ถ้าเอ่ยถึงบทบาทเจ้าหญิงในภาพยนตร์สักเรื่อง บอกได้เลยว่าแอนน์ แฮทธาเวย์น่าจะเป็นชื่อแรกที่แวบเข้ามาทันที จากบทเจ้าหญิงมีอาที่ทำให้เธอแจ้งเกิดในฮอลลีวูด แอนน์เป็นนักแสดงสาวที่มีดวงตากลมโต รอยยิ้มกว้าง บุคลิกสดใสร่าเริง และพรั่งพร้อมด้วยความสามารถ ก่อนหน้านี้ เธอปรากฎตัวครั้งแรกในวงการจากซีรีส์ชุด Get Real ในปี 1999 

แต่เมื่อผู้ชมต่างติดภาพจำของเธอในบทบาทเจ้าหญิง แอนน์จึงเริ่มกังวลและเลือกรับบทบาทการแสดงที่หลากหลายผิดแผกไปจากเดิม ทั้งภาพยนตร์ดราม่าเข้มข้น ภาพยนตร์แนวโรแมนติก และแนวคอมเมดี้ ที่ทำให้เธอได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลและได้รับรางวัลด้านการแสดงมาแล้วจากสถาบันต่างๆ 

ปลายปีนี้ เตรียมพบกับเธอในภาพยนตร์แฟนตาซีคอมเมอดี้ ในบทแม่มดที่ดัดแปลงมาจาก The Witch ผลงานของนักเขียนชื่อดังโรอัล ดาห์ล

The Princess Diaries (2001)

สาวเปิ่นผู้กลับกลายเป็นเจ้าหญิง

ผลงานเปิดตัวในจอเงินของ แอนน์ แฮทธาเวย์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล จนนำไปสู่ภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้

The Princess Diaries สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ เม็ก คาบอท ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแต่งงานใหม่ของแม่ และความทรงจำวัยเด็กที่พ่อแม่ของเธอมักพูดเล่นเสมอว่า จริงๆ แล้วทั้งสองเป็นพระราชาและพระราชินี

ระหว่างการออดิชันบทนี้ แอนน์รู้สึกประหม่ามากจนตกจากเก้าอี้ แต่นั่นทำให้เธอกลายเป็นที่หลงรักของผู้กำกับฯ แกร์รี่ มาร์แชล ในทันที แม้แต่ฉากลื่นล้มในเรื่องก็มาจากอุบัติเหตุที่เธอลื่นล้มจริงๆ ในตอนถ่ายทำ ซึ่งแกร์รี่คิดว่าตลกดีเลยใส่ฉากนั้นเข้ามาด้วย

เรื่องราวของเด็กสาวขี้อายมีอาซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ และอาศัยอยู่ตามลำพังกับแม่ในซานฟรานซิสโก ชีวิตในรั้วโรงเรียนของเธอไม่ได้หวือหวาอะไรนัก มีอาหน้าตาเรียบๆ ผมหยิกฟูจนโดนล้อเลียนบ่อยๆ มีบุคลิกประหม่าไม่ชอบพูดต่อหน้าคนมากๆ แน่นอนว่าเธอก็แอบหลงรักหนุ่มบางคนอยู่ แต่ใครเล่าจะสนใจเด็กสาวเปิ่นๆ อย่างเธอ

 และแล้ววันหนึ่งมีอาได้รู้ว่าเธอเป็นทายาทคนสุดท้ายของราชวงศ์จีโนเวีย เพราะจู่ๆ คุณย่าที่ไม่เคยพบกันมาก่อนก็ปรากฎตัว และบอกว่าเธอจะต้องขึ้นครองบัลลังก์เพื่อปกครองประเทศต่อไป นั่นทำให้วิถีชีวิตมีอาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันทำให้เธอสับสนสิ้นดีว่า เธอควรเลือกทางเดินชีวิตแบบไหน และมันจะนำพาเธอไปสู่สิ่งใด

