มันฮี (รับบทโดย คิมมินฮี) กำลังทำงานอยู่ตอนที่เจ้านายชวนเธอไปกินกาแฟ เธอตอบรับ ออกไปกับเจ้านาย จากนั้นเธอไม่กลับมาอีกเลย
สองสามวันต่อมา เพื่อนร่วมงานพบเธอนั่งทอดอารมณ์ในคาเฟ่เมืองคานส์ จึงเข้าไปคุย บอกว่าทุกอย่างลำบากขึ้นมาตั้งแต่เธอไม่อยู่ เพื่อนร่วมงานสงสัยว่าทำไมเธอหายไป เธอถอดแว่นกันแดดออก แล้วบอกว่าฉันโดนไล่ออกน่ะสิ เจ้านายพาฉันไปกินกาแฟ บอกว่าฉันเป็นคนดีคนเก่ง แต่ฉันเป็นคนไม่ซื่อ เธอทำงานร่วมกับคนไม่ซื่อไม่ได้หรอก เธอเลยขอให้ฉันออก ออกแบบให้มีผลทันที ไม่ต้องกลับไปทำงานแล้ว ฉันจะพูดอะไรได้ ตั๋วกลับโซลก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ ฉันก็เลยต้องอยู่นี่น่ะสิ
เจ้านายของเธอเป็นเจ้าของบริษัทภาพยนตร์ เธอกับผู้กำกับโซคบหากันอยู่ แต่เขาดันไปนอนกับนังมันฮี ลูกจ้างของเธอเพียงเพราะนางสวยและเขาเมา เธอเลยต้องไล่มันฮีออก
แคลร์เป็นครูวัยเกษียณ เธอเดินทางมาเที่ยวคานส์เพราะหนังของเพื่อนเธอได้มาฉาย เธอมีโปรเจคต์น่ารักส่วนตัวด้วยการพกกล้องโพลารอยด์ไปกับเธอทุกที่ ถ่ายรูปผู้คน ถ้าใครร้องขอเธอก็จะให้ แต่ถ้าไม่เอาเธอก็จะเก็บไว้ในคอลเลคชั่นส่วนตัว เธอบอกว่าการถ่ายรูปทำให้เธอมองอะไรช้าลง เห็นผู้คนในแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นตัวเอง เมื่อเธอกดถ่ายรูปผู้คน ผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนในรูป กับคนที่อยู่ต่อหน้าจะไม่เหมือนเดิมชั่วนิรันดร์ เธอบังเอิญพบผู้กำกับโซในคาเฟ่แห่งหนึ่ง พวกเขาพูดคุยกัน เธอถ่ายรูปเขา แล้วเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
แคลร์เจอมันฮีที่ชายหาด เธอถ่ายรูปมันฮี ทั้งคู่คุยกันถูกคอ เลยกลายเป็นเพื่อนกัน แคลร์ยังได้พบกับเจ้านายของมันฮีกับผู้กำกับโซด้วย เธอถ่ายรูปทุกคนผู้คนเปลี่ยนแปลง มันฮีกับเธอ มีเรื่องให้คุยไม่รู้จบ ช่วงเวลาที่หญิงต่างวัยรื่นรมย์ในชีวิตที่เดินหน้าหลังจากความล้มเหลว ความทุกข์เศร้า ปล่อยพวกผู้ชายให้กลายเป็นคนบ้าอำนาจที่น่าเวทนา
นี่เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งของฮองซางซู ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่น่าจะสำคัญที่สุดคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ร่วมสมัยทั้งในเกาหลีและในโลก เขาทำหนังมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบเรื่องในเวลายี่สิบปีเศษ แทบเรียกได้ว่าทุกปีต้องมีหนังของฮองซางซูเข้าฉายในเทศกาลหนังสำคัญเทศกาลใดเทศกาลหนึ่ง หลายเรื่องก็คว้ารางวัลสำคัญ หนังของเขามักจะไม่ใช่หนังยิ่งใหญ่ ทั้งหมดเป็นเรื่องของผู้คนชนชั้นกลาง ศิลปิน คนทำหนัง และเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของพวกเขา เกือบทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยบทสนทนา
เราเรียกได้ว่าหนังของฮองฯ คือหนังคนนั่งคุยกันตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมากเป็นเรื่องการจีบหญิง การนอกใจของผู้ชายเพลย์บอยที่ทำตัวเป็นคนคมคายแต่ที่จริงข้างในกลับแหยและว่างเปล่า กับบรรดาสาวๆ ที่เข้มแข็งกว่ากันเยอะ ด้วยบทที่คมคายและการล้อเล่นกับลำดับเวลาหนังของเขามักเล่นซ้ำเหตุการณ์เดิม แต่เมื่อเปลี่ยนเวลา หรือเปลี่ยนบทสนทนา หรือเปลี่ยนท่าทีเพียงเล็กน้อยความจริงอีกด้านก็จะถูกเฉลยออกมา ท่าที อารมณ์ และเรื่องราวเปลี่ยนแปลงแบบกลับหัวกลับหางได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงอะไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดีผู้คนรู้จักเขามากกว่าจากข่าวฉาวเมื่อหลายปีก่อนเมื่อเขาที่มีภรรยาและลูกอยู่แล้ว ประกาศว่าจะขอแยกทางจากภรรยาเพื่อไปอยู่กินกับ คิมมินฮี ดาราสาวที่กำลังโด่งดังและมาเล่นหนังของเขาใน Right Now, Wrong Then (2015) ข่าวกอสสิปนี้ทำให้คิมมินฮีแทบจะถูกแบนจากวงการ ฮองฯ เองก็โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ทั้งคู่ก็ยังอยู่ด้วยกัน แล้วหลังจากนั้นคิมมินฮีก็กลายเป็นนางเอกในหนังของเขาเกือบทุกเรื่อง
เราอาจแยกได้ยากระหว่างหนังกับชีวตจริงของเขา เมื่อหนังของเขาโดยมากก่อนหน้า มักเป็นเรื่องของผู้กำกับหนังคนดังจอมเจ้าชู้ที่จีบหญิงไปเรื่อย แต่หลังจากมีข่าวกับคิมมินฮี หนังของเขาที่เธอมาเล่นก็ขยับมาเล่าเรื่องที่ล้อไปกับชีวิตเขาอย่างน่าสนใจยิ่งเพราะมันล้อไปกับชีวิตของเขาและเธอ
On The Beach At Night Alone (2017) เล่าเรื่องของดาราสาวที่เป็นชู้กับผู้กำกับ เธอเลยหนีไปนั่งเศร้าอยู่เมืองนอก พอกลับมาก็ไปอยู่เมืองกวางนึง กินเหล้าเมาปลิ้นกับเพื่อน พวกผู้ชายก็กะลิ้มกะเหลี่ย เมียของเพื่อนผู้ชายก็เกลียดเธอแต่มีผู้หญิงบางคนที่เข้าใจ อยู่ดีๆ ไปเจอทีมงานของคนทำหนังที่อาจจะเป็นคนรักของเธอนั่นเอง หรือบางทีเธออาจจะแค่ออกมาชายหาดตอนหลางคืน หลับแล้วฝันไปว่าได้กลับไปด่าไอ้คนเจ้าชู้นั้น แต่สุดท้ายเธอก็เหลือแค่ตัวเอง
The Day After (2017) มินฮีรับบทเด็กสาวที่เข้ามาทำงานในสำนักพิมพ์ที่เจ้านายคืออาจารย์คนดังที่มีปัญหากับผู้จัดสำนักพิมพ์คนก่อน เพราะเธอคนนั้นเป็นเมียน้อยเขา แต่โดนเมียหลวงจับได้ เลยต้องลาออกไป แต่เพียงแค่การทำงานวันแรกก็ซวยเพราะเมียหลวงเข้าใจว่าเธอคือผู้หญิงคนที่ลาออกไปแล้ว เลยตามมาตบเธอที่สำนักพิมพ์ อาจารย์ตัวก่อเรื่องก็ดูเหมือนจะอยากเคลมเธอแม้จะมีเรื่องวุ่นๆ เกี่ยวกับความเจ้าชู้อยู่แล้ว เธอเลยต้องออกจากงานอีกคนแม้เธอจะชอบเขามากในฐานะของนักเขียนก็ตาม
