เส้นทางของ ‘อดัม ไดรเวอร์’ ไม่ได้พุ่งมาที่การแสดงตั้งแต่แรก หลังจากเรียนจบมัธยมฯ เขาตัดสินใจเข้ารับราชการทหารทันที และปฏิบัติหน้าที่นานอยู่เกือบสามปี สาเหตุที่ถูกปลดประจำการเป็นเพราะกระดูกหักด้วยอุบัติเหตุจากการขี่จักรยานเสือภูเขา แต่การเป็นทหารก็ทิ้งอะไรหลายๆ อย่างไว้ให้อดัม จนเมื่อออกมาใช้ชีวิตพลเรือน อดัมก็ไปสอบเข้าโรงเรียนการแสดงเก่าแก่ในนิวยอร์ก มุ่งมั่นทุ่มเทจนก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์เต็มตัว
ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา คือ ‘J. Edgar’ (2011) ผลงานกำกับฯ ของ คลินท์ อีสต์วูด และนับจากนั้นเป็นต้นมา อดัมก็มีผลงานไม่ว่างเว้น บทที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นคือ ‘ไคโล เรน’ จากสงครามแห่งดวงดาว ‘Star Wars’ แต่บทบาทที่โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดในปีนี้และปีที่ผ่านมา คงจะไม่พ้นการรับบท ‘ชาร์ลี บาร์เบอร์’ จากเรื่อง ‘Marriage Story’ (2019) กับเสียงร้องเพลง ‘Being Alive’ ในเรื่องนี้ที่กินใจอย่างลึกซึ้ง
Paterson (2016)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับฯ โดย จิม จาร์มุช ตัวละครของเขามักเป็นคนที่โดนชะตากรรมเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และสะท้อนให้เห็นความเศร้าของเหล่ามนุษย์สามัญ Paterson ก็เช่นกัน มันเป็นเรื่องของหนุ่มคนขับรถเมล์ที่หลงใหลในบทกวี เราจะได้ฟังถ้อยคำรื่นหูที่มาจาก รอน แพดเก็ตต์ หนึ่งในกวีร่วมสมัยที่ผู้กำกับฯ ชื่นชอบ โดยมีทั้งบทกวีที่รอนเคยเขียนไว้แล้วและบทกวีใหม่เพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้
ทั้งนี้ ธีมของเรื่องยังมีความคล้ายคลึงกับบทกวีของ วิลเลียม คาร์ลอส วิลเลียมส์ ที่กล่าวถึงในภาพยนตร์ กวีเล่มดังกล่าวมีชื่อว่า ‘Paterson’ เป็นบทกวีมหากาพย์ที่บันทึกช่วงเวลาของชีวิต สะท้อนให้เห็น ‘ความคล้ายคลึงกันระหว่างจิตใจของคนสมัยใหม่กับเมือง’ เช่นเดียวกับที่คนขับรถเมล์สังเกตเห็น และการรับบทของ อดัม ไดรเวอร์ ในเรื่องนี้ เขาถึงกับไปฝึกอบรมการขับรถเมล์ จนได้รับใบอนุญาตขับขี่รถโดยสารมาไว้ในมือ
เรื่องราวชีวิตในหนึ่งสัปดาห์ของแพตเทอร์สัน คนขับรถเมล์ในเมืองที่ถูกลืม เมืองที่มีชื่อเดียวกับชื่อของเขา เมืองแพตเทอร์สันตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นเมืองเงียบๆ ไร้สีสัน ชีวิตในแต่ละวันของแพตเทอร์สันเป็นกิจวัตรจำเจ ตื่นเช้า ลุกไปทำงาน ขับรถเมล์บนเส้นทางเดิม จูงหมาไปเดินเล่น แวะดื่มเบียร์ที่บาร์ ก่อนจะกลับไปนอนกอดลอร่า ภรรยาผู้เป็นที่รัก
มันเป็นภาพกิจวัตรประจำวันที่เรียบง่าย แต่รายละเอียดที่แตกต่างออกไปในแต่ละวันก็คือบทกวีที่แพตเทอร์สันเขียนขึ้น บทสนทนาที่เปลี่ยนไปตามคนแปลกหน้าที่เขาพบเจอ และอารมณ์ความรู้สึกในชั่วขณะนั้น ส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของแต่ละโมงยามที่ดูเหมือน ‘ไม่มีอะไร’ ทุกอย่างเคลื่อนไหวรี่เรื่อยไปตามจังหวะชีวิตราวกับสายน้ำ แต่กลับชวนให้เราหันมาใคร่ครวญว่าเราพบอะไร หรือรู้สึกอะไรบ้างในแต่ละวันเวลาที่ผ่านไป
Logan Lucky (2017)
หลังจากเว้นวรรคการกำกับภาพยนตร์ไปราวสี่ปี สตีเว่น โซเดอเบิร์ก ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับเรื่องราวที่น่าขบขันของบรรดา ‘loser’ ในเวสต์เวอร์จิเนีย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้โซเดอเบิร์กตั้งใจจะให้ Behind the Candelabra (2013) เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขาในฐานะผู้กำกับฯ ตอนที่ได้สคริปต์ Logan Lucky เขาคิดแค่ว่าคงจะพอแนะนำผู้กำกับฯ ดีๆ ให้กับโปรเจ็กต์นี้ได้ แต่เขากลับชอบมันมากจนตัดสินใจลงมือเอง
ตัวละครหลักในเรื่องได้แก่ ‘จิมมีและไคลด์’ สองพี่น้องตระกูลโลแกน นำแสดงโดย แชนนิง ทาทัม (รับบทจิมมี) และอดัม ไดรเวอร์ (รับบทไคลด์) ไคลด์มีแขนเพียงข้างเดียว เนื่องจากถูกระเบิดระหว่างไปประจำการในอิรัก ส่วนในชีวิตจริง อดัมผู้เคยเป็นนาวิกโยธินมาก่อน และควรจะถูกส่งตัวไปอิรัก แต่เกิดกระดูกหักและถูกปลดประจำการในที่สุด ดังนั้นในการแสดงเรื่องนี้ เราจะได้เห็นอดัมสวมแขนปลอมหนึ่งข้าง และวาดลวดลายในการทำมาร์ตินี่ด้วยแขนข้างที่เหลือ
Logan Lucky เป็นเรื่องการปล้นโดยโจรสองพี่น้องที่ ‘ซื่อบื้อ’ กับแผนการปล้นสุดทื่อ เรื่องเริ่มจากจิมมีซึ่งเป็นชายขาเป๋ถูกปลดจากการเป็นพนักงานก่อสร้าง และลูกสาวของเขากำลังจะย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น (กับอดีตภรรยาและสามีคนใหม่) ซึ่งถ้าจิมมีไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง เขาคงหมดโอกาสจะได้พบหน้าลูกอีกต่อไป
ขณะที่ไคลด์ น้องชายผู้รับอาชีพบาร์เทนเดอร์ด้วยแขนข้างเดียวก็มีชีวิตบัดซบไม่แพ้กัน แต่หากพี่ชายต้องการทำอะไร เขาก็มักจะเห็นพ้องเสมอด้วยความเชื่อใจ แผนการปล้นครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อนำพาชีวิตทั้งสองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
งานแข่งขันรถแข่งประจำปีในเมืองจะเป็นงานที่มีเงินสะพัดมหาศาล และมันก็คือที่ที่ทั้งสองหมายตาไว้ แต่นอกจากจิมมีและไคลด์แล้ว ยังมีคนเข้าร่วมขบวนการอีกหลายคน ทั้งเมลลี่ น้องสาวคนเล็กของตระกูล, โจ แบง โจรที่ปรึกษาเรื่องการวางแผน, แซมและฟิช น้องชายของโจ เป้าหมายของพวกเขามีอย่างเดียวคือการกอบโกยเงินมาให้ได้มากที่สุด แต่เมื่อทุกคนไม่ต่างอะไรจากโจรสมัครเล่น การปล้นจึงเต็มไปด้วยความไม่พร้อม มีแต่ความผิดพลาดผิดแผน ที่ชวนขันและทำให้นึกอวยพรขอให้สองพี่น้องตระกูลโลแกน (และพลพรรค) โชคดีในการนี้
BlacKkKlansman (2018)
