อีกครั้งและอีกครั้ง ที่ระบบราชทัณฑ์ไทยพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า กำแพงสูงของเรือนจำไม่ได้มีไว้เพื่อกักขังทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่มีไว้เพื่อบดบัง ‘อภิสิทธิ์’ ที่เงินตราและอำนาจสามารถซื้อหาได้ แม้ในสถานที่ที่ควรจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในกระบวนการยุติธรรม

ข่าวอื้อฉาวล่าสุดที่สั่นสะเทือนกระทรวงยุติธรรม กรณีการตรวจพบ ‘ห้อง VVIP’ หรือ ‘ห้องลับ’ ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ถูกจัดไว้รับรอง เฉอ จื้อเจียง (She Zhijiang) นักโทษชาวจีนผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมข้ามชาติรายใหญ่ พร้อมข้อกล่าวหาว่ามีการลักลอบนำ ‘หญิงบริการ’ เข้าไปปรนเปรอ1 คือหลักฐานชิ้นล่าสุดที่ตอกย้ำว่าคุกวีไอพี ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่คือความจริงอันอัปลักษณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

ปรากฏการณ์ที่ พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนปัจจุบัน ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ต้องออกมาสั่งการล้างบาง สั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 20 นาย และล่าสุดมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว 4 นาย2 แม้จะเป็นการกระทำที่รวดเร็วและเด็ดขาด แต่ก็เป็นเพียงการตามแก้ปัญหา ที่ปลายเหตุโดยที่ต้นตอของปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในโครงสร้างยังไม่เคยถูกแตะต้อง

กรณีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องอื้อฉาวส่วนบุคคล หรือการทุจริตของเจ้าหน้าที่ ‘ปลาเล็ก’ ไม่กี่คน แต่มันคือภาพเอกซเรย์ที่ฉายให้เห็นจุดบอด หรือ ‘แดนสนธยา’ ซึ่งอำนาจรัฐถูกท้าทาย อำนาจเงินตราอยู่เหนือกฎหมาย และความยุติธรรมมีไว้สำหรับผู้ที่จ่ายไหวเท่านั้น ดินแดนที่กระบวนการยุติธรรมไทยมองไม่เห็น หรือจงใจที่จะไม่เห็นมาโดยตลอด

โลกสองใบในกำแพงเดียวกัน: อภิสิทธิ์ชน VS คนล้นคุก

หัวใจของปัญหาที่กรณี ‘เฉอ จื้อเจียง’ ตอกย้ำ คือความจริงอันอัปลักษณ์ที่ว่า คุกไทยไม่เคยเป็นพื้นที่ที่ทุกคนถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน

ในโลกใบที่ 1 โลกของ ‘นักโทษวีไอพี’ ที่มีเงินและเครือข่ายอิทธิพล เรือนจำอาจเป็นเพียงอุปสรรคชั่วคราวในการดำเนินธุรกิจ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในหน้าสื่อก่อนหน้านี้ว่าผู้ต้องขังรายสำคัญระดับนี้ เคยมีรายงานว่าสามารถให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศอย่าง Al Jazeera จากภายในเรือนจำได้3 หรือการที่ทนายความของเขาสามารถเคลื่อนไหว ยื่นข้อเรียกร้องประเด็นสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง4 ได้สะท้อนถึงอภิสิทธิ์ ในการเข้าถึงทรัพยากรและการสื่อสารที่นักโทษทั่วไปไม่สามารถจินตนาการถึง อภิสิทธิ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบายส่วนตัว ไม่ใช่แค่การได้กินอาหารที่ดีกว่า หรือได้นอนในห้องที่กว้างกว่า แต่มันคืออำนาจในการติดต่อกับโลกภายนอก การสั่งการเครือข่ายอาชญากรรม หรือแม้กระทั่งการเจรจาต่อรองกับอำนาจรัฐ มันคือการเปลี่ยนเรือนจำ จากสถานที่จองจำให้กลายเป็นสำนักงานสาขาที่ยังคงบริหารจัดการผลประโยชน์มหาศาลต่อไปได้

ภาพนี้จะคมชัดขึ้นอย่างน่าสะเทือนใจ เมื่อเราตัดสลับไปยังโลกใบที่สอง โลกของนักโทษปกติ ในขณะที่นักโทษวีไอพีอาจกำลังเจรจาธุรกิจผ่านโทรศัพท์ที่ลักลอบนำเข้า ในอีกฟากหนึ่งของกำแพง นักโทษทั่วไปอีกกว่าสามแสนคน5 กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดขั้นพื้นฐาน พวกเขาต้องเผชิญกับสภาวะผู้ต้องขังล้นคุก (Overcrowding) ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่บ่อนทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง รายงานของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)6 ได้ชี้ให้เห็นและพยายามผลักดันการแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด ภาพของผู้ต้องขังที่ต้องนอนตะแคงเรียงกันราวปลาซาร์ดีนในห้องขังที่แออัดยัดเยียด การขาดแคลนยารักษาโรค การเข้าไม่ถึงบริการสุขอนามัยพื้นฐาน และการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นทุกคืนในเรือนจำไทย

ความเหลื่อมล้ำสุดขั้วนี้ คือการยืนยันว่าความยุติธรรม และศักดิ์ศรี ในเรือนจำไทยนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อระบบราชทัณฑ์ล้มเหลวในการจัดสรรทรัพยากรพื้นฐานอย่างเท่าเทียม มันจึงเปิดช่องว่างมหาศาลให้เงินตราเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดลำดับชั้นทางสังคมหลังกำแพงสูง ‘คุกวีไอพี’ จึงไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์เท่านั้นแต่เป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของระบบที่บิดเบี้ยวนี้

การติดเชื้อจากภายนอก: เมื่อทุนสีเทา เจาะทะลวงความมั่นคงของรัฐ

มิติที่น่ากังวลที่สุดในกรณีเฉอ จื้อเจียงและกลุ่มทุนสีเทา ไม่ใช่แค่การทุจริตรับส่วยของเจ้าหน้าที่รายบุคคล แต่มันคือการที่ระบบทั้งหมดถูกแทรกแซงได้โดยเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเป็นภัยคุกคามระดับที่แตกต่างออกไป

เครือข่ายทุนจีนสีเทา (Chinese Grey Capital) ไม่ได้ทำงานเหมือนอาชญากรทั่วไป แต่ดำเนินงานในลักษณะขององค์กรข้ามชาติที่มีสายป่านทางการเงินมหาศาล และมีความสามารถในการติดสินบน (Corrupt) ระบบราชการในทุกระดับ ตั้งแต่การทำวีซ่า การจดทะเบียนบริษัทผี การฟอกเงินผ่านธุรกิจบังหน้า ไปจนถึงการซื้อตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เรือนจำจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไป สำหรับองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ เรือนจำอาจไม่ใช่จุดจบ หรือบทลงโทษ แต่มันเป็นเพียงต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ (Cost of Doing Business) ที่สามารถบริหารจัดการได้ หากพวกเขาสามารถเจาะทะลวงระบบตำรวจ อัยการ และศาลได้ การเจาะระบบราชทัณฑ์ก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน

การที่นักโทษซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ สามารถสร้างภาวะ ‘รัฐซ้อนรัฐ’ (State within a State) หรือสร้างอภิสิทธิ์พิเศษในเรือนจำได้ มันคือการแสดงแสนยานุภาพว่า เครือข่ายเหล่านี้สามารถแทรกซึมและ ‘ซื้อ’ ระบบราชการไทยได้ลึกถึงแก่น จากที่เรือนจำควรเป็นปราการด่านสุดท้ายของความมั่นคงทางอาญา เป็นพื้นที่ที่อำนาจรัฐต้องเด็ดขาดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แต่ตรงกันข้ามมันกลับส่งสัญญาณอันตรายไปยังเครือข่ายอาชญากรรมอื่นๆ ทั่วโลกว่าแม้คุณจะถูกจับกุมในประเทศไทย แต่หากคุณมีเงินและเครือข่าย คุณก็ยังสามารถ บริหารจัดการความยุติธรรมจากภายในห้องขังได้

