอิน-ไฮบริด ซึ่งใช้ประสิทธิภาพของตัวมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยขับเคลื่อน ซึ่งรถยนต์ที่ใช้ระบบเทคโนโลยีนี้จะมีจุดเด่นอย่าง ระบบเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงเงียบเป็นพิเศษ  ปล่อยไอเสียออกมาในปริมาณที่ต่ำ รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้า EQ Power ในการขับจะช่วยเพิ่มชั่วโมงขับขี่ที่สูงกว่าพลังงานน้ำมันแบบเดิมๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเร่งกระตุ้นพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด ซึ่งทราบอยู่แล้วว่ารถยนต์ของตัวเองสามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้ แต่กลับคิดว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าหากจะต้องมานั่งรอให้ชาร์จพลังงานจนเต็ม  และคิดว่าการเติมน้ำมันแบบเดิมสะดวกรวดเร็วกว่า โดยการคิดเช่นนั้นจะทำให้เสียโอกาสเปล่าที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยกันลดฝุ่นควันบนท้องถนน เพราะหากร่วมมือร่วมใจกันเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี EQ Power แล้วล่ะก็ ปริมาณฝุ่นควันบนท้องถนนก็จะสามารถลดลงได้ตามลำดับ อีกทั้งยังเป็นการสร้างระเบียบวินัยให้การชาร์จไฟฟ้ารถยนต์เป็นเรื่องปกติในชีวิต ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกลับมาบ้านอาจจะชาร์จรถยนต์ของคุณทิ้งไว้ แล้วไปทำอย่างอื่นตามปกติ เช้าวันต่อมารถยนต์ก็พร้อมสำหรับใช้งานทันที เมื่อทำแบบนี้วนไปซ้ำๆก็จะกลายเป็นเรื่องปกติในกิจวัตรประจำวัน

 

 

(ภาพเทคโนโลยี EQ Power technology จากเมอร์ซิเดส-เบนซ์)

 

เฟสที่ 2 : สร้างเครือข่ายชาร์จไฟที่มากพอแก่ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด

การหาสถานที่ชาร์จไฟฟ้านับเป็นปัญหาสำคัญที่ผู้ใช้งานรถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด ต้องพบเจอ สาเหตุเพราะแท่นชาร์จมีไม่มากพอต่อความต้องการ ซึ่งถ้าหากเดินทางไปยังตามต่างจังหวัดก็เตรียมใจได้เลยว่าจะไม่มีที่ให้ชาร์จแน่นอน หรือแม้แต่ในเมืองหลวงเอง ก็แทบจะนับสถานีชาร์จไฟที่มีอยู่ได้ง่ายๆ สิ่งนี้เองทำให้ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด เกิดความเบื่อหน่ายกับการต้องมานั่งหาสถานที่ชาร์จพลังงาน

ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เองตระหนักได้ถึงปัญหาของผู้ใช้งานที่เกิดขึ้น จึงเร่งลงมือแก้ไขปัญหาด้วยการมอบ Wallbox แท่นชาร์จไฟฟ้า ตามสถานที่สำคัญต่างๆไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล , โรงแรม , สถานที่ราชการ , ห้าง เพื่อกระตุ้นให้ทางภาครัฐและเอกชนตระหนักถึงกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด รวมไปถึงรับรู้ประโยชน์ที่จะได้จากการใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน ซึ่งถ้าหากร่วมแรงร่วมใจกันทุกฝ่าย อนาคตวันข้างหน้าสถานีชาร์จไฟฟ้าก็จะสามารถสร้างขึ้นมารองรับต่อความต้องการผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด ได้มากพอ

 

(ภาพตัวอย่าง  Wallbox หรือแท่นชาร์จไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ปลั๊กอิน-ไอบริด)

 

 

เฟสที่3 : รอผลการเปลี่ยนแปลงและเสียงตอบรับจากการใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด

เมื่อทุกสิ่งเพียบพร้อมสำหรับการใช้งานแล้วประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาด้านมลพิษทางอากาศลดน้อยลง สิ่งแวดล้อมจะกลับมาดีขึ้น ผู้ใช้รถบนท้องถนนก็ไม่ต้องเสี่ยงกับโรคทางเดินหายใจอย่างทุกวันนี้ อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าน้ำมันเติมรถที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องทุกวัน

ไม่ใช่แค่ผู้ที่ใช้รถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์

มุมมองทัศนคติของทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้มองเพียงว่าการหันมาใช้รถยนตร์ระบบปลั๊กอิน-ไฮบริด จะเกิดขึ้นเพียงเฉพาะแต่แบรนด์ของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่นั่นยังหมายถึงแบรนด์อื่นๆด้วยเช่นกัน กับการหันมาใส่ใจต่อผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด และทำความเข้าใจถึงข้อดีที่จะตามมา

สุดท้ายแล้วนอกจากจะเป็นการ ‘Charge’ เพื่อประหยัดพลังงานน้ำมัน เพื่อเติมพลังงานให้กับรถยนต์แล้วยังเป็นการ ‘Change’ ของอนาคตในภายภาคหน้าอีกด้วย เพียงแค่หลายภาคส่วนทั้งผู้ใช้ ภาคเอกชนและภาครัฐ จับมือร่วมกันสร้างโลกใบใหม่ที่น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม

 

 

ร่วมติดตามชมแคมเปญโฆษณา ‘Charge to Change’ จากทางเมอร์เซเดสเบนซ์ (ประเทศไทย) ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้

https://www.youtube.com/watch?v=lzWXq0NMvEY&feature=emb_title

Tags: , , ,