ภาพยนตร์ตลกร้ายที่เล่าเรื่องความเกลียดชังไว้อย่างเจ็บแสบเรื่องนี้ เป็นผลงานของผู้กำกับฯ คุ้นชื่ออย่าง สไปค์ ลี เนื้อหาดัดแปลงมาจากหนังสือ BlackKlansman ของ รอน สตอลเวิร์ธ นายตำรวจผิวสีคนแรกในเมืองโคโรลาโดสปริงส์ ตอนแรกรอนคาดหวังให้ เดนเซล วอชิงตัน รับบทเป็นเขา แต่เขาก็ดีใจไม่แพ้กัน เมื่อผู้รับบทคือ จอห์น เดวิด วอชิงตัน ลูกชายของเดนเซล
BlacKkKlansman เป็นเรื่องของ รอน สตอลเวิร์ธ ตำรวจผิวสีคนแรกที่มาประจำการที่สถานีตำรวจโคโรลาโดสปริงส์ ตามนโยบายเปิดกว้างเรื่องการรับคนผิวสีเข้ารับราชการ เมืองนี้เป็นเมืองที่มีปัญหาการเหยียดผิวรุนแรงอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่กับตำรวจในสถานีเอง รอนจึงโดนดูถูกและถากถางต่างๆ นานาอยู่เสมอ
ช่วงแรกงานของเขาค่อนข้างน่าเบื่อ จนเมื่อเมื่อมีงานหนึ่งเข้ามา รอนจึงได้ขยับมาทำงานสายสืบในคดีหนึ่ง เมื่อรอนแกะรอยคดีไปจนพบโฆษณาชิ้นเล็กๆ ของกลุ่มคูคลักซ์แคลน เขาจึงตัดสินใจโทรไปสมัครเป็นสมาชิก โดยอ้างว่าเป็นคนผิวขาว หัวหน้ากลุ่มจึงนัดแนะให้มาเจอหน้า แต่รอนไม่อาจเผยตัวได้ เขาจึงไปจับมือกับ ฟลิป ซิมเมอร์แมน เจ้าหน้าที่ตำรวจชาวยิวที่ต้องแทรกซึมตัวเข้าไปในกระบวนการ แต่ก็ต้องปกปิดความเป็นยิวของตัวเองไว้ด้วย จึงมีรอนขึ้นมาสองคน รอนคนผิวสีอยู่แค่ปลายสายโทรศัพท์ แต่รอนคนขาวต้องเข้าไปคลุกวงใน ทั้งสองต่างต้องช่วยกันเล่นละครตบตา ที่เหมือนกับการเอาคอไปพาดเขียง โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าภารกิจนี้จะลงเอยอย่างไร
The Report (2019)
ภาพยนตร์ดราม่าการเมือง ผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ สก็อตต์ ซี. เบิร์นส์ ก่อนหน้านี้เขารับบทโปรดิวเซอร์และนักเขียนบทเป็นส่วนใหญ่ ในเรื่องนี้ก่อนเริ่มเปิดกล้อง แผนการเดิมสำหรับการถ่ายทำวางระยะเวลาไว้ 50 วัน กับงบประมาณ 18 ล้านเหรียญ แต่ภายหลังถูกตัดเวลาทำงานเหลือเพียง 26 วัน และลดงบประมาณเหลือเพียงแค่ 8 ล้านหรียญเท่านั้น แม้คำวิจารณ์ผลงานโดยรวมจะเป็นที่น่าพอใจ แต่ภาพยนตร์ก็ทำรายได้ไม่ได้มากเท่าที่ควร
เมื่อสก็อตต์เขียนบทเสร็จ เขานำมันไปให้ สตีเว่น โซเดอเบิร์ก ดู และถามว่าใครเหมาะกับบทนี้ แล้วชื่อของอดัม ไดรเวอร์ ก็ลอยขึ้นมาทันที ซึ่งเมื่ออดัมได้อ่านบท เขาก็ตอบรับอย่างรวดเร็วเช่นกัน ความอยากรู้อยากเห็นของเขาเป็นสิ่งหนึ่งที่ตัวละครต้องมี และมันก็เชื่อมโยงกับอาชีพเก่าของเขาคือนาวิกโยธินด้วยในทางอ้อม
The Report อ้างอิงมาจาก ‘รายงาน’ ที่ว่าด้วยการปฏิบัติการของหน่วย CIA ให้ติดตามหาตัวผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งนำทีมโดย แดเนียล เจ. โจนส์
สิ่งที่โจนส์ค้นพบคือโครงการกักขังและสอบสวนของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความจำเป็น และมีเจตนาปิดบังข้อเท็จจริงจากประชาชน เมื่อทาง CIA มีการจับนักโทษหรือผู้ต้องสงสัยมาคุมขัง จะมีการทรมานอย่างโหดร้าย เพื่อรีดเค้นเอาความลับเกี่ยวกับปฏิบัติก่อการร้าย แต่หลายครั้งสิ่งที่ได้มาจากการทรมาน นอกจากจะไม่เป็นความจริงแล้ว บางคนยังแทบไม่มีส่วนรู้เห็นเลยด้วยซ้ำ แต่จำยอมสารภาพไปเพื่อให้พ้นจากการถูกทรมาน
