สมัยนี้ยังมีคนที่ฟังฟังแผ่นเสียงและครอบครองเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่เหรอ

ทว่าไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว การฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงยังคงมีอยู่ ในบ้านเรามีทั้งผู้ผลิตเครื่องเล่นแผ่นเสียง ศิลปินที่ทำแผ่นเสียง และผู้ฟังที่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดเครื่องเล่นแผ่นเสียงอาจไม่เป็นที่พูดถึงหรือถูกจับตามองมากนัก แต่ดูวันนี้ธุรกิจนี้กำลังกลับมาบูม เพราะผู้คนหันมาสนใจการฟังเพลงแบบแอนะล็อกและของสะสม ทำให้เกิดร้านขายแผ่นเสียง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโต 

‘Gadhouse’ คือผู้ผลิตเครื่องเล่นแผ่นเสียงสัญชาติไทย ที่โด่งดังในระดับสากล โดดเด่นด้วยการออกแบบเครื่องเล่นแผ่นเสียงสไตล์เรโทร-โมเดิร์น (Retro-modern) ผสมผสานดีไซน์วินเทจเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก่อตั้งโดย เพชร-วัชรพล เตียวสุวรรณ์

ด้วยความหลงใหลในสินค้าย้อนยุค สไตล์วินเทจ ไปจนถึงการสะสมเครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเล่นเทป และคาสเซตต์จากยุคต่างๆ ทำให้เพชรตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจเครื่องเล่นแผ่นเสียงเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ในช่วงที่ยังมีไม่กี่คนมองเห็นโอกาสในตลาดนี้

เส้นทางของเพชรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก เขาได้คลุกคลีกับอุปกรณ์ไฟฟ้า เพราะที่บ้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า จึงคุ้นเคยกับ Audio Gadget และเคยถอดประกอบเพื่อทำความเข้าใจระบบการทำงานของมัน

แต่เมื่อต้องทำแบรนด์ของตัวเอง ช่วงแรกเพชรต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ใช่แค่การมีไอเดีย แต่คือการทำให้ไอเดียนั้นเกิดขึ้นจริง

เขาเล่าว่า คอนเซปต์ของ Gadhouse คือบ้านที่เต็มไปด้วยโปรดักต์หน้าตาย้อนยุคแต่ยังคงความทันสมัยในทุกช่วงเวลา ชื่อว่า Gadhouse ถูกคิดไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนจะมีโปรดักต์ชิ้นแรกเสียอีก โดยมาจาก ‘Gadget Retro Modern House’ หมายถึงพื้นที่รวบรวมเครื่องใช้ที่หน้าตาย้อนยุค แต่ใช้งานได้ดีในทุกยุคสมัย

แม้คอนเซปต์จะชัด แต่ความยากจริงๆ อยู่ที่การเริ่มต้นในฐานะโนเนม การไปหาตลาด หาพาร์ตเนอร์ หาดีลเลอร์ ล้วนต้องใช้ความเชื่อมั่น ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งทีมยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเงิน บัญชี และงานหลังบ้านต่างๆ จึงถือเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ต้องเรียนรู้แทบทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์

เส้นทางของเพชรเริ่มจากการเรียนวิศวกรรมอุตสาหการ ก่อนเริ่มทำงานในโรงงานอยู่ 3-4 ปี ช่วงนั้นเขาเป็นสายสเปเชียลลิสต์เต็มตัว แต่ก็เริ่มรู้สึกอยากลองทำอะไรใหม่ๆ จึงเปิดรับพรีออร์เดอร์เครื่องเล่นแผ่นเสียงจากต่างประเทศเป็นงานเสริม ควบคู่กับการทำงานประจำ

