[1]
“คุณเคยเห็นนักแสดงหญิงคนไหนเล่นแบบเมธอดไหมล่ะ” คือคำถามจากปากของ คริสเตน สจ๊วต (Kristen Stewart) ที่กำลังเขย่าโลกออนไลน์ในขณะนี้ ความคิดเห็นของเธอขณะให้สัมภาษณ์กับ The New York Times นำเสนอมุมมองที่ต่างไป ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับสไตล์การแสดงแบบเมธอดเท่านั้น แต่รวมถึงการเมืองเรื่องเพศสภาวะ (Gender Politics) ณ โลกหลังกล้องของนักแสดงด้วย
เมธอด (Method Acting) คือเทคนิคหนึ่งที่นักแสดงหลายคนเลือกใช้เพื่อเข้าถึงบทบาทให้ลึกซึ้งและสมจริง พวกเขาไม่เพียงสวมบทบาทแค่ตอนเดินกล้อง แต่จะกลืนกลายเป็นตัวละครนั้นๆ ด้วยการจมจ่อมอยู่กับบทในทุกมิติของชีวิต
แม้ปัจจุบันการแสดงแบบเมธอดจะเริ่มได้รับเสียงวิพากษ์โดยสื่อกระแสหลัก ถึงความเป็นพิษที่ส่งผลกระทบต่อตัวนักแสดงทั้งในเชิงร่างกายและจิตใจ แต่ตลอดเวลาเกินครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่การแสดงแบบเมธอดกลายเป็นที่รู้จัก นักแสดงที่เลือกใช้วิธีนี้ในการเข้าถึงบทบาทมักได้รับการยกย่องว่าช่าง ‘ทุ่มเท’ และ ‘อัจฉริยะ’
น่าแปลกที่บ่อยครั้งนักแสดงที่ว่านั้นมักเป็นชาย ขณะที่นักแสดงหญิงกลับถูกเหมารวมว่าเป็นแค่ ‘คนบ้า’
[2]
โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ไปลองทำงานขับแท็กซี่อยู่พักหนึ่งเพื่อเข้าถึงบทบาทใน Taxi Driver (1976)
คริสเตียน เบล (Christian Bale) ลดน้ำหนักลงอย่างฮวบฮาบถึง 30 กิโลกรัมและบังคับตัวเองให้นอนเพียงคืนละ 2 ชั่วโมงเพื่อรับบทช่างเครื่องที่ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับใน The Machinist (2004)

ที่มา: ภาพยนตร์ The Machinist
จาเรด เลโท (Jared Leto) อินกับบทโจ๊กเกอร์มากจนถึงขั้นส่งของขวัญที่สร้างความไม่สบายใจไปให้เพื่อนร่วมทีมนักแสดงใน Suicide Squad (2016) เช่น หนูเป็นๆ หรือซากหมูตาย
หรือกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ นิตยสาร Variety เขียนเล่าด้วยน้ำเสียงชื่นชมถึง เจมี แคมป์เบลล์ บาวเวอร์ (Jamie Campbell Bower) ที่เข้าถึงบทบาทด้วยการออกไปเดินมืดๆ พลางพูดคนเดียวในซอยแถวที่พักตอนตีสอง ทั้งยังใช้เวลาถึง 4 วันก่อนออกกองหลีกเลี่ยงผู้คนและไม่พูดจากับใครนอกกอง Stranger Things เลย
ไม่ใช่ว่าไม่มีนักแสดงหญิงที่เลือกใช้เทคนิคนี้เลย เพียงแต่น้ำเสียงที่สื่อใช้พูดถึงพวกเธอ (หรือการตัดสินใจที่จะไม่หยิบมาพูดถึงเลย) น้อยครั้งมากที่จะเต็มไปด้วยความทึ่งในความทุ่มเทแรงกายแรงใจ
ตัวอย่างเช่น ในเวลาไล่เลี่ยกับแคมป์เบลล์ บาวเวอร์ เลโท นักแสดงสาว มีอา กอท (Mia Goth) เล่าให้ Refinery29 ฟังว่า ระหว่างถ่ายทำ Frankenstein (2025) เธอสร้างสายสัมพันธ์นอกจอเพื่อให้เธอกับ เจคอบ เอลอร์ดี (Jacob Elordi) มีเคมีในจอแบบ ‘อยากปกป้องดูแล’ ด้วยการส่งของขวัญให้เขาเป็นเครื่องดื่มวิตามินซี น้ำขิง และพิซซ่าถาดใหญ่
แม้จะเป็นวิธีการแบบเมธอดอย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องนี้ถูกเขียนถึงในลักษณะของเกร็ดน่ารักๆ จากกองถ่ายมากกว่าที่จะให้เครดิตความพยายามของเธอในการสร้างความต่อเนื่องทางอารมณ์นอกจอ
[3]
หัวข้อที่จุดประกายบทสนทนาเรื่องความสองมาตรฐานที่นักแสดงหญิงต้องเผชิญของคริสเตน สจ๊วตกับ The New York Times คือการแสดงของ มาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) ดาวค้างฟ้าจากยุค 50s ที่รับบทเป็นพ่อของซูเปอร์แมนในภาพยนตร์เรื่อง Superman (1978) เขาจงใจออกเสียงคำว่า ‘คริปตัน’ ต่างไปจากนักแสดงคนอื่นในเรื่องจนคนดูจดจำได้
แทนที่จะถูกมองว่าเป็นความไม่มืออาชีพ เพื่อนร่วมวงการหลายคนกลับเคารพที่แบรนโดยืนหยัดใน ‘ศักดิ์ศรีของตัวเอง’ ที่จะอ่านคำนี้ในแบบที่ตนคิดว่าถูกต้อง หลายคนถึงกับตีความว่าเป็นวิธีของแบรนโดในการแสดงอารยะขัดขืน เมื่อต้องจำใจเล่นบทหนังฮีโร่เอาใจตลาดอย่างซูเปอร์แมน

ที่มา: ภาพยนตร์ Superman: The Movie
หลังสจ๊วตได้ฟังเรื่องนี้ เธอกล่าวว่า
“น่าสงสารหนุ่มๆ เขานะ เจ็บปวดน่าดูเลยที่ต้องแสดง โดยเนื้อแท้แล้ว การแสดงเป็นศิลปะที่ดึงด้านเปราะบางของคนออกมา เพราะอย่างนี้การแสดงจึงเป็นสิ่งน่าอายและ ‘ไม่แมน’ เอาเสียเลย การทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้กับไอเดียของคนอื่นมันฟังดูไร้ซึ่งความทรนงองอาจ ตรงข้ามกันเลย โดยเนื้อแท้แล้วการแสดงคือการนอบน้อมยอมจำนน
“ผู้ชายในฮอลลีวูดได้รับการเชิดชูแค่เพราะยืนหยัดจะเป็นตัวของตัวเอง เรื่องของแบรนโดทำให้เขาฟังดูเหมือนฮีโร่เลยใช่ไหม แต่ถ้าผู้หญิงทำแบบนั้นบ้าง ถ้าเป็นผู้หญิงที่ต้องวิดพื้น 50 ครั้งก่อนเข้าฉากโคลสอัปเสมอ หรือดื้อไม่ยอมพูดบทด้วยวิธีอ่านออกเสียงที่กำหนดไว้ก็ล่ะ เรื่องจะถูกเล่าอีกแบบเลย
“มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในกองถ่ายก่อนเริ่มแสดงจริง นั่นคือหากผู้ชายสามารถถอยตัวเองออกมาจากด้านเปราะบางของตัวเองได้ชั่วคราว อาจจะด้วยการระเบิดอารมณ์เหมือนกอริลลาที่ได้ทุบอกข่มขวัญ การเข้าฉากร้องไห้ต่อหน้ากล้องก็จะน่าอายน้อยลง แถมการทำแบบนั้นยังให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาได้แสดงมายากล ราวกับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำช่างยากเย็นจนน่าจะไม่มีใครอื่นสามารถทำได้เหมือนพวกเขาเลย”
เรื่องราวในกองถ่ายเกี่ยวกับนักแสดงหญิงที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะมักกลายเป็นหัวข้อข่าวไม่ใช่การเตรียมตัวเข้าถึงบทบาท แต่คือความเป็นดิวา เหวี่ยงวีน เอาแต่ใจของพวกเธอ สจ๊วตนึกถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อนนักแสดงชายในวงการเมื่อเร็วๆ นี้
“ฉันถามเขาว่า ‘เคยเจอนักแสดงหญิงคนไหนที่เล่นแบบเมธอดบ้างไหม คนที่จะต้องร้องกรี๊ดแล้วก็ทำเรื่องพวกนี้ก่อนเข้าฉากน่ะ’ แต่ทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘ผู้ชาย ผู้หญิง’ ปฏิกิริยาของเขาคือ ‘อย่าพูดเรื่องที่มันชัดเจนอยู่แล้วเลยดีกว่า โอ๊ย พวกนักแสดงหญิงน่ะบ้ากันมาก’ กลายเป็นว่าเรื่องก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว ผู้หญิงเป็นฝ่ายบ้า ส่วนเขาก็ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยสักนิด”
อ้างอิง:
https://www.nytimes.com/2025/12/06/magazine/kristen-stewart-interview.html
https://www.yahoo.com/entertainment/jared-letos-ratty-suicide-squad-gifts-122506347617.html
https://variety.com/2022/tv/features/jamie-campbell-bower-stranger-things-vecna-1235280377/
https://www.tiktok.com/@refinery29au/video/7566013949250915601
Tags: Acting, Kristen Stewart, Gender, Feminism, pop culture, Method Acting, Representation, Gender Politics, Film & Culture