แม้พล็อตเรื่องออกจะเชยอยู่บ้าง แต่ตอนแอนน์รับบทนี้ เธอเพิ่งอายุ 19 ปี ความใสซื่อและบุคลิกของเธอ ก็ช่วยทำให้หนังมีเสน่ห์และสนุก แม้เมื่อมีอาแปลงโฉมกลายเป็นเจ้าหญิงผู้สวยสง่างาม ก็ยังไม่วายแฝงไว้ด้วยความโก๊ะน่าเอ็นดู

Brokeback Mountain (2005)

ภรรยาสาวของชายหนุ่มผู้หลงรักชายอื่น

ผลงานกำกับการแสดงที่ยังไว้ลายของ อังลี ดัดแปลงพล็อตมาจากเรื่องสั้นของนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ แอนนี พรูลซ์ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1997 ในนิตยสารเดอะ นิวยอร์กเกอร์ นับเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งรายได้และคำวิจารณ์ จนหลายคนยกให้เป็นเรื่องโปรดในดวงใจ (ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแดเนียล เดย์ลูอิส

ตอนคัดเลือกนักแสดงนั้น ผู้กำกับฯ ฝ่ายคาสติ้งแนะนำแอนน์ว่า เธอเป็นนักแสดงบรอดเวย์ที่นิวยอร์ก ซึ่งพอดีกับที่อังลีก็ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเสียงของเธอมาก่อน ในที่สุดเธอก็ได้รับคัดเลือก แอนน์กล่าวถึงเรื่องนี้ในภายหลังว่า ตอนแรกเธอได้รับบทอัลมา แต่หลังจากอ่านบทภาพยนตร์ทั้งหมด เธอตัดสินใจว่าต้องการออดิชันในบทของลูรีนแทน

เรื่องราวชีวิตและความรักของ เอนนิส เดล มาร์ และแจ็ค ทวิสต์ สองคาวบอยหนุ่มที่เคยอาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกัน ช่วงเวลาหนึ่ง จากความเป็นเพื่อนร่วมอาชีพคนรับจ้างเลี้ยงแกะในหุบเขาอันไกลโพ้น มันอาจจะเป็นด้วยความเปล่าเปลี่ยว ความห่างไกลจากผู้คน หรือเพราะความใกล้ชิด ที่นำพาให้ทั้งสองตกหลุมรักและมีสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่ต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตน

เวลาผ่านไปบางคนอาจหลงลืมไปแล้วว่าเคยตกหลุมรักใคร แต่สำหรับทั้งคู่ ความรู้สึกนี้ยังเร้นลึกอยู่ในใจ แม้ว่าเอนิสจะแต่งงานกับอัลมาจนมีลูกสองคน แจ็คก็แต่งงานกับลูรีน ราชินีแห่งโรดิโอและมีลูกชายหนึ่งคน แต่โชคชะตาก็พาให้ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมผุดพรายขึ้นมาอีกครั้งอย่างเกินห้ามใจ ทั้งที่ทั้งคู่ก็รู้ว่าไม่อาจปฏิเสธภาระรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัว

ในที่สุด ความลับก็ถูกเปิดเผย หุบเขาใดก็ไม่อาจอำพรางใจใครไว้ได้ และเมื่อเลือกบางสิ่ง ทั้งสองก็ต้องยอมสูญเสียบางอย่างไปเช่นกัน

Rachel Getting Married (2008)

หญิงสาวหม่นเศร้าผู้แบกรับความรู้สึกผิดมาชั่วชีวิต

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับฯ โดย โจนาธาน เดมม์ เจ้าของผลงานอย่าง The Silence of the Lambs และ Philadelphia เดมม์ตั้งใจมาตลอดว่าอยากจะร่วมงานกับแอนน์สักครั้งหนึ่ง เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะให้เธอรับบทนำในเรื่องนี้

บทภาพยนตร์เขียนโดย เจนนี ลูเมท ที่ใช้เวลาปลุกปั้นอยู่ประมาณเจ็ดสัปดาห์ แอนน์กล่าวถึงบทเรื่องนี้ว่า เธออ่านบทครั้งแรกขณะอยู่ในอพาร์ทเมนต์เก่าย่านแมนแฮตตัน และเมื่ออ่านจบ เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้