นี่คือการกัดกร่อนอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง เมื่อเรือนจำของรัฐไม่สามารถควบคุมผู้ต้องขังคดีสำคัญได้ แต่กลับถูกผู้ต้องขังควบคุมเสียเองผ่านอำนาจเงินตรา คำถามคืออำนาจรัฐที่แท้จริงอยู่ในมือของผู้คุม หรืออยู่ในมือของนักโทษวีไอพี 

ถอดรหัส ‘แดนสนธยา’: ทำไมคุกไทยถึงตรวจสอบไม่ได้

คำถามคือ เหตุใดเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดคุกวีไอพี จึงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไปกี่ชุด หรืออธิบดีกรมราชทัณฑ์จะเปลี่ยนไปกี่คน? คำตอบง่าย ๆ อาจจะคือ กรมราชทัณฑ์ดำเนินงานภายใต้สภาวะ ‘แดนสนธยา’ (Twilight Zone) หรือ ‘กล่องดำ’ (Black Box) ที่ซึ่งคนภายนอกไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างแท้จริง อำนาจในเรือนจำถูกรวมศูนย์ไว้ที่ผู้บัญชาการเรือนจำ และระบบทั้งหมดถูกออกแบบมาให้ ‘ปิด’ มากกว่า ‘เปิด’ โดยธรรมชาติของกรมราชทัณฑ์เป็นองค์กรที่มีลักษณะกึ่งทหาร (Para-military) มีลำดับชั้นการบังคับบัญชาที่เข้มงวดยึดถือวินัยและคำสั่งมากกว่าความโปร่งใส วัฒนธรรมองค์กรเช่นนี้ได้สร้างเกราะกำบังที่หนาแน่น ทำให้การตรวจสอบจากภายนอกเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่กล่าวมาอาจถูกโต้แย้งด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศเรามี พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่ค่อนข้างก้าวหน้า และได้พยายามวางกลไกการตรวจสอบไว้ โดยเฉพาะในหมวด 9 ซึ่งว่าด้วยการตรวจสอบเรือนจำได้กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังไว้ แต่ในทางปฏิบัติ กลไกนี้กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นเพียง ‘เสือกระดาษ’

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)7 และองค์กรภาคประชาสังคมหลายแห่ง ได้วิพากษ์วิจารณ์กลไกตาม พระราชบัญญัตินี้มาโดยตลอดว่ามีจุดอ่อนอยู่ไม่ว่าจะเป็น

1. ขาดความเป็นอิสระ (Lack of Independence): แม้กฎหมายจะพยายามให้มีคนนอก แต่ในทางปฏิบัติ องค์ประกอบของคณะกรรมการตรวจสอบฯ มักยังมีสัดส่วนของข้าราชการ อดีตข้าราชการ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกรมราชทัณฑ์ การตรวจสอบจึงมักกลายเป็นการ เกรงใจกัน ช่วยเหลือกัน หรือรัฐตรวจสอบกันเอง มากกว่าจะเป็นการถ่วงดุลอย่างจริงจัง

2. ขาดอำนาจจริง (Lack of Power): คณะกรรมการเหล่านี้ทำได้เพียงให้ข้อเสนอแนะ หรือรายงานต่อรัฐมนตรีและคณะกรรมการราชทัณฑ์ แต่ไม่มีอำนาจสั่งการ ลงโทษ หรือบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากผู้บัญชาการเรือนจำเพิกเฉย ข้อเสนอนั้นก็ไร้ความหมาย

3. ขาดความโปร่งใส (Lack of Transparency): รายงานการตรวจสอบแทบไม่เคยถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน ทำให้สังคมภายนอกไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังกำแพงสูงนั้น

เมื่อระบบตรวจสอบภายในล้มเหลวและขาดความน่าเชื่อถือ และระบบตรวจสอบภายนอกที่กฎหมายสร้างขึ้นก็ไร้เขี้ยวเล็บเรือนจำจึงกลายเป็นเขตปกครองพิเศษ ที่ผู้บัญชาการเรือนจำมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเฉพาะในสภาวะสุญญากาศเช่นนี้ ที่เงิน และอิทธิพลได้กลายเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ มันคือสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเติบโตของวัฒนธรรมอุปถัมภ์และการทุจริตคอร์รัปชัน

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์: กลไกตรวจสอบที่โลกใช้ (แต่ไทยไม่ทำ)

หากเราต้องการทลายแดนสนธยานี้อย่างจริงจัง เราไม่สามารถคาดหวังให้กรมราชทัณฑ์ปฏิรูปตัวเองจากภายในได้อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงต้องมาจากการงัดเปิดกล่องดำนี้ด้วยกลไกตรวจสอบจากภายนอกที่ทรงพลังและเป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่เราก็อาจไม่จำเป็นต้องคิดใหม่ทั้งหมด เพราะโลกนี้มีโมเดลที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จและน่าลองนำมาศึกษา

ในสหราชอาณาจักรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอิสระ (Independent Monitoring Boards: IMBs)8 ซึ่งมีหัวใจสำคัญของการตรวจสอบโดยประชาชน และเพื่อประชาชน โดยคณะกรรมการ IMBs จะประกอบด้วย อาสาสมัคร จากภาคประชาชนทั่วไป ไม่ใช่ข้าราชการหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นคนธรรมดาอย่างครู พ่อค้า พยาบาล ที่อาศัยอยู่ในชุมชนรอบเรือนจำ ให้มีอำนาจทำงานอิสระจากกรมราชทัณฑ์ (Her Majesty’s Prison Service) แต่อำนาจนั้นถูกรับรองโดยกฎหมาย ทำให้มีสิทธิโดยชอบในการเข้าถึงเรือนจำ ทุกแห่ง ทุกเวลา โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า (Unrestricted Access) มีหน้าที่ที่จะสามารถเดินตรวจตรา พูดคุยกับนักโทษคนใดก็ได้เป็นการส่วนตัว ตรวจสอบห้องขัง โรงอาหาร สถานพยาบาล และมีหน้าที่รายงานสิ่งที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง สภาพความเป็นอยู่ หรือข้อร้องเรียนไปยังผู้ว่าการเรือนจำ และที่สำคัญสามารถรายงานตรงถึงรัฐมนตรียุติธรรม (Secretary of State for Justice) โดยตรงและรายงานประจำปีจากการทำงานของคณะกรรมการ IMBs นี้จะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ 

ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก มีผู้ตรวจการแผ่นดิน (Ombudsman)9 อย่างนอร์เวย์หรือสวีเดน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเรือนจำที่มีมนุษยธรรม โดยผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐสภา (Parliamentary Ombudsman) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งโดยรัฐสภา เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร (รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรม) มีหน้าที่ในการทำงานเชิงรุกในการป้องกันการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม (National Preventive Mechanism: NPM) มีอำนาจชัดเจนในการตรวจสอบเรือนจำ สอบสวนข้อร้องเรียนจากนักโทษโดยตรง และทำการตรวจสอบเรือนจำอย่างสม่ำเสมอ

โมเดลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การป้องกันการทุจริตในเรือนจำไม่ใช่การขอความร่วมมือ หรือตั้งกรรมการสอบสวนหลังเกิดเหตุ แต่คือการออกแบบระบบ ให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลจากภายนอกที่เข้มแข็ง มีอำนาจจริง และทำงานเชิงรุกซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดไฟในทุกซอกมุมของเรือนจำ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องทำงานภายใต้สายตาที่คอยจับจ้องตลอดเวลา สร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบ (Accountability) ที่เข้มแข็ง เจ้าหน้าที่เรือนจำรู้ดีว่าการกระทำของตนจะถูกตรวจสอบโดยองค์กรอิสระที่มีอำนาจจริง และรายงานของพวกเขาจะถูกส่งถึงรัฐสภาเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

บทสรุป: คำถามที่ยังไร้คำตอบ

กรณีของเฉอ จื้อเจียงได้จบลงแล้วด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่มันได้ทิ้งบทเรียนราคาแพงและคำถามที่ดังแสบแก้วหูไว้ให้กระทรวงยุติธรรมไทย แม้การตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