เราอาจบอกได้ว่า แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป
ชีวิตของจาลอดกับครูแก้ว เป็นรักลุ่มๆ ดอนๆ ของไอ้หนุ่มไทบ้านยากจนกับครูสาวจากในเมืองที่ย้ายมาอยู่บ้านแฟน มาอยู่ร่วมชายคากับบักมืด น้องชายตัวแสบที่ยังคงหลงรักหัวหน้าห้องจนไม่เป็นอันทำอะไร พระเซียงยังคงอยู่ในผ้าเหลือง บวชให้ลืมเธอ แต่ดูเหมือนยิ่งบวชยิ่งลืมไม่ลง เมื่อยังต้องบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านคนรักเก่าทุกเมื่อเชื่อวัน ปะเหมาะเคราะห์ดีก็ต้องมาเจอกันในวัด แถมยังต้องทำกิจของสงฆ์เทศนาให้คนเลิกยึดมั่นในรักโลภโกรธหลงแบบที่พระเองก็ยังทำไม่ได้เลย
ฝ่ายบักป่องก็ยังมุ่งมั่นไม่ลืมหูลืมตากับสโตร์ผักของตัวเองต่อไป จนมันเปิดสำเร็จ แต่การเปิดธุรกิจขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง เป็นแค่จุดเริ่มต้น บักเฮิร์บกับเจ๊สวยก็ยังคงประคับประคองกันไปรอคอยเฮิร์บน้อย บักเฮิร์บทำได้ทุกอย่างเพื่อเมีย ตั้งแต่คอยหยิบหนังสือการ์ตูนไปจนถึงจับงูสิง บักโรเบิร์ตยังคงเดินบ้าไปตามถนน จนมิตรสหายเหลือจะทนจับไปปล่อยวัดป่าแล้วหายตัวไป กีโนกับบักพิซซ่าก็ยังคงอยู่ด้วยกันโดยพี่สาวไม่รู้ไม่เห็นต่อไป
แทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นในภาคต่อของหนังเรื่องนี้ จุดพลิกผันหลักอย่างความตายของใบข้าวคนรักเก่าของพระเซียงถูกเล่าไว้ตั้งแต่ตอนจบของ 2.1 ดังนั้นแกนหลักของหนังภาคนี้เลยกลายเป็นเรื่องความล้มเหลวของบักป่องกับสโตร์ผักที่ทำทุกอย่างให้เธอแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้มันอยู่รอดในความเป็นจริง ตัดสลับกับชีวิตรักบักมืดที่ดูเหมือนว่ามีแต่จะแย่ลงเพราะสาวเจ้าดันไปชอบบักสิงห์เพื่อนซี้บักมืดแทน
เราอาจบอกได้ว่าชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เพราะหนังให้เวลากับชีวิตตรงหน้ามากกว่าจะมุ่งเล่าเรื่องเปิดโอกาสให้แต่ละตัวละครออกฉากคนละเล็กละน้อย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าสะเปะสะปะ แต่มันก็ให้ความรื่นรมย์ของการตามติดชีวิตมิตรสหายซึ่งไม่มีอะไรนอกจากชีวิตประจำวันลุ่มๆ ดอนๆ อันรื่นรมย์ ความรื่นรมย์นี้เองที่ช่วยบรรเทาความจริงที่ว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เราได้ดูผ่านไป กำลังดูและจะได้ดูคือมหากาพย์ความล้มเหลวของชีวิต ‘คนหนุ่ม’ ไทบ้านภายใต้ข้อจำกัดของพวกเขาเอง
มองย้อนกลับไปที่หนังชุดนี้ จากเรื่องรักไร้สาระของหนุ่มจีบสาวสาวจีบหนุ่มในไทบ้าน เดอะซีรีส์ภาคแรก ไปสู่ความพยายามและความล้มเหลวของคนหนุ่มไทบ้านในภาค 2.1 แต่พอมาถึง 2.2 นี้ ดูเหมือน ความล้มเหลวจะเดินนำหน้าความสำเร็จ เรื่องตลกกลายเป็นพงศาวดารของความล้มเหลวของคนหนุ่มไทบ้าน ความล้มเหลวที่ไม่ได้เกิดจากการต่อสู้ แต่จากการประคับประคองสิ่งที่ได้มา
เราอาจบอกได้ว่าหนังสามตอนเป็นมีเรื่องหลักไล่เรียงกันสามคน จากจาลอด มายังบักเซียง และบักป่อง เราอาจบอกว่าจาลอดได้ครองใจครูแก้ว บักป่องปลูกข้าวสำเร็จ แผนเปิดสโตร์ผักที่กว้านเอานายทุนในพื้นที่มาร่วมหัวจมท้ายเกิดขึ้นจนได้ และพระเซียงมีชีวิตที่ลืมคนรักเก่าได้หลังจากบวชพระ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงบทเริ่มต้นของความล้มเหลว เพราะจาลอดต้องประคับประคองชีวิตคู่ของครูข้าวกับเจ้าบ่าวข้าวเหนียวทั้งที่ตัวไม่ค่อยจะมีรายได้ พระเซียงลืมเธอเท่าไรก็ลืมไม่ลง หนักที่สุดคือบักป่องที่ต้องเผชิญความจริงว่า ความฝันของเขาในการสร้างบ้านแปงเมืองนั้นดูจะเป็นความฝันที่เกินตัวไปมาก และถ้าเขาล้มเขาก็ล้มลงไปเลย ลามเลยไปจนถึงภาระในการดูแลบักโรเบิร์ตของสามหนุ่มขาเมา ที่พบว่าพวกเขาไม่สามารถจะรับผิดชอบคนบ้าได้อีกต่อไป
ความฝันจึงมีส่วนคล้ายกับคนบ้า ความรักมีส่วนคล้ายกับครอบครัว มันคือพันธนาการของคนหนุ่มที่ไม่ได้มีการศึกษามากนัก ไม่ได้มีต้นทุนทางสังคมมากนัก ไม่ได้มีเส้นสายอุปถัมภ์มากนัก พวกเขาดิ้นรนที่จะมีชีวิต รื่นรมย์กับเรื่องราวต่างๆ รอบตัวเพราะไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ให้คาดหวัง
ชีวิตจึงยังดำเนินต่อไปในความฝันที่พังลงทีละน้อย ‘อันกูบ่เท่าใดดอก แต่อีครูแก้วกับไอ้มืดน้องกูนี่ติ๊’ ประโยคสั้นๆจากจาลอดที่อธิบายภาระในใจของคนที่ดูเหมือนจะไม่แยแสต่อภาระใดๆ ที่สุด กลายเป็นกุญแจฉายภาพว่าทั้งหมดที่เรากำลังเห็นคือการประคับประคองความฝันแบบที่ทำเท่าไรก็ไม่สำเร็จเพราะมันเลื่อนหลุดมืออยู่เรื่อย ทั้งการรักของจาลอด การลืมของพระเซียง การริรักของบักมืด ครอบครัวของบักเฮิร์บ คุณธรรมน้ำมิตรของสามหนุ่มขาเมา ไปจนถึงรูปธรรมที่สุดคือสโตร์ผักของบักป่องที่มีอุปสรรคตั้งแต่เงินทุนไม่พอ โดมผักไม่ได้มาตรฐานของรัฐ และเรื่องใหญ่ที่สุดคือการที่มันไม่เข้ากันกับชุมชนที่มันตั้งอยู่ ความคิดในการสร้่างบ้านแปงเมืองเพิ่มมูลค่า สร้างการจ้างงานที่บักป่องมองเห็นในอากาศไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลงมือทำแล้วจะสำเร็จ เขามาได้ไกลที่สุดแต่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานตามมีตามเกิดแบบเดียวกันกับมิตรสหายของเขา
อย่างไรก็ตาม เกือบทั้งหมดที่เราดูมาตลอดหกชั่วโมงเป็นเพียงเรื่องความรัก ความใฝ่ฝันของคนหนุ่ม ที่ผลักผู้หญิงให้เป็นเพียงไม้ประดับของชีวิต ตัวละครหญิงมากมายในหนังกลายเป็นคนมีชื่อเสียงจากรูปลักษณ์สวยน่ารัก แต่ตลอดในหนังเรื่องนี้พวกเธอแทบจะเป็นคนใบ้ที่ไม่เคยส่งเสียง แม้แต่ครูแก้วที่ได้พูดมากที่สุดในหนังก็เป็นเพียงแค่ที่พึ่งทางใจของจาลอดและเป็นเพียงคู่ต่อบทสนทนาที่พูดไปเรื่อย —ครูแก้วกับหมอปลาวาฬที่กระทั่งว่าถือสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ยังดูไร้ประสิทธิภาพในการรักษาหรือสอนผู้คน (ดูเหมือนรัฐ จะไม่มีส่วนช่วยเหลืออะไรผู้คนได้นอกจากคอยกีดกันบักป่องกับสโตร์ผักของเขา) ประสาอะไรกับใบข้าวที่จนตายไปก็ได้พูดเพียงไม่กี่คำ หรือปริมที่แทบจะปรากฏในทุกที่ก็แทบไม่มีบทสนทนาเลยจนตอนท้าย (จะว่าไปแล้วผู้หญิงคนเดียวที่มีเสียงในเรื่องนี้คือเจ๊สวย เจ้าของร้านชำแต่เสียงพูดของเธอเกือบทั้งหมดก็เป็นเสียงนอกบริบทของตัวเรื่อง)
ผู้หญิงในเรื่องจึงกลายเป็น ‘ผู้ไร้เสียง’ ในโลกของคนชายขอบอีกทอดหนึ่ง เป็นสิ่งของ เป็นเป้าหมาย เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตของผู้ชาย การหายไปของเสียงผู้หญิงในเรื่องนี้น่าสนใจมากๆ เพราะในขณะที่หนังเป็น ภาพร่างความล้มเหลวของเพศชาย เรากลับพบว่าคนที่โอบอุ้มความล้มเหลวทั้งหมดล้วนเป็นผู้หญิง ตั้งแต่ปริมที่มาทำหน้าที่ในการดูแลย่าให้บักเซียงตอนบวช ครูแก้วที่เป็นคนจัดหาข้าวของเครื่องใช้ในบ้านของลอดไปจนถึงจ่ายค่าจ้างบักมืดไปโรงเรียน แม้แต่นุ่นลูกผู้ใหญ่ก็ยังถูกใช้เป็นหนทางหาทุนให้บักป่อง และเจ็บปวดที่สุดคือแม่ของบักป่องที่เอาทั้งเงินทั้งสร้อยทองทั้งแหวนมาให้ลูกลงทุนสโตร์ผัก
ผู้หญิงที่เงียบใบ้เหล่านี้คือคนที่ยากลำบากที่แท้จริง คนประคับประคองที่แท้จริง ในการกระทำที่ไร้เสียงของพวกเธอ พวกเธอไม่มีเสียงพูดใดๆ นอกจากตอบเมื่อถาม หรือพูดเมื่อจำเป็น เราอาจมองได้ว่านี่คือหนังที่พูดถึงอีสาน คนสามัญที่ยากจนได้น่าสนใจ จริงใจ และเป็นมนุษย์มนามากที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นมนุษย์มนาของมันนี่เองที่มันได้เปิดเผยภาพการกดทับซ้ำซ้อนที่มากกว่าคนชนบทโดนกดทับโดยคนเมือง แต่ยังมีการกดทับภายในที่ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ความย้อนแย้งของมันคือยิ่งหนังดังเท่าไหร่ ยิ่งนักแสดงชายหน้าตาบ้านๆ โด่งดังมากเท่าไร นักแสดงหญิงที่หน้าตาดีจนตั้งเกิร์ลกรุ๊ปได้ก็ดังไปด้วย และความดังของพวกเธอก็ยิ่งเป็นไปในลักษณะของนางแบบ ของของสวยงาม หรือนางในฝันมากกว่าการเป็นนักแสดง
มันจึงน่าตื่นเต้นอย่างยิ่งที่หนังเลือกจบด้วยการบอกเป็นนัยกับผู้ชมว่าหนังกำลังจะเปลี่ยนขนบของตัวเอง เริ่มจากฉากเคาะโลงศพของพระเซียงที่โดนเซ็นเซอร์จนต้องบันทึกไว้ว่ามันน่าตกใจเพียงไรที่องค์กรทางศาสนา มองว่าพระจะไม่มีเรื่องทางโลกหลงเหลือในทันทีที่บวช แม้หนังจะย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าเป็นการบวชให้ลืมเธอ เริ่มจากฉากพิธีศพของใบข้าวที่ยาวนานและสยองขวัญจนทำให้นึกถึงหนังสยองขวัญไทยเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงน้อยกว่าที่ควรจะเป็นนั่นคือ นางตะเคียน (2010, สายยนต์ ศรีสวัสดิ์) ที่มีฉากพิธีศพแบบยาวนานจนเกือบจะเป็นงานวีดีโอทางมานุษยวิทยา พิธีศพของใบข้าวกลายเป็นฉากที่ช็อคผู้คน แบบเดียวกับการตายอย่างปัจจุบันทันด่วยในภาค 2.1 ความรุนแรงอยู่คู่กับผู้คนทั่วไป แนบชิดกว่าที่เราคิด และหนังประกาศตัวว่ามันจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นหนังผี
หนังผีเรื่องที่กำลังจะมา (แต่คงอีกหลายเดือนหรืออาจะเป็นปี) ชื่อเรื่องว่า สัปเหร่อ แต่มันเป็นเรื่องของผี ผีผู้หญิงตายท้องกลม เรื่องผีกับชนบทดูจะเป็นเรื่องที่ไปกันได้สวยอยู่แล้ว แต่เมื่อย้อนกลับไปยังเรื่องการไร้เสียงของพวกผู้หญิง บางทีในภาคหน้า ผู้หญิงในเรื่องจะลุกขึ้นพูด แต่เธอจะมีเสียงก็ต่อเมื่อเธอตายแล้ว ตายกลายเป็นผีมาหลอกหลอนผู้คน แบบที่ผีเป็นแฟนตาซีของคนชายขอบในการลุกขึ้นทวงความยุติธรรมจากพวกผู้คนที่เขาไม่มีทางสู้ในตอนที่มีชีวิตอยู่ และสิ่งนี้เป็นฟังก์ชั่นของหนังผีมาตลอด
จักรวาลไทบ้านจึงขยายออกไปอย่างน่าสนใจไม่ว่ามันจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ด้วยความจริงใจต่อสิ่งที่ตัวเองเล่า ความรักที่มีต่อตัวละครของตนเอง ไทบ้านเดอะซีรีส์ได้พาตัวเองไปสู่จุดที่ไกลกว่าที่มันคิดว่ามันจะเป็นในเริ่มแรกอย่างน่าทึ่ง
Tags: Filmsick, ไทบ้าน เดอะซีรีส์, ไทบ้านเดอะซีรี่ส์, ไทบ้านเดอะซีรี่ส์ 2.2, หนังไทย