เรื่องราวมุ่งเน้นไปที่ชีวิตของคิม อดีตนางแบบที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการบำบัดยาเสพติด เธอเวียนเข้าออกสถานบำบัดเป็นเวลาถึงสิบปี และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลขึ้นมาบ้าง คิมมีอดีตที่ไม่น่าพิสมัยนัก เธอไม่ต่างอะไรจากแกะดำในครอบครัว ทั้งโดดเดี่ยว ไร้คุณค่า และไม่มีใครต้องการ นั่นทำให้คำว่าบ้านดูจะไม่ใช่สถานที่อันอบอุ่นที่เธออยากหวนกลับไป

แต่คิมก็ได้รับบัตรเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของราเชล พี่สาวผู้อ่อนหวานและมีชีวิตที่แตกต่างจากเธอ คิมต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกหลายอย่างเมื่อต้องหวนคืนสู่บ้านอันครึกครื้นแต่วังเวงในใจเธอ แล้วความเจ็บปวดก็ค่อยๆ เผยออกมาให้เห็นเป็นบาดแผลและความรู้สึกผิด แม้จะพยายามกลบปิดเท่าไรก็ไม่มีทางเลี่ยงหลบ เพราะปัญหานั้นไม่เคยหายไปไหน เธอเพียงแต่วิ่งหนีมันมาตลอดชีวิต และตอนนี้เธอไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก คิมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสะสางให้มันคลี่คลาย แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ทำให้แอนน์ได้รับการเสนอชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

Love & Other Drugs (2010)

ผู้ป่วยพาร์กินสันที่หวั่นไหวในความรัก

ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ Hard Sell: The Evolution of a Viagra Salesman ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเซลล์แมนขายยาไวอากร้า ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ทั้งในเชิงบวกและลบผสมกันไป แต่ก็ประสบความสำเร็จด้านรายได้ถึง 103 ล้านเหรียญ ขณะที่ลงทุนไปเพียง 30 ล้านเหรียญ

ในการเตรียมตัวรับบทบาทของสองนักแสดงนำ เจค จิลเลินฮาล ไปคลุกคลีอยู่กับผู้ประพันธ์หนังสือ เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึก ส่วนแอนน์ใช้เวลาอยู่กับลูซี่ นักแสดงที่ป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน และจดจำสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับอาการและร่างกายของผู้ป่วยโรคนี้ และนี่เป็นการร่วมงานกันครั้งที่สองของทั้งคู่ หลังจากรับบทแจ็คลูรีนมาแล้วในเรื่อง Brokeback Mountain (2005)

เมื่อแอนน์ถูกถามเกี่ยวกับฉากเปลือยในเรื่องนี้ เธอบอกว่าหลังจากผ่านไปสักพักเธอก็เลิกอายและเปลือยกายได้อย่างเป็นธรรมชาติในระหว่างการถ่ายทำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถ้าต้องกลับมาสวมเสื้อผ้าทุกครั้งหลังการคัท มันจะยิ่งเพิ่มเวลาในการทำงาน

ความสัมพันธ์ของคนสองคนเริ่มต้นได้ในทุกรูปแบบ บางคนเริ่มจากความเป็นเพื่อน บางคนเริ่มจากการทำงานร่วมกัน หรือบางคนก็เริ่มจากเซ็กซ์เหมือนเจมี่และแม็กกี้

เจมี่เป็นพนักงานร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โดนไล่ออก เพราะดันไปนอนกับแฟนสาวของผู้จัดการร้าน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาก่อเรื่องวุ่นวายใต้สะดือ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยี่หระ หลังจากตกงาน เจมี่ก็ได้งานใหม่เป็นเซลล์ขายยาไวอากร้า และเขาก็ยังใช้เสน่ห์ของตัวเองในการทำงาน จนมาเจอกับแม็กกี้ หญิงสาวที่ป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน แต่เธอก็ไม่เคยเรียกร้องความสงสารหรือความเห็นใจจากใคร

ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน โดยตกลงไว้ว่านอกจากเรื่องบนเตียงแล้วจะไม่มีการผูกมัด ไร้ข้อเรียกร้อง และไร้ความรัก แต่ทั้งสองต่างก็ตกหลุมพรางของตัวเอง เซ็กซ์กลับแปรเปลี่ยนและกลายเกิดเป็นความรู้สึกผูกพัน ในขณะที่อาการป่วยของแม็กกี้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เธอจึงพยายามผลักไสเจมี่ออกไปจากชีวิต เพราะไม่อยากให้เขาต้องจมปลักกับการดูแลเธอไปตลอดชีวิต นี่จึงไม่ต่างอะไรจากบททดสอบความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้

Interstellar (2014)

นักวิทยาศาสตร์และนักบินอวกาศของ NASA

ก่อนหน้าที่ภาพยนตร์นี้จะตกมาอยู่ในมือของผู้กำกับฯ คริสโตเฟอร์ โนแลน โปรเจกต์นี้เคยอยู่ในความดูแลของ สตีเวน สปีลเบิร์ก มาก่อน แต่หลังจากนั้นในปี 2012 เขาวางมือไป โนแลนจึงเข้ามารับตำแหน่งนี้แทน 

ในเวอร์ชันเดิม คูเปอร์ตัวเอกของเรื่องต้องไปปฎิบัติภารกิจบนดาวเพียงดวงเดียว แต่โนแลนค่อนข้างกังวลว่า ภาพหลุมดำที่มีความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถทำให้ผู้ชมเห็นภาพและเข้าใจได้โดยง่าย แต่ในที่สุดเขาพบว่าเอฟเฟกต์ที่เสร็จแล้วสามารถทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก โนแลนบอกว่าตราบใดที่เราไม่ได้เปลี่ยนมุมมองหรือตำแหน่งของกล้องมากเกินไป เราก็จะได้สิ่งที่ผู้ชมสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี

ในอนาคต โลกกำลังเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ด้วยโรคระบาดของพืชและมลพิษจากพายุฝุ่น ทำให้ชีวิตของผู้คนแร้นแค้นและมองไม่เห็นหนทางของชีวิตที่จะดีขึ้นได้ คูเปอร์ผู้เคยเป็นวิศวกรลาออกมาทำไร่ไปพร้อมๆ กับการดูแลครอบครัว หนึ่งในนั้นคือลูกสาววัยสิบขวบอย่างเมิร์ฟ เด็กที่เชื่อว่าห้องนอนของเธอมีผีสิง และผีก็พยายามติดต่อสื่อสารกับเธอด้วย คูเปอร์จึงอธิบายทฤษฎีบางอย่างที่ดูเข้าท่าให้เธอฟัง

หลังจากนั้นไม่นาน คูเปอร์ได้เข้าไปเป็นตัวแทนหน่วยสำรวจอวกาศ เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งนี้คือการหาหนทางนำพามนุษยชาติไปสู่โลกใบใหม่ เขาให้คำมั่นสัญญากับลูกสาวว่าจะไขว่คว้าความสำเร็จกลับมาสู่โลก 

บนยานลำนั้น คูเปอร์ได้ร่วมทีมกับ เอมิเลีย แบรนด์ ลูกสาวของนักเทคโนโลยีชีวภาพ ผู้ที่ความรักจะนำพาชะตากรรมของเธอให้พลิกผัน

เวลาเดินหน้าไปตามระยะทางในห้วงอวากาศ แต่เป้าหมายครั้งนี้ไม่สำเร็จตามที่คาดคิด คำสัญญากับคนบนโลกดูเบาบางห่างไกลออกไป และความหวังก็ริบหรี่ลงเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การเดินทางก็ต้องจบลง เพียงแต่มันจะสิ้นสุดลงที่จุดไหนเท่านั้นเอง