หลังจากการเดินขบวนประท้วงที่เริ่มโดยกลุ่มนักศึกษานานกว่า 4 เดือน อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจตกต่ำ
ราคาขนมปังแพงขึ้น 3 เท่า ไม่มีเงินสดออกมาจากตู้เอทีเอ็ม ในที่สุด ประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาเชียร์ วัย 75 ปีซึ่งปกครองประเทศซูดานมานานเกือบ 30 ปีก็ถูกจับ โดยรัฐมนตรีกลาโหม อาวัด อิบิน อุฟ ที่เคยร่วมมือกับเขาก่อการรัฐประหารมาเมื่อปี 1989 และร่วมปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการ
อาวัด อิบิน อุฟ ประกาศเมื่อบ่ายวันที่ 11 เมษายนว่า เขาเข้ายึดอำนาจและควบคุมตัวอัล-บาเชียร์ไว้ได้แล้ว และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 3 เดือน และขอเวลา 2 ปีเพื่อเปลี่ยนผ่าน นำประเทศคืนสู่ประชาธิปไตย
แต่ดูเหมือนว่า ประชาชนชาวซูดานไม่พอใจกับสิ่งนี้ พวกเขากังวลสงสัยมากกว่ายินดี อาวัด อิบิน อุฟก็เป็นพวกเดียวกับอัล-บาเชียร์ สมาคมวิชาชีพซูดาน (Sudanese Professionals Association) ตัวแทนของผู้ชุมนุมรับรู้ข่าวด้วยความผิดหวัง “สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐประหาร เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
ซารา อับเดลกาลิล โฆษกของกลุ่มกล่าวว่า “ข้อเรียกร้องให้มีรัฐบาลจากพลเรือนถูกละทิ้ง” ผู้ชุมนุมวัย 26 ปีคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับบัซซ์ฟีดนิวส์ทางวอทซ์แอปว่า ไม่ตื่นเต้นกับการจับอัล-บาเชียร์ เพราะนี่เป็นแค่การแทนที่ด้วยผู้นำทหารอีกคนเท่านั้น
ตลอด 4 เดือนของการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทั่วประเทศ รัฐบาลซึ่ง อาวัด อิบิน อุฟ ก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วยนั้น ได้ปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง ยิงแก๊สน้ำตา ทำร้ายร่างกาย คุมขัง มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 65 คน นอกจากนี้ รัฐบาลยังบล็อคโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนต้องหาวิธีการพิเศษเช่นใช้ VPN เพื่อเข้าถึงโลกออนไลน์
อัล-บาเชียร์สร้างอำนาจขึ้นมาได้ตลอดหลายปี โดยการสร้างเครือข่ายอำนาจที่เหมือนใยแมงมุมที่เขาเป็นศูนย์กลาง ในปี 1989 เขาเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารชาวมุสลิมที่โค่นอำนาจของนายกรัฐมนตรีซาดิคห์ อัล-มาห์ดิ ซึ่งเป็นทหารที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 1956
อัล-บาเชียร์ควบคุมกองทัพ หน่วยงานความมั่นคงและผู้นำชนเผ่าต่างๆ เขามักเข้าร่วมงานศพ ส่งของขวัญ พวกน้ำตาล ชา ผลไม้แห้ง ให้กับครอบครัวของพวกเขา สร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองด้วยบุคลิกเฉพาะตัว
อัล-บาเชียร์ยังถูกกล่าวหาจากศาลอาญาระหว่างประเทศว่าเป็นอาชญากรสงครามและก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เมืองดาร์ฟูร์ และถูกออกหมายจับในปี 2009 และ 2010 ซึ่งสังหารประชาชนไปกว่า 200,000 และ 300,000 คน เขาถูกห้ามเดินทางระหว่างประเทศ ยกเว้นแอฟริกาใต้ อียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย ที่เขามีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย
หลังการเข้ายึดอำนาจจากอัล-บาเชียร์เมื่อวันที่ 11 เมษายน มีการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามประชาชนออกจากบ้านในเวลากลางคืน แต่มีรายงานว่าประชาชนกลุ่มใหญ่ที่กรุงคาร์ทูม ไม่สนใจคำประกาศของทหาร พวกเขายืนยันว่า คณะรัฐประหารเป็นระบอบเดียวกัน และยังคงตะโกนว่า “ล้มอีกรอบ!” หลังจากก่อนหน้านี้ สโลแกนของการชุมนุมคือ “ล้ม แค่นี้แหละ!”
การเผชิญหน้ากันระหว่างทหารและผู้ชุมนุมสร้างความกังวลว่าอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้
ที่มา:
- https://www.buzzfeednews.com/article/tamerragriffin/sudan-president-omar-al-bashir-removed-military
- https://www.nytimes.com/2019/04/11/world/africa/omar-bashir-sudan.html
- https://www.bbc.com/news/world-africa-47903332