เพชรบอกว่า จริงๆ แล้วเขาทำพรีออร์เดอร์มาตั้งแต่เรียนจบ อาศัยความที่ตอนนั้น Facebook กำลังเติบโต เปิดเพจเองได้ง่าย เวลาได้ออร์เดอร์ก็เก็บมัดจำก่อนแล้วค่อยนำเข้าสินค้า จนทำแบบนี้ต่อเนื่องราว 4-5 ปี ก่อนจะเริ่มต้นพัฒนาเครื่องเล่นรุ่นแรกของแบรนด์ Gadhouse อย่างจริงจัง

จุดเริ่มต้นของคอมมูนิตี้แผ่นเสียง ในวันที่ของยังหายาก แต่คนฟังจริง

เพชรเล่าว่า ช่วงเวลาที่เริ่มทำแบรนด์เป็นจังหวะที่คลื่นใหม่ของการเล่นแผ่นเสียงเพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นพอดี แต่ยังไม่ใช่กระแสใหญ่แบบที่เห็นในปัจจุบัน

“ตอนนั้นตลาดในไทยยังเล็กมาก กลุ่มคนฟังส่วนใหญ่คือคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เห็นไลฟ์สไตล์การฟังแผ่นเสียงจากอเมริกาหรือยุโรป แล้วค่อยนำกลับมาปรับใช้กับชีวิตที่บ้านเรา ขณะที่แผ่นเสียงไทยที่ผลิตใหม่ก็มีให้เลือกไม่มากนัก นับจำนวนได้เป็นอัลบั้ม เช่น อัลบั้มแรกของ อิ้งค์ วรันธร หรือผลงานของโมเดิร์นด็อก ซึ่งยังห่างไกลจากความหลากหลายแบบในปัจจุบัน”

ในทางกลับกัน ภาพของต่างประเทศกลับคึกคักกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรืออังกฤษที่มีคอมมูนิตี้คนรุ่นใหม่หันกลับมาฟังแผ่นเสียง มีงานอย่าง Record Store Day ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวัฒนธรรมร้านแผ่นเสียงอิสระ และมีแบรนด์เครื่องเล่นอย่าง Crosley ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

เพชรเองก็อยู่ในคลื่นนั้น เขาเปิดเพจรับพรีออร์เดอร์ Crosley ควบคู่ไปกับการลองผิดลองถูกแทบทุกอย่างที่เกี่ยวกับแผ่นเสียง เพื่อทำความเข้าใจตลาดไปพร้อมกับการลงมือทำ

หนึ่งในคำถามที่เขามักถูกถามเสมอคือ แล้วในวันที่ตลาดยังเล็กแบบนั้น คนจะหาแผ่นเสียงมาฟังจากที่ไหน

เพชรอธิบายว่า แม้จะยังไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้ แต่ก็ยังมีร้านแผ่นเสียงที่ดำเนินกิจการอยู่ตามย่านเมืองเก่า รวมถึงแผ่นเสียงมือสองที่พอหาได้จากแหล่งอย่างพันธุ์ทิพย์ฯ หรือฟอร์จูนฯ จึงยังพอมีพื้นที่ให้คนที่สนใจเริ่มต้นสะสม และค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับตลาดแผ่นเสียงในเวลาต่อมา

สมาชิกคนแรกของบ้าน Gadhouse

เพชรเล่าว่า โปรดักต์ตัวแรกในนาม Gadhouse คือเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่น Brad Retro ลำโพง 10 วัตต์ พร้อมบลูทูธในตัว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่น HENRY ที่หลายคนจดจำได้จากสีฟ้า และเป็นเหมือนสมาชิกคนสำคัญของบ้าน Gadhouse ที่ช่วยพิสูจน์ว่า คอนเซปต์ของแบรนด์จะไปต่อได้จริงหรือไม่