การกระทำทั้งหมดล้วนขัดต่อหลักการปกครอง และยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ CIA พยายามปกปิดไว้ทั้งสิ้น สิ่งที่โจนส์ต้องทำก็คือขยายความจริงออกมาว่าโครงการนี้คือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน การทำงานนี้รีดเค้นทุกอย่างจากเขาเป็นเวลาหลายปี จนกลายเป็นรายงานหนาเกือบเจ็ดพันหน้า อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการทรมานเพื่อรีดข้อมูลของหน่วยข่าวกรองก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในแวดวงวิชาการ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นสิ่งที่โหดร้ายทารุและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
Marriage Story (2019)
เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก ทั้งบทภาพยนตร์ การกำกับฯ ของโนอาห์ บอมบัค รวมถึงการแสดงของอดัม ไดรเวอร์, สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน และลอร่า เดิร์น ซึ่งทั้งสามคนนี้ได้รับการวางตัวให้รับบทหลักก่อนที่บทภาพยนตร์จะเสร็จสมบูรณ์เสียอีก แน่นอนที่ภาพยนตร์ได้ชิงออสการ์หลายสาขา โดยมี ลอร่า เดิร์น ที่คว้ารางวัลนักแสดงสมทบฝ่ายหญิงมาได้
บ่อยครั้งที่คนเรามักรู้สึกว่าเข้าใจในตัวคนรักหรือคู่ชีวิตดีพร้อม ไร้ปัญหา หรือหากจะมีก็แค่เพียงบางเบา แต่ความจริงแล้วมันอาจเป็นสิ่งที่เราเข้าใจไปเอง โดยที่ไม่ได้ใส่ใจสำรวจว่าตอนนี้ใครรู้สึกอย่างไร หรือชีวิตคู่ในขณะนี้เป็นอย่างไรกันแน่ Marriage Story เปิดเรื่องมาด้วยถ้อยคำแสนหวานเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันรักในตัวเขา/เธอ ก่อนจะตัดกลับไปที่ปัญหาในชีวิตคู่ที่ชาร์ลีกับนิโคลกำลังเผชิญหน้าอยู่
ความรักของพวกเขาเริ่มต้นตอนที่ชาร์ลียังเป็นผู้กำกับละครเวทีไร้ชื่อ ส่วนนิโคลเป็นดาราดาวรุ่ง แต่ด้วยแรงรัก นิโคลจึงทิ้งชีวิตเดิมมาอยู่กับชาร์ลีที่นิวยอร์ก พร้อมกับมีลูกน้อยด้วยกันหนึ่งคน ทุกอย่างดูท่าว่าจะไปได้สวย หน้าที่การงานของชาร์ลีดีขึ้น ส่วนนิโคลก็ผันตัวมาแสดงละครเวที แต่แล้วในวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ถล่มลงมาอย่างไม่อาจกอบกู้ได้อีก มีแต่ต้องเดินหน้าไปสู่การหย่าร้างที่คน(เคย)รักกันกลับต้องทิ่มแทงกันด้วยคำพูด สาดความเห็นเลวร้ายใส่กัน และแย่งชิงสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก ความอึดอัดคับข้องใจที่ทั้งคู่ต่างสะสมมาโดยตลอดอย่างไม่รู้ตัว เหมือนจะมากองสุมทับถมให้เห็นอยู่ตรงหน้า ราวกับทั้งคู่ไม่อาจทนรักกันได้ในฐานะสามีภรรยาอีกแม้แต่วินาทีเดียว
ชีวิตคู่หรือชีวิตสมรส ไม่เคยเลยที่จะมีสูตรสำเร็จ หรือมีอะไรรับประกันว่ามันจะราบรื่นตลอดไป
Tags: ภาพยนตร์, The list, อดัม ไดรเวอร์