กระแสลมแรงในทะเลพัดเกลียวคลื่นสูงซัดเข้าหาฝั่ง ยิ่งคลื่นมีขนาดใหญ่และสูงมากเท่าไร ยิ่งเป็นสัญญาณเตือนผู้คนทั้งบนชายฝั่งและในทะเลว่าไม่ควรเข้าใกล้ เพราะบ่อยครั้งมันมักจะพัดพาชีวิตของใครสักคนลงทะเลไปด้วยเสมอ

แต่สำหรับชาวมอแกนผู้ที่เกิดและเติบโตบนเกาะพยาม จังหวัดระนอง อย่าง กลม-สนธยา ทะเลลึก คลื่นสูงทุกลูกที่ซัดเข้าหาฝั่งของเกาะคือโอกาสที่จะได้โชว์ลีลา ซึ่งเป็นมุมมองปกติของนักกีฬาโต้คลื่น ที่มองว่าทะเลสงบนิ่งต่างหากคืออุปสรรคต่อการแสดงศักยภาพของนักกีฬา

กลมจับกระดานโต้คลื่นแผ่นแรกในวัย 12 ปี จากการสนับสนุนของคนบนเกาะพยาม และด้วยทักษะการอยู่กับทะเลที่ชาวมอแกนส่งต่อมาให้กับเขา ทำให้เขาใช้เวลาเพียงครึ่งวันในการทำความสนิทสนมกับทะเล และสามารถทรงตัวเหนือคลื่นได้ 

กลมในวันนี้อายุ 16 ปี เป็นหนึ่งในชาวมอแกนที่เป็นที่รู้จักในวงการกีฬาโต้คลื่นทั่วประเทศ จากการแข่งขันในหลายรายการที่ผ่านมา และกำลังจะมีโอกาสได้ปรากฏตัวในฐานะนักโต้คลื่นชาวไทยในต่างประเทศ

ทว่าความล่าช้าของหน่วยงานภาครัฐในการออกบัตรประชาชนและยืนยันสัญชาติไทยให้เด็กชาวมอแกนรายนี้ กลับทำให้เขาสูญเสียโอกาสนั้นไป และกำลังทำให้การเติบโตของกลมในวงการกีฬาโต้คลื่นมีเพดานที่มองไม่เห็นขวางกั้น

The Momentum มีโอกาสลงพื้นที่เกาะพยาม เพื่อพูดคุยกับคลื่นลูกใหม่ ที่พยายามเติบโตในวงการกีฬาโต้คลื่น ผู้ที่มองว่าสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่คลื่นสูง แต่คือความล่าช้าของภาครัฐ

จากชาวมอแกน สู่นักกีฬาโต้คลื่น

“ผมจับปลาได้ตั้งแต่อายุ 13 ปีแล้ว แต่ถ้าเอาตั้งแต่ออกเรือครั้งแรกเลยก็คือตอน 8 ขวบ ออกไปปลดปูออกจากอวนในทะเลกับพ่อของเพื่อนที่เป็นชาวมอแกนเหมือนกัน กิจวัตรของเด็กชาวมอแกน วันที่ไม่ได้ไปโรงเรียน เขาก็จะมาช่วยชาวบ้านปลดอวนดักสัตว์น้ำ ดำปลา ดำหอย ตกเย็นก็ไปวางอวน ตอนเช้าก็ออกเรือไปปลด”

ตั้งแต่เกิด กลมเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของชาวมอแกนที่มีวิถีชีวิตดั้งเดิมคือ การจับสัตว์น้ำนำมาบริโภคในครัวเรือนและส่งไปขายบนฝั่งที่จังหวัดระนอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กคนนี้จะซึมซับทักษะการอยู่กับท้องทะเลจากชาวมอแกนมาอย่างเต็มเปี่ยม เขาว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ มีทักษะการดำน้ำ และสามารถว่ายน้ำออกห่างจากเกาะที่เขาอยู่ไปได้ไกล โดยมีอุปกรณ์เพียงแว่นดำน้ำเท่านั้น

“ชาวมอแกนจะสอนลูกหลานไม่ให้กลัวทะเล เขาจะทำให้เราปรับตัวกับมันให้ได้ ชาวมอแกนฝึกผมว่ายน้ำตั้งแต่ 5 ขวบ เอาเราไปลงทะเลให้เราพยายามว่ายน้ำ โดยมีเขาอยู่ข้างๆ เผื่อเราว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ เขาก็จะช่วย ครอบครัวมอแกนเขาทำแบบนี้ทุกครอบครัว ลูกหลานต้องว่ายน้ำให้เป็นก่อนไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะพวกเราอยู่กับทะเล”

เมื่ออายุได้ 11 ขวบ บ้านของกลมต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ครอบครัวของเขาต้องเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น เรือที่เคยใช้ออกหาสัตว์น้ำบนเกาะพยามจึงถูกขายไป เวลาว่างส่วนหนึ่งจากการไม่ได้ออกเรือถูกนำไปใช้ในการทำความรู้จักกับเพื่อนๆ บนเกาะ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้กลมได้รู้จักกับกีฬาโต้คลื่น

“เขาพาเราไปดูการแข่งขันเซิร์ฟบอร์ดที่จัดบนเกาะพยามพอดี ครั้งแรกที่ผมได้เห็นนักโต้คลื่นแข่งกันจริงๆ

พอมีคนชนะขึ้นไปยืนถือเหรียญรางวัลอยู่บนเวที มีผู้ใหญ่ในงานยิ้มปรบมือให้ มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันเท่มาก แล้วผมอยากได้รับอะไรแบบนั้นบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะเล่นเซิร์ฟบอร์ดเดี๋ยวนั้นนะ จนกระทั่ง 2-3 วันต่อมา มีเพื่อนมาชวนไปเล่นโต้คลื่นด้วยกันก็ยังเขินๆ อยู่เลย จนมีโค้ชกบมาชวนไป ทีแรกก็ปฏิเสธ แต่หลังจากนั้นก็เอาไปคิด”

‘โค้ชกบ’ ที่กลมกล่าวถึงคือ อดิศักดิ์ ขาวผ่อง เจ้าของโฮมสเตย์บนเกาะพยามและเจ้าของคลับเซิร์ฟบอร์ดบนเกาะพยาม บุคคลคนแรกที่ชวนกลมมาเล่นเซิร์ฟ

“เคยเห็นเขาปีนต้นมะพร้าวตั้งแต่ 6-7 ขวบ เวลาโดนหมาไล่กัดก็วิ่งเร็วมาก เราก็ดูออกว่าเขาเป็นคนที่แข็งแรง”

อดิศักดิ์เล่าก่อนเสริมว่า ตอนนั้นที่ชวนกลมมาเล่นเซิร์ฟบอร์ด เพียงเพื่อให้เขาได้ออกกำลังกายยามว่างเท่านั้น ทว่าเมื่อเขาเริ่มซ้อมกลับมีพัฒนาการเร็วกว่าคนอื่นในช่วงแรก

“เขาเก่งการมองทะเล เขารู้มากกว่าคนอื่นๆ ทั้งลม ฝน พายุ เป็นคนที่โตมากับทะเลจริงๆ และมากกว่าคนอื่นๆ ในคลับด้วยซ้ำ แต่กลมเขาเข้ามาเล่นเซิร์ฟ เขามีแต่กำลังกาย แต่ขาดสิ่งอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเสื้อผ้า ก็ได้รับการสนับสนุนมาจากคลับคนเล่นเซิร์ฟนอกเกาะพยามจัดสรรมาให้”

เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ อุปกรณ์สำหรับการฝึกซ้อมและเครื่องมือจำเป็นในกีฬาโต้คลื่น จึงต้องเป็นหน้าที่ของโค้ชในการจัดหา โดยเฉพาะกระดานโต้คลื่นที่กลมใช้สำหรับฝึกซ้อม ซึ่งโดยมากเป็นน้ำใจที่ได้รับมาจากคลับคนเล่นเซิร์ฟทั่วประเทศ ที่มองเห็นความสามารถของนักเล่นรุ่นจิ๋ว

ในขณะที่กลมเองไม่ได้ทำให้โค้ชผิดหวัง เขาใช้ทรัพยากรที่ได้รับมาจากชุมชนคนเล่นเซิร์ฟทั่วประเทศอย่างคุ้มค่า เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเองใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้นก็สามารถทรงตัวอยู่บนกระดานโต้คลื่นได้

“ครั้งแรกผมก็ยืนบนบอร์ดแล้วก็บังคับให้บอร์ดเลี้ยวได้เลย โดยใช้เวลาตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมงเอง”

กลมให้ทริกว่า กระดานโต้คลื่นจะเคลื่อนที่เร็วหรือช้าอยู่ที่การทรงตัวและการโน้มตัวของผู้เล่น ซึ่งเป็นการทรงตัวที่เขาบอกว่า ‘แตกต่าง’ จากการทรงตัวบนเรือหาปลา

“เมื่อคลื่นเคลื่อนตัวมาหาเรา เราต้องยืนบนเซิร์ฟบอร์ดให้ได้จังหวะที่เราจะขึ้นไปอยู่บนคลื่น เราต้องทำการเลี้ยวครั้งแรกหลังจับคลื่นได้ (Bottom Turn) แล้วก็ย่อตัว บิดสะโพกกับเอวขึ้นไปเพื่อหันไปมองในจุดที่เราจะขึ้นไปฟาด แล้วก็ใช้หัวไหล่ช่วยเหวี่ยงแล้วก็สะบัด

“ส่วนสายตาต้องมองไปตามไหล่ของคลื่น จังหวะที่เราเห็นแล้วว่าคลื่นลูกนี้จะมีการม้วนตัวครอบ ต้องคิดว่าจะไปทางซ้ายหรือขวา ถ้าจะบังคับบอร์ดไปทางซ้ายก็หันไปทางซ้าย แล้วก็ใช้มือพายให้มีแรงมาดันที่ท้ายบอร์ดจังหวะที่เราสไลด์คลื่น พอบอร์ดมีความเร็วแล้วเราค่อยลุกขึ้นยืน”

สำหรับกลม การเล่นเซิร์ฟบอร์ดต้องเล่นได้ไม่ว่าทะเลจะมีสภาพอย่างไรในตอนนั้น แม้กระทั่งมีพายุหรือมรสุม เนื่องจากการแข่งขันอาจทำให้ต้องเจอคลื่นที่ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ซ้อมบ่อยๆ เสมอไป ดังนั้นแม้จะมีฝนตกหนัก ลมแรง ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง กลมก็มองว่า เขายังคงสามารถเล่นเซิร์ฟบอร์ดได้ในสถานการณ์นั้นๆ

ความสามารถที่ยังไร้สัญชาติ 

ทั้งนี้นักกีฬาเซิร์ฟบอร์ดชาวมอแกนอย่างกลม เพิ่งจะมีเป้าหมายคือการแข่งขันได้ไม่นาน หลังจากผ่านมาปีกว่านับตั้งแต่เจอกับโค้ชกบ กลมได้เจอกับโค้ชสอนเซิร์ฟบอร์ดชาวอิตาลีที่มาอาศัยอยู่บนเกาะพยาม ซึ่งเข้ามาสอนเทคนิคการโต้คลื่นแบบชาวอิตาลีให้กับเขา จังหวะนั้น กลมมีเป้าหมายใหม่คือการเดินทางไปโต้คลื่นยังท้องทะเลของประเทศอิตาลีให้ได้ โดยมีเวลา 3 เดือนให้เขาฝึกซ้อมก่อนลงแข่งขันจริงที่หาดในหาน จังหวัดภูเก็ต

ณ ตอนนั้นเองทำให้โค้ชกบมองเห็นข้อจำกัดของกลมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการไม่มีบัตรประชาชน

“ผมรู้จักกับกลมมานาน แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าน้องเขาไม่มีบัตรประชาชน จนกระทั่งเขามาเล่นเซิร์ฟบอร์ดแล้วผมพาไปแข่งขันที่ต่างจังหวัด ซึ่งต้องทำเรื่องขออนุญาตผู้ปกครอง และต้องกรอกใบสมัคร ปรากฏว่าเด็กไม่มีบัตรประชาชน ไม่สามารถสมัครเข้าแข่งขันได้ ตอนนั้นเลยใช้วิธีเลี่ยงคือ ขอหนังสือรับรองจากทางโรงเรียนบนเกาะพยามว่ากลมเป็นเด็กของโรงเรียนนี้ เพื่อให้เขาสมัครแข่งได้” โค้ชกบกล่าว

แม้ว่ากลมจะสามารถเข้าแข่งขันกีฬาโต้คลื่นในครั้งนั้นได้ แต่การไม่มีบัตรประชาชนทำให้เขาสัมผัสได้ว่า ตัวเอง ‘ไม่เท่ากับคนอื่นๆ’ การขึ้นรับรางวัลนั้นต้องผ่านการยืนยันว่า เขาเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลเหล่านั้นจริงๆ ไม่ใช่การแอบอ้าง และต้องใช้บุคคลที่ 2 ในการยืนยัน ไม่ใช่แค่ตัวของกลมเอง

“เราขึ้นไปรับถ้วยเองไม่ได้หากชนะการแข่งขันขึ้นมา ต้องพาโค้ชของเราไปยืนยันกับกรรมการก่อนว่า คนนี้คือคนที่ชนะรางวัลนี้นะ ผมเข้าใจดีนะ มันเป็นกระบวนการของเขาในการป้องกันการแอบอ้างว่าได้รางวัล” กลมกล่าว

เมื่อทราบว่าเด็กไม่มีบัตรประชาชน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน โค้ชกบจึงเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำเรื่องเพื่อให้เด็กมีสัญชาติไทย กระนั้นก็พบว่ามีความยากลำบากตั้งแต่การพาแม่ชาวมอแกนและพ่อชาวไทยของกลม ซึ่งแยกขาดจากกันมาหลายปี มาเจอกันอีกครั้ง

“หลังจากวันนั้นที่ผมรู้ ผมก็พาเขาไปแจ้งเกิด ทั้งพาแม่ของเขาไปที่อำเภอ แต่ทางอำเภอแจ้งกลับมาว่าแจ้งเกิดไม่ได้ เพราะว่าเด็กโตแล้ว ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 11-12 ปี เราเลยไปทำเรื่องตรวจ DNA ว่ากลมมีเลือดตรงกับพ่อของเขาไหม”

เพื่อยืนยันว่ากลมเกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินไทยและเป็นชาวไทยจริงๆ จึงต้องใช้ผลการตรวจ DNA ยืนยันความตรงกันระหว่างพ่อซึ่งเป็นชาวไทยและกลม ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือตรงกัน 99.9% ยืนยันว่ากลมมีพ่อเป็นชาวไทย ซึ่งในกรณีนี้เพียงอย่างเดียวก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ได้รับบัตรประชาชนได้แล้วอย่างไรก็ตาม บนเส้นทางแห่งการพิสูจน์ความเป็นไทยมีหลายอย่างที่ทำให้ล่าช้า เมื่ออำเภอได้รับผล DNA ของกลมและพ่อของเขาแล้ว ปรากฏว่าอำเภอแจ้งกลับว่าทำเอกสารสูญหาย จึงต้องทำการขอผลใหม่ ซึ่งใช้เวลานานออกไปอีกราว 5-6 เดือน แต่แทนที่เรื่องราวจะจบลงด้วยการได้บัตรประชาชน กลับไม่เป็นเช่นนั้น

“ต้องรอลายเซ็นของนายอำเภอ รอจนเรื่องเงียบไป จนผมต้องขึ้นไปตามว่าดำเนินการถึงไหนแล้ว แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย” กลมเล่า

ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานยืนยันแล้วว่า กลมมีพ่อเป็นชาวไทย แต่กระบวนการพิสูจน์ยังไม่จบที่ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่าง DNA ยังมีการสอบปากคำชาวบ้านบนเกาะพยามเพิ่มขึ้นอีก ตั้งแต่พ่อ-แม่ของกลม ผู้ปกครอง ไปจนถึงครูบนเกาะพยาม

โค้ชกบระบุว่า ทางอำเภอให้เหตุผลว่ากระบวนการดังกล่าวเป็นการทำให้เกิด ‘ความเชื่อมั่น’ ว่ากลมเป็นลูกของพ่อชาวไทยจริง โดยให้ชาวบ้าน ญาติ ไปสอบปากคำเพิ่มเติมว่า เด็กคนนี้เคยอยู่บนเกาะพยามจริงหรือไม่

“ซึ่งคำตอบของแต่ละคนก็เป็นคำตอบเดียวกัน ชุมชนมอแกนเขารู้จักกันหมด ที่จริงเอาไปเพียงคนเดียวก็ยืนยันได้แล้ว เขาเรียกคนบนเกาะพยามไปทุกคนเลย เหลือแต่เพียงกำนันบนเกาะที่ยังไม่โดนเรียก” โค้ชกบกล่าวต่อว่า “ผมว่าเขากำลังพิสูจน์ว่าคุณมีเงินมาจ่ายหรือเปล่ามากกว่า”

การเรียกตัวพยานซึ่งเป็นชาวบ้านบนเกาะพยามไปยืนยันความเป็นไทยให้กับกลมแต่ละครั้งนั้น ไม่สามารถทำได้บนเกาะพยาม แต่ต้องเดินทางข้ามทะเลเพื่อไปยังอำเภอเมืองระนอง ซึ่งใช้เวลาและเสียค่าเดินทางจำนวนไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งยังต้องหาที่พักภายในตัวเมืองจังหวัดระนองเมื่อไม่สามารถเดินทางกลับมายังเกาะพยามได้ เนื่องจากทัศนวิสัยในการมองเห็นและสภาพอากาศ

หนำซ้ำ โค้ชกบยังให้ข้อมูลว่า แต่ละคนบนเกาะพยามที่อำเภอเรียกตัวให้ไปสอบพยาน ไม่ได้เรียกไปเพียงแค่ครั้งเดียว แต่บางคนต้องไปมากกว่า 1 รอบ โดยเฉพาะพ่อ-แม่ และครูของกลมที่ยังถูกเชิญให้เข้าไปสอบพยานอยู่บ่อยครั้ง

“แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป ชาวบ้านจ่ายเองหมด ใครไปเป็นพยานคนนั้นก็ต้องจ่ายเงินเอง” โค้ชกบระบุ

“พาน้า พาครู พาพ่อไปก็แล้ว แต่ก็เงียบหายไปอีกรอบหนึ่ง ล่าสุดเขาบอกผมว่าจะได้บัตรประชาชนไม่เกินเดือนนี้ หรืออาจจะไม่เกินปีนี้ ไม่รู้นะ แต่มีคนมาบอกผมว่าเขาต้องการเงิน 1 แสน ผมไม่รู้จริงไหม ผมก็เลยจนปัญญาแล้ว ไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน” กลมเล่า

ไร้สัญชาติ-ไร้โอกาส

เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลมเป็นหนึ่งในนักกีฬาเซิร์ฟบอร์ดที่จะถูกพาไปเล่นร่วมกับนักกีฬาโต้คลื่นคนอื่นๆ ณ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย แต่เพราะอำเภอยังไม่ออกบัตรประชาชนให้กับกลม เขาจึงไม่สามารถทำหนังสือเดินทางไปยังต่างประเทศได้ โอกาสที่จะได้เติบโตในแวดวงกีฬาโต้คลื่นจึงหลุดลอย รวมถึงความฝันของกลมกับการไปเล่นเซิร์ฟบอร์ดในประเทศอิตาลีก็ยังคงดูเลื่อนลอยในตอนนี้

“ผมไม่แน่ใจการทำงานของอำเภอ แต่ในความรู้สึกของผม เขาไม่ทำหน้าที่ของเขาคือ การบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน ถ้าเขาทำตามหน้าที่ ป่านนี้เด็กต้องได้รับบัตรประชาชนแล้ว พอไม่มีบัตรประชาชนเขาทำอะไรไม่ได้ เปิดบัญชีธนาคารก็ไม่ได้ ซื้อตั๋วรถไฟหรือตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้ ศักดิ์ศรีของเขาแย่ยิ่งกว่าคนหลบหนีเข้าเมือง” โค้ชกบกล่าว

“ผมพูดรวมไปถึงเด็กมอแกนทุกคนเลย เขามีศักยภาพมาก แต่หลายคนมาได้รับบัตรประชาชนตอนอายุ 30 ปี หากว่าคุณมีแผนจะเล่นกีฬาหรือไปทำงานในสายงานต่างๆ กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย คุณก็จะทำไม่ได้ หรือเมื่อคุณมาได้รับบัตรประชาชนจริงๆ มันก็สายไปแล้ว”

เหมือนกับกลมตอนนี้เขายังเป็นนักกีฬาอยู่ แต่อีกสัก 2 ปี เขาอาจไม่ได้แข็งแรงมากพอ คำถามคือ เมื่อเขาได้บัตรประชาชนมาแล้ว เขาจะยังคงมีไฟกับกีฬาเหมือนอย่างตอนนี้หรือเปล่า ไฟนั้นมันจะมอดก่อนหรือไม่ เขาจะไม่รู้สึกท้อบ้างเหรอกับบัตรประชาชนที่เขาต้องรอคอยมาหลายปี ถ้าไฟของเขามอดไปแล้ว และไม่มีฝันกับกีฬาเซิร์ฟบอร์ดอีก ทุกอย่างก็จบ” โค้ชกบอธิบาย

ในระหว่างที่ยังรอคอยการพิสูจน์สัญชาติ กลมเคยห่างหายจากการเล่นเซิร์ฟบอร์ดไป 1 ปีเต็ม เขาเล่าว่าตัวเองเริ่มตั้งคำถามว่า เขาแข่งขันไปเพื่ออะไร เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้สิ่งใดกลับมา เช่นเดียวกับสัญชาติของเขาที่ในตอนนี้เป็นเวลาราว 4 ปีแล้วที่เขารอคอย อย่างไรก็ตาม เสียงคลื่นจะพาเขากลับมาจับเซิร์ฟบอร์ดเสมอ และในวันนี้กำลังใจของเด็กมอแกนรายนี้ยังคงดี แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีพลังงานมากพอสำหรับการรอคอยต่อไปอีกนานเท่าไร

“ผมคิดกับตัวเองว่า เขา (อำเภอ) ไม่สนใจผมมากกว่า เขาอาจจะไม่ต้องการผม หรืออาจจะยังไม่เห็นว่าผมเก่งพอหรือเปล่า เขาอาจจะยังไม่เห็นว่าผมมีประโยชน์อะไรสำหรับเขา ในความคิดผมนะ

“ตอนที่ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้ไปต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกของผม มันท้อนะ จะพูดอย่างไรดี มันมืดมนไปหมดเลย แต่ก็ยังจะสู้กับมัน จนกว่าจะได้สัญชาติไทย

“ผมเคยฝันเอาไว้เยอะมากเลยว่า ถ้าได้บัตรประชาชนมาแล้ว เราจะทำพาสปอร์ต จะไปแข่งขันโต้คลื่นที่ไหนก็ได้ ออกไปสร้างชื่อเสียง ที่ไหนมีคลื่นผมก็อยากไปทั้งนั้นแหละ ทั้งญี่ปุ่น โปรตุเกส ที่นั่นคลื่นดีมาก สักวันผมจะไปเล่นที่นั่น

“ในตอนนี้เป็นกำลังใจให้กับผมด้วยนะ ผมจะพยายามฝึกซ้อมให้เก่งขึ้น หากมีโอกาสได้บัตรประชาชน ผมจะออกไปสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย” กลมกล่าวทิ้งท้าย

Tags: , , , , , , , , , ,