HENRY ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับมือใหม่มากที่สุด ตั้งค่าเพียงไม่กี่ขั้นก็สามารถเริ่มฟังเพลงได้ทันที ตัวเครื่องมาพร้อมลำโพง Bookshelf ซ้าย-ขวา กำลังขับรวม 60 วัตต์ ทำให้ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม และยังรองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ สำหรับคนที่อยากสตรีมเพลงจากมือถือผ่านลำโพงชุดเดียวกันได้ ในช่วงเปิดตัว HENRY มีให้เลือก 2 สี และถูกวางคาแรกเตอร์ให้เป็นวัยรุ่นในบ้าน สดใส สนุก แต่แฝงกลิ่นอายดีไซน์ยุค 60s ราวกับเป็นการชุบชีวิตบรรยากาศเรโทรให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในบ้านของคนรุ่นใหม่

สำหรับผลตอบรับในต่างประเทศถือว่าดีเกินคาด เพชรนำสินค้าไปขายบน Amazon US และขายได้จำนวนมากตั้งแต่ช่วงแรก แต่ในไทยกลับเป็นอีกเรื่อง ยอดขายยังน้อยมาก เดือนหนึ่งขายได้ 10 เครื่องก็ถือว่าดีแล้ว

เขามองว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดในไทยยังเล็กและเฉพาะกลุ่ม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับการเล่นแผ่นเสียง ขณะที่งบประมาณด้านการตลาดของแบรนด์ในช่วงเริ่มต้นก็มีอย่างจำกัด ร้านพาร์ตเนอร์ที่ร่วมวางขายก็มีเพียงไม่กี่แห่ง เช่น ร้านน้องท่าพระจันทร์

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่ช่วยแบรนด์โดยไม่ได้ตั้งใจ หลายคนเข้าใจว่า Gadhouse เป็นแบรนด์จากต่างประเทศ เพราะเมื่อค้นหาข้อมูลมักเจอเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ ทำให้เกิดการบอกต่อว่า เป็นแบรนด์นอกที่เข้ามาทำตลาดในไทย ทั้งที่ความจริงแล้ว Gadhouse เป็นแบรนด์ไทยตั้งแต่วันแรก

เพชรเล่าว่า ช่วงแรกที่ทำแบรนด์ในไทย การตลาดยังเรียบง่ายมาก เพราะงบประมาณไม่ได้เยอะ สิ่งที่ทำได้คือ พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่คนใช้จะเจอเรา เริ่มจากการออกงานต่างๆ เช่น Noise Market หรืออีเวนต์ที่ happening จัด ซึ่งเป็นแหล่งรวมคนสายอาร์ตและดนตรี กลุ่มวัยรุ่นที่เปิดรับของเรโทรและดีไซน์สนุกๆ อยู่แล้ว การไปออกงานแบบนี้ทำให้คนค่อยๆ มองเห็นแบรนด์มากขึ้นทีละนิด

แต่สิ่งที่เวิร์กที่สุดกลับไม่ใช่โฆษณาใดๆ หากเป็นการบอกต่อของคนที่ซื้อไปใช้งานจริง เพราะเครื่องเล่นของ Gadhouse มีดีไซน์ชัดเจนจนกลายเป็นของที่แสดงตัวตน ลูกค้ามักถ่ายรูปมุมบ้าน แชร์ลงโซเชียลฯ แล้วแท็กแบรนด์ให้เอง ความน่ารักแบบนี้ทำให้แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักโดยธรรมชาติ และเติบโตจากการบอกต่อมากกว่าการตลาดแบบทางการ

เมื่อแผ่นเสียงขยับ เครื่องเล่นก็ขยับตาม

เพชรยอมรับตรงๆ ว่า ธุรกิจเครื่องเล่นแผ่นเสียงผูกโยงกับความนิยมของแผ่นเสียงแบบแนบแน่น ตลาดแผ่นเสียงขยับอย่างไร ตลาดเครื่องเล่นก็ขยับตามแทบทุกครั้ง