จนมาถึง Claire’s Camera เรื่องก็ยังวนเวียนอยู่กับผู้หญิงที่เป็นชู้รักของผู้ชายเจ้าชู้และความยากลำบากที่ตามมา จนเราอาจเรียกหนังสามเรื่องนี้ว่า ไตรภาควิบากกรรมเมียน้อย
แม้หนังหลายเรื่องของเขาจะมีตัวเอกเป็นผู้หญิง แต่เราอาจบอกได้ว่าหนังของเขามักเล่าเรื่องของผู้ชาย มันเป็นหนังที่อาจจะมีตัวละครหลักเป็นหญิงแต่ที่จริงมันคือหนังที่ผู้ชายทำเพื่อวิพากษ์ความเหลวไหลไม่ได้เรื่องของผู้ชายเอง หนังของเขาจึงเป็นเหมือนการแฉชีวิตของเขา การปะปนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่ง เรื่องส่วนตัวกับเรื่องเล่า จนในไตรภาคหลังนี้เองที่ดูเหมือนเรื่องเล่าของเขาถูกย้ายจุดศูนย์กลางมายังหญิงคนรัก และสิ่งที่เธอต้องเผชิญจากการมาอยู่กับเขา นี่จึงเป็นไตรภาคที่ทั้งโรแมนติก หมกมุ่น และหลงตนของคนทำหนังที่เล่าเรื่องแบบเดิมซ้ำๆ อย่างคมคายมาตลอดชีวิตการทำหนัง
เมื่อเทียบกับสองเรื่องก่อนหน้า ดูเหมือน Claire’s Camera จะเป็นหนังที่รื่นรมย์ที่สุดในไตรภาค และอาจจะรื่นรมย์ที่สุดในรอบหลายๆ ปีของเขา หนังเป็นเหมือนบทสนทนาเพื่อเยียวยาจิตใจของผู้หญิงสองคน เป็นความเพลิดเพลินในโลกที่ผู้ชายเป็นเพียงคนนอก เป็นสัตว์กักขฬะไร้ความรับผิดชอบ
กล้องมหัศจรรย์ของแคลร์ ทำหน้าที่เหมือนภาพยนตร์ของฮองนั้นเอง ในการบันทึกภาพนิ่งชั่วขณะเวลาหนึ่งของชีวิตผู้คน ผู้คนที่ไม่มีใครเหมือนเดิมชั่วนิรันดร์ทุกคนเปลี่ยนแปลงไปในทุกวินาทีที่มีชีวิตอยู่ การคว้าจับช่วงเวลาหนึ่งแล้วหยุดมันไว้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากการให้โอกาสพินิจเข้าไปในชีวิตอีกครั้ง เพื่อแสวงหาความเป็นไปได้ ความผิดบาป ความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไข ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลง เพราะหนังของฮองซางซูมักบอกว่าผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ พวกเขายังเป็นพวกเขาเช่นที่เคยเป็น ผิดพลาดต่อไป หลงตนต่อไป และเจ็บปวดต่อไป เพียงแต่การเรียนรู้มองกลับทำให้พวกเขาเจ็บเพื่อเข้าใจก็เท่านั้น
หนังมีฉากร้ายกาจเมื่อมันฮีกลับมาพบกับผู้กำกับโซอีกครั้ง (ตลอดทั้งเรื่องคนทั้งคู่ไม่ได้เจอกันเลย) แล้วแทนที่เขาจะขอโทษที่ทำให้เธอตกงานฟรีๆ เขากลับหาเรื่องคุยกับเธอด้วยการบริภาษเธอว่าเธอแต่งตัวโป๊น่าเกลียดยั่วผู้ชาย หนังฉายภาพความอ่อนแอเหลาะแหละและรังเกียจผู้หญิงในตัวผู้ชายออกมาอย่างไม่ไว้หน้า แคลร์ถ่ายภาพเธออีกครั้งหลังเหตุการณ์นั้น และเธอขอร้องให้ถ่าย แต่เธอไม่ได้ขอภาพนั้นไว้ ชีวิตเธอเปลี่ยนอีกครั้ง เปลี่ยนไปจากเขาตลอดกาล
Tags: film, Cannes Film Festival, Claire's Camera, Hong Sangsoo, Kim Minhee