ในปี 1860 สหรัฐอเมริกามีแรงงานอิสระประมาณ 80% จากนั้นจำนวนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงทศวรรษ 1900 จำนวนแรงงานอิสระลดลงมา 50% และในปี 1977 เหลือเพียง 7% ผ่านมา 41 ปี การทำงานของชาวอเมริกันในศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนรูปแบบไปอีก
ในรายงานล่าสุดเรื่อง งานฟรีแลนซ์ในสหรัฐอเมริกา 2018 ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2018 โดยบริษัทอัปเวิร์ค (Upwork) และสหภาพคนทำงานฟรีแลนซ์ (Freelancers Union) ซึ่งจัดทำเป็นปีที่ 5 เผยให้เห็นว่าชาวอเมริกันเลือกทำงานที่ตัวเองอยากทำ เวลาที่อยากทำ และงานที่อยากทำ ทั้งๆ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจได้สร้างงานแบบสำนักงานที่เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็นมากมายสำหรับคนทำงาน แต่นับวันคนอเมริกันเลือกไลฟ์สไตล์ที่เป็นอิสระแบบคนทำงานฟรีแลนซ์มากขึ้นเรื่อยๆ
งานศึกษานี้สำรวจแรงงานชาวอเมริกัน 6,000 คน ในปีที่ 5 นี้ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การใช้เวลาทำงาน 1 พันล้านชั่วโมงต่อสัปดาห์ของชาวอเมริกันเป็นงานแบบฟรีแลนซ์
การทำงานอิสระเป็นกระแสหลักไปแล้ว เพราะชาวอเมริกันทุก 3 คน จะมี 1 คนที่ทำงานแบบฟรีแลนซ์คิดเป็น 35% ของแรงงานทั้งหมด ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่ตลาดแรงงานเสนองานแบบเต็มเวลาเป็นส่วนใหญ่ แต่ชาวอเมริกันเลือกงานอิสระหรืองานแบบฟรีแลนซ์เพิ่มขึ้น ระหว่างปี 2014-2018 มีชาวอเมริกัน 3.7 ล้านคนเริ่มทำงานแบบฟรีแลนซ์ ตอนนี้มีชาวอเมริกัน 56.7 ล้านคนเป็นฟรีแลนซ์ เติบโต 7% ภายใน 5 ปี ส่วนงานประจำเติบโตเพียง 2% เท่านั้น
เมื่อถูกถามว่า พวกเขาเลือกทำงานแบบฟรีแลนซ์เพราะความจำเป็นหรือเลือกเอง ผู้ตอบแบบสอบถาม 61% บอกว่าเลือกเอง เพิ่มขึ้นจากปี 2014 ถึง 8%
ขณะที่รายงานนี้พบว่าทั้งคนทำงานฟรีแลนซ์และคนทำงานประจำต่างก็จัดให้ไลฟ์สไตล์มีความสำคัญมากกว่ารายได้ แต่คนทำงานฟรีแลนซ์เป็นคนได้มีไลฟ์สไตล์แบบที่ตัวเองต้องการ เมื่อเปรียบเทียบกับคนทำงานประจำ คนทำงานฟรีแลนซ์ 84% บอกว่างานของพวกเขาทำให้ได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการได้ ส่วนคนทำงานประจำมี 63% ครึ่งหนึ่งของคนทำงานฟรีแลนซ์บอกว่าจะไม่ยอมทำงานประจำ ไม่ว่าจะได้เงินมากแค่ไหนก็ตาม แม้พวกเขารู้สึกวิตกกังวลกับสิ่งที่ต้องจัดการ แต่ก็มีสมดุลระหว่างงานกับชีวิตด้านอื่นๆ มากกว่าเพราะการควบคุมตารางงานของตัวเองได้มากกว่า ทำให้ความเครียดน้อยกว่าและมีสุขภาพที่ดีกว่า
นอกจากนี้การทำงานฟรีแลนซ์ยังมอบโอกาสใหม่ๆ ให้คนที่ไม่สามารถทำงานได้ด้วย คนที่ทำงานฟรีแลนซ์ 42% เห็นด้วยว่างานฟรีแลนซ์ทำให้พวกเขามีความยืดหยุ่นต่อความต้องการได้ หลายคนไม่สามารถทำงานประจำได้ เนื่องจากเงื่อนไขส่วนตัว เช่น ปัญหาสุขภาพ การดูแลลูก ฯลฯ
เหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้งานฟรีแลนซ์เติบโตมาจากเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกันอย่าง ดรอปบอกซ์ สแล็ค และกูเกิลดอกซ์ แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้การทำงานระยะไกลง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ขณะเดียวกันก็หาลูกค้าได้ง่ายกว่าเดิม ผลการศึกษาพบว่า 3 ใน 4 ของคนทำงานฟรีแลนซ์บอกว่าเทคโนโลยีทำงานพวกเขาหางานได้ง่ายขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถาม 64% เจองานทางออนไลน์มากกว่าปี 2014 ถึง 21% สัดส่วนของงานฟรีแลนซ์ที่หาได้จากอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นเป็น 67% ในปีนี้
แพลตฟอร์มออนไลน์ลดต้นทุนในการหาคนเก่ง มันไม่ใช่แค่ทำงานฟรีแลนซ์มีงานทำมากขึ้น แต่ยังทำให้เศรษฐกิจเติบโต โดยรายงานของสถาบันแมคคินซีย์ โกลบอล (McKinsey Global Institute) ระบุว่าภายในปี 2025 ตลาดงานออนไลน์จะเพิ่มจีดีพีของโลก 2.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และทำให้ปัญหาแรงงานของโลกดีขึ้น
ตอนนี้ สัดส่วนคนทำงานแบบฟรีแลนซ์ที่มีมากที่สุดในแรงงานอเมริกันคือ มิลเลนเนียลซึ่งมีอายุระหว่าง 18-34 ปี โดยพวกเขาตัดสินใจทำงานฟรีแลนซ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากตัวเลข 38% ในปี 2014 ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 42% มิลเลนเนียลต้องการอิสระมากกว่าเดิมในการเลือกว่าจะทำงานที่ไหนตอนไหน งานฟรีแลนซ์ตอบโจทย์ของพวกเขา มิลเลนเนียลยังเลือกงานที่ทำให้พวกเขามีชีวิตใกล้กับสิ่งที่ต้องการ จึงอยากได้ความยืดหยุ่นเพื่อนิยามชีวิตของพวกเขาเอง
คนทำงานฟรีแลนซ์ยังตื่นตัวทางการเมืองมากกว่า ในฤดูเลือกตั้งที่กำลังมาถึง พวกเขาตื่นตัวทางการเมืองมากกว่าคนทำงานประจำ 19% โดย 72% บอกว่า พวกเขาจะไปลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่สนับสนุนคนทำงานฟรีแลนซ์และพร้อมที่จะเลือกตัวแทนจากพรรคอื่น ที่มีนโยบายเกี่ยวกับประกันสุขภาพที่เข้าถึงได้และเงินออมหลังเกษียณ และค่าตอบแทนที่สูงขึ้น
คนทำงานฟรีแลนซ์ให้คุณค่ากับการฝึกฝนทักษะ โดย 93% ของคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีบอกว่า การฝึกอบรมทักษะมีประโยชน์มาก มี 79% ที่บอกว่าว่าสิ่งที่เรียนมาใช้ทำงานได้แล้ว ในช่วง 6 เดือนมีคนทำงานฟรีแลนซ์เข้าฝึกอบรมทักษะต่างๆ 70% ขณะที่คนทำงานประจำมีเพียง 49%
ที่มา:
https://www.upwork.com/press/2018/10/31/freelancing-in-america-2018/
https://qz.com/work/1441108/the-us-now-has-more-than-56-7-million-freelance-workers-and-they-vote/
Tags: ฟรีแลนซ์, มิลเลนเนียล