เขาอธิบายว่า คนที่จะซื้อเครื่องเล่นส่วนใหญ่ คือคนที่มีแผ่นอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ไม่ค่อยมีกรณีที่เริ่มจากซื้อเครื่องก่อน แล้วค่อยมาเริ่มสะสมแผ่นทีหลัง เพราะเสน่ห์ของการเล่นแผ่นเสียง มันเริ่มจากการได้เจอแผ่นที่ชอบก่อน แล้วจึงค่อยตามหาเครื่องที่เหมาะกับตัวเอง

เพราะฉะนั้นยิ่งกระแสแผ่นเสียงกลับมาคึกคัก ไม่ว่าจะจากศิลปินรุ่นใหม่ที่ออกแผ่นมากขึ้น หรือคอมมูนิตี้การสะสมที่เติบโต ธุรกิจเครื่องเล่นก็จะโตตามไปด้วยแบบอัตโนมัติ ถือว่าเป็นโปรดักต์ที่เติบโตคู่กับดีมานด์ของแผ่นเสียงอย่างแท้จริง

อัตลักษณ์ชัด ทำให้โตในตลาดใหญ่ได้ก่อน

เพชรอธิบายว่า เหตุผลสำคัญที่ Gadhouse เติบโตในต่างประเทศเร็วกว่าตลาดไทย มาจากการมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนตั้งแต่แรก ทีมให้ความสำคัญกับงานออกแบบทั้งสี คาแรกเตอร์ และสไตล์เรโทรสดใสที่แตกต่างจากเครื่องเล่นในตลาดทั่วไป เมื่อวางจุดยืนชัด แบรนด์จึงกลายเป็น Niche ที่โดดเด่น ท่ามกลางสินค้าที่หน้าตาคล้ายกันจำนวนมาก

ปัจจุบันยอดขายของ Gadhouse ราว 60-70% มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย อังกฤษ และยุโรป ซึ่งอินโดนีเซียกลายเป็นตลาดหลักแบบไม่คาดคิด เพชรเล่าว่า ประเทศนี้มีตลาดดนตรีขนาดใหญ่ ฐานวัยรุ่นจำนวนมาก และแนวเพลงเฉพาะทางอย่างเมทัลที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง ส่งผลให้วัฒนธรรมการเล่นแผ่นเสียงแข็งแรงตามไปด้วย รุ่น HENRY จึงขายดีเป็นพิเศษ

ด้วยการเติบโตที่ต่อเนื่อง แบรนด์จึงตัดสินใจเปิดร้านสแตนด์อโลนขนาดย่อมที่จาการ์ตา เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าจริง ร้านเปิดในช่วงกลางปี 2568 และได้รับฟีดแบ็กดีต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่ตลาดยุโรปและอเมริกา แม้จะเคยทำยอดขายได้ดีผ่าน eBay และ Amazon ในช่วงแรก แต่ระยะหลังการแข่งขันสูงขึ้น มีแบรนด์ลักษณะใกล้เคียงเกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันด้านราคายากขึ้นและยอดขายไม่โดดเด่นเท่าเดิม

เพชรเล่าว่า ปัจจุบันไลน์โปรดักต์ของ Gadhouse เติบโตขึ้นไม่น้อยจากวันแรกที่มีแค่รุ่น HENRY ตัวเดียว ตอนนี้เฉพาะเครื่องเล่นแผ่นเสียง ก็มีราว 7 รุ่น แล้ว เช่น Brad, Cosmo, Dean, Mathis, Duke ฯลฯ

ด้านอุปกรณ์อื่นๆ ก็ขยายขึ้นตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นลำโพงบลูทูธ รุ่น Miles และ Roy และหูฟังที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดในชื่อ Wesley

รวมแล้วถ้านับเฉพาะโปรดักต์หลักมีประมาณเกือบ 10 รุ่น และถ้ารวมระดับ SKU ทั้งหมด ทั้งเครื่องเล่น อุปกรณ์เสริม และอะไหล่ จะยังไม่ถึงร้อยรายการ แต่ถือว่าขยายตัวกว้างขึ้นมากเมื่อเทียบกับวันเริ่มต้น

สำหรับแผนในอนาคต ปีนี้ Gadhouse เพิ่งเปิดตัวหูฟังตัวใหม่ และปีหน้าวางแผนจะพัฒนาลำโพงให้หลากหลายมากขึ้น แต่ทิศทางหลักยังคงอยู่ในโลกของเครื่องเสียงเหมือนเดิม ไม่หนีไปทำโปรดักต์ไกลจากตัวตนของแบรนด์ เพราะอยากรักษา DNA เรื่องดีไซน์และการใช้งานที่ทำให้ลูกค้าจดจำ Gadhouse ได้ตั้งแต่แรกเห็น

แบรนด์ไทยที่ตั้งใจสื่อสารแบบสากล

เพชรบอกว่า ทุกวันนี้คนไทยรู้มากขึ้นแล้วว่า Gadhouse เป็นแบรนด์ไทย แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะภาพแรกที่ผู้คนเห็นเป็นภาพที่มีความอินเตอร์จากดีไซน์ ภาษาอังกฤษบนแพ็กเกจจิง และการที่แบรนด์ส่งออกไปหลายประเทศ ทำให้หลายคนยังเข้าใจว่า เป็นแบรนด์ต่างชาติ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทีมตั้งใจไว้ระดับหนึ่ง

เพชรอธิบายว่า แบรนด์อยากให้ภาพรวมของ Gadhouse ดูกลางและสากล เพื่อให้เข้ากับตลาดต่างประเทศ แต่สำหรับช่องทางที่สื่อสารกับคนไทยโดยตรง อย่างเพจ Gadhouse Thailand ทีมก็เล่าอย่างชัดเจนว่าเป็นแบรนด์ที่เกิดในไทย ออกแบบโดยคนไทย เพื่อให้ทั้งคนไทยและต่างชาติไม่สับสนในตัวตนของแบรนด์

แล้วมุมมองวันแรกกับวันนี้ ตรงกันไหม

เพชรบอกว่า “มันเกินกว่าที่คิดไว้เยอะมาก”

ตอนเริ่มต้น เขามองภาพไว้เพียงประมาณ 3-5 ปี คิดแค่ว่าจะทำเครื่องเล่นแผ่นเสียงไม่กี่รุ่น ลองตลาดดูว่าพอไปได้ไหม แต่วันนี้แบรนด์โตเลยจุดนั้นไปมาก ทั้งจำนวนสินค้า ดีไซน์ใหม่ๆ และไลน์โปรดักต์อย่างลำโพงและหูฟังที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ

เส้นทางมันยาวกว่าที่คาด และแบรนด์ก็เติบโตเกินภาพวันแรกที่วางไว้ในแบบที่เจ้าตัวเองยังเซอร์ไพรส์อยู่เหมือนกัน

Format BKK พื้นที่คอมมูนิตี้ของคนรักดนตรี

เดิมที Format BKK ตั้งอยู่ที่เอกมัย แต่หลังจากหมดสัญญาเช่าพื้นที่ บวกกับข้อจำกัดด้านขนาดร้านที่ค่อนข้างเล็ก ทีมจึงมองหาพื้นที่ใหม่ที่ตอบโจทย์กว่า ทั้งเรื่องขนาดและความเป็นไปได้ในการสร้างคอมมูนิตี้ของคนรักดนตรี 

เพชรเล่าว่า เป้าหมายของแบรนด์คือการสร้างคอมมูนิตี้ของคนรักดนตรี ความวินเทจ และไลฟ์สไตล์แบบเดียวกัน พื้นที่ใหม่ในอารีย์จึงออกแบบให้คนมานั่งฟังเพลง เจอกัน และทำกิจกรรมร่วมกันได้ 

ปัจจุบันนอกจากโซนของ Gadhouse ยังมีพาร์ตเนอร์อีก 4 ร้านเข้ามาอยู่ร่วมกัน เช่น ร้านไวน์ ร้านสูทเล็กๆ และร้านอุปกรณ์ดนตรีสายกีตาร์ที่กำลังจะเปิดด้านบน ภายใต้ชื่อ Format BKK คอมมูนิตี้ของคนที่รักดนตรี รักความวินเทจ และชอบไลฟ์สไตล์แบบเดียวกัน การย้ายมาที่อารีย์จึงเปิดโอกาสให้มีพื้นที่มากขึ้นเพื่อรองรับผู้คน

แม้ร้านจะย้ายจากถนนใหญ่เข้ามาอยู่สุดซอย เพชรมองว่า นี่คือโอกาสมากกว่าข้อจำกัด และตั้งคอนเซปต์ว่า Hidden Groove พื้นที่เงียบสงบที่ซ่อนตัวอยู่ในเมือง จุดนี้ทำให้ร้านรองรับกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ไลฟ์มิวสิกขนาดเล็ก ไปจนถึงเวิร์กช็อปดนตรีสำหรับมือใหม่

“อยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ให้แรงบันดาลใจ” เพชรสรุป ไม่ว่าจะมาฟังเพลง เริ่มต้นเส้นทางดนตรี หรือแค่แวะมาพักใจสักชั่วโมงในวันที่เหนื่อยล้า 

เพชรบอกว่า ภาพของ Format BKK ที่อยากให้ลูกค้ารู้สึก คือการได้เข้ามา ‘บ้านเพื่อน’ บ้านที่เปิดเพลง ฟังแผ่นเสียง เล่นกีตาร์ได้ หรือถ้าวันไหนมีคนมาเล่นดนตรี ก็แวะมานั่งฟังกันสบายๆ โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง

เขาอยากให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในวงการดนตรีหรือไม่ ได้แรงบันดาลใจบางอย่างกลับไป อาจเป็นความรู้สึกสุนทรีขึ้น เจอสิ่งใหม่ที่ไม่เคยลอง หรือแค่ได้ใช้เวลาพักใจ Format BKK เปิดต้อนรับทุกคน แม้จะไม่รู้จักแผ่นเสียงมาก่อน หรือแค่อยากแวะมากินกาแฟก็ยินดี

นอกจาก Gadhouse เพชรยังนำเข้าแบรนด์หูฟังดีเจและลำโพงอีก 2 แบรนด์หลัก โดยคัดเลือกให้เข้ากับบรรยากาศของร้านและกลุ่มลูกค้า ไม่ได้วางสินค้าเยอะ แต่เลือกให้เชื่อมโยงกัน

แบรนด์ไทยที่อยากให้โลกเซอร์ไพรส์

เพชรเล่าว่า แผนของ Gadhouse คือการโฟกัสตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เป้าหมายคือการพาแบรนด์เครื่องเสียงของคนไทยไปอยู่ในสายตาคนทั่วโลก จนเกิดคำถามว่า “นี่คือแบรนด์ไทยจริงๆ เหรอ” พร้อมกับการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแรงในแต่ละตลาด

ในฝั่งโปรดักต์ แบรนด์ต้องการขยายไลน์ให้กว้างกว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียง ทั้งลำโพงที่ใช้งานได้หลากหลายขึ้น และคอลเลกชันใหม่ที่ยังคงดีไซน์ชัดแบบ Gadhouse ควบคู่กับการมองหา Exclusive Partner และ Global Collaboration เพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ในระดับสากล

แม้หลายคนมองว่า ตลาดแผ่นเสียงเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มและมีความเสี่ยง เพชรยอมรับว่าเหตุผลสำคัญที่ยังเลือกทำต่อ คือความอินกับสิ่งนี้อย่างแท้จริง เขาเชื่อว่าการมีพาร์ตเนอร์ต่างประเทศช่วยเปิดโอกาสให้พัฒนาสินค้าที่หลากหลายขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดแผ่นเสียงเพียงอย่างเดียว

สำหรับเขา ตราบใดที่ Gadhouse ยังทำสินค้าที่มีคุณภาพ และยึดดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ แบรนด์ก็ยังมีพื้นที่ให้เติบโตต่อไป

ภาพของ Gadhouse และ Format BKK ในอนาคต

“ถ้าเป็น Gadhouse ผมอยากให้ไปถึง Vision ที่ตั้งไว้ครับ คือเป็นแบรนด์ระดับโลกด้านเครื่องเสียงที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ มีคุณภาพ และราคาจับต้องได้ ผมอยากให้สินค้าที่เราทำทุกวันนี้กลายเป็นเหมือนของสะสมเป็น Collectible ที่คนอยากเก็บ

“แต่ถ้าเป็น Format BKK ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้น ก็ยังไม่ไกลเท่าไร เอาใกล้ๆ ก่อน คืออยากให้เป็นคอมมูนิตี้ที่ทุกคนเข้ามาแล้วรู้สึกสนุกและอยากบอกต่อ มีกิจกรรมหมุนเวียนตลอด และเป็นพื้นที่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอยู่เสมอ” เพชรกล่าว

บ้านของคนอินดนตรี ศิลปะ และอุปกรณ์

สำหรับคนที่อาจยังไม่รู้จักทั้ง Gadhouse และ Format BKK เพชรเล่าว่า ทั้ง 2 แบรนด์เกิดมาจากกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในดนตรี ศิลปะ เทคโนโลยี และอุปกรณ์ (Gadget) ไม่ว่าจะเป็นทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือคนที่เข้ามาร่วมงานในองค์กร ทุกคนล้วนต้องอินกับโลกของเสียงเพลง ศิลปะ และเทคโนโลยีระดับที่หมกมุ่นพอสมควร เพราะนี่คือพื้นฐานที่ทำให้ทีมสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ร่วมกันได้อย่างสนุกและเข้าใจตรงกัน

เขาบอกว่า เทคโนโลยีที่แบรนด์สนใจไม่จำเป็นต้องซับซ้อนอย่าง AI แต่เป็นอุปกรณ์และเทรนด์ไลฟ์สไตล์รอบตัว ตั้งแต่สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ไปจนถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตจริง ทั้งหมดสะท้อนบุคลิกของแบรนด์ที่เป็นมิตรกับดนตรี ใส่ใจดีไซน์ และเข้าใจคนรักความคิดสร้างสรรค์

แม้จะเป็นพื้นที่ของคนที่รักดนตรี เพชรย้ำว่า ใครที่ไม่มีความรู้เรื่องแผ่นเสียงหรือเครื่องเสียงก็สามารถเดินเข้ามาได้แบบไม่ต้องกังวล ทีมงานทุกคนยินดีให้คำแนะนำเต็มที่ และตั้งใจทำหน้าที่เหมือนเป็นที่ปรึกษา มากกว่าเป็นพนักงานขาย เพราะสิ่งที่ Format BKK อยากสร้างคือประสบการณ์ ไม่ใช่การ Hard Sell

“ลูกค้าสามารถเข้ามาลอง มาคุย ขอความรู้ก่อนจะตัดสินใจซื้อที่หน้าร้าน หรือจะกลับไปซื้อออนไลน์ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเพลงหรืออุปกรณ์มาก่อน ขอแค่สนใจหรืออยากเริ่มต้นก็เข้ามาได้เสมอ นี่คือความเป็นบ้านแบบที่แบรนด์อยากให้ทุกคนรู้สึก เมื่อก้าวเข้ามาในพื้นที่ของ Gadhouse และ Format BKK นั่นเอง” เพชรกล่าวทิ้งท้าย

Tags: , , , , , ,