กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา แม้จะเป็นกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของประชาชน แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาก็ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการตีความ และเกิดการฟ้องร้องในหลายกรณี
แล้วกรณีร้อนแรงอย่างการเปิดเผยข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เข้าข่ายผิด PDPA หรือไม
สำนักบริหารการทะเบียน ระบุในเอกสาร การตั้งข้อหาความผิดทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนว่า ข้อที่ 11 ส่วนราชการ หมายถึงหน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวน หากได้รับข้อมูลตามมาตรา 15 (ข้อมูลพื้นฐานที่อยู่ในฐานทะเบียน เช่น ชื่อ-สกุล วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน) แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 แล้วนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ หรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ร้องขอ ถือเป็นการนำข้อมูลทะเบียนราษฎรไปใช้ในทางมิชอบ ตามมาตรา 15 วรรค 4 ประกอบมาตรา 48/1
The Momentum ชวนย้อนดูเหตุการณ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องว่า การเปิดเผยทะเบียนราษฎรเข้าข่ายผิด PDPA หรือไม่
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ สคส. แถลงบทลงโทษโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ หลังทำข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วยรั่วไหล เนื่องจากพบว่าเอกสารข้อมูลส่วนตัวดังกล่าว ได้ถูก ‘รียูส’ เป็นถุงขนมโตเกียว
โดย สคส.ออกแบบลงโทษเป็น 2 กรณี คือ
1. โรงพยาบาล ในฐานะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ถูกลงโทษปรับ 1,210,000 บาท
2. บุคคลธรรมดา ในฐานะผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) ถูกลงโทษปรับ 16,940 บาท
รวมมูลค่าการลงโทษปรับทางปกครองกว่า 1,226,940 บาท
นอกจากนี้หากย้อนมาให้ลึกขึ้นหน่อย เคยเกิดกรณีดรามาหลังจากมีคนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว บ้านเลขที่ขอคุณตาและคุณยายของ ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล สมาชิกวง BLACKPINK เมื่อปี 2562
โดยเพจทนายตัวแสบ:Badass Attorney ให้ความเห็นกรณีดังกล่าวว่า ทะเบียนราษฎรนั้นมีกฎหมายเฉพาะของมันอยู่คือ ‘พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร’ ซึ่งไม่ใช่ใครจะเดินไปขอคัดข้อมูลได้ จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเท่านั้น เช่น เจ้าบ้าน ญาติพี่น้อง หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางตรงและอ้อม
นอกจากนี้ทนายตัวแสบ:Badass Attorney ยังอธิบายเพิ่มว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทนายความ สามารถขอคัดตามกฎหมาย เพื่อไปดำเนินการทางกฎหมายได้ เช่น ประกอบการฟ้องคดี“ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรต้องถือเป็นความลับ และให้นายทะเบียนเป็นผู้เก็บรักษาและใช้เพื่อการปฏิบัติตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อความหรือตัวเลขนั้นแก่บุคคลใดๆ ซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแก่สาธารณชน
“เว้นแต่ผู้มีส่วนได้เสียขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวของผู้ที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย หรือเมื่อมีความจําเป็นเพื่อประโยชน์แก่การสถิติ หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือการดําเนินคดีและการพิจารณาคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และไม่ว่าในกรณีใดจะนําข้อมูลทะเบียน ประวัติราษฎรไปใช้เป็นหลักฐานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลมิได้”
ขณะเดียวกัน วันนี้ (11 ธันวาคม 2568) ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณี กรณี กรุณา ชิดชอบ ผู้เป็นมารดา นำข้อมูลส่วนตัวของคนที่วิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวชิดชอบมาเผยแพร่ในช่องทางโซเชียลมีเดียว่า ‘ไม่ผิด’ พร้อมกับกล่าวให้กำลังใจคุณแม่
“PDPA ตรงนี้ คือสิ่งที่ผมอธิบายไปก่อนหน้านี้ มันไม่ผิด เนื่องจากว่าก่อนที่จะมีการทำตรงนี้ มีการไปดำเนินมอบอำนาจเพื่อเตรียมดำเนินคดี เขาเลยมีข้อมูลตรงนี้ โดยชอบในเชิงกฎหมาย และเป็นการกระทำในรูปแบบส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อการเก็บข้อมูลหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นส่วนตัว”
ทั้งนี้กฎหมายระบุว่า หากใครเปิดเผยอาจต้องรับโทษ โดยมาตรา 17 ระบุว่า อาจต้องโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 50 ระบุว่า การทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อในทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ มีโทษจำคุก 6 เดือน-3 ปี หรือปรับ 2 หมื่น-1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรั




