วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา อาจไม่กระทบต่อการเลือกตั้งทั่วไปที่จะจัดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เนื่องจากทาง กกต.มีวิธีบริหารจัดการเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งต้องการให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่กำหนดไว้
“หากมีประกาศให้มีการเลือกตั้งแสดงว่า กกต.สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ไม่ว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่กระทบแน่นอน เพราะ กกต.บริหารงานในสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นแม้วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่กระทบ” แสวงกล่าว
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ กกต.ระบุด้วยว่า ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการแก้ไขปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะทาง กกต.อำนวยความสะดวกอยู่แล้ว แต่หากมีการประกาศกฎอัยการศึกก็ต้องดูสาระสำคัญว่าเป็นอย่างไร
ส่วนประเด็นการจัดตั้งคูหาลงคะแนนเสียงในพื้นที่ศูนย์อพยพ แสวงกล่าวว่า ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องประเมินสถานการณ์ไปก่อน อย่างไรก็ตามยืนยันว่า มีทางออกแน่นอน ทั้งรูปแบบเอาคนเข้าไปหาหน่วยเลือกตั้ง และเอาหน่วยเลือกตั้งเข้าไปหาคน
ในวันเดียวกัน แสวงยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลส่งคำถามเรื่องประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญมายัง กกต.ซึ่งประกอบไปด้วยรายละเอียดคือ เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญของเรื่องที่จะทำประชามติ และงบประมาณ ทั้งนี้ยืนยันว่า การทำประชามติสามารถจัดขึ้นวันเดียวกับวันเลือกตั้งทั่วไปได้ โดยกฎหมายกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประกาศวันออกเสียงประชามติ
ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยื่นคำถามมาเมื่อวานนี้ (16 ธันวาคม 2568) ซึ่งมีการหารือกับ กกต.ว่า ตกลงแล้วจะใช้คำถามที่รัฐสภาเป็นผู้ตั้ง หรือ ครม.เป็นผู้ตั้ง เลขาธิการ กกต.แจงว่า กกต.ไม่ใช่ผู้เลือกคำถาม เพราะตามหลักของกฎหมายให้อำนาจเป็นของหน่วยงานที่ส่งเรื่องมาให้ทำประชามติ จึงยังไม่ขอตอบว่า ครม.ส่งคำถามมาตามวงเล็บใดของกฎหมายการทำประชามติ
ขณะที่งบประมาณการจัดทำประชามติหากไม่รวมกับการจัดการเลือกตั้งทั่วไปจะใช้ใกล้เคียงกับการเลือกตั้ง เพราะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 53 ล้านคน หากมีการแยกกันระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปกับการออกเสียงประชามติ จะใช้งบประมาณอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท แต่หากมีการจัดพร้อมกันจะใช้งบประมาณอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท
Tags: แสวง บุญมี, แก้ไขรัฐธรรมนูญ, ประชามติ, พรรคการเมือง, กกต., คณะกรรมการการเลือกตั้ง, ไทยกัมพูชา, เลือกตั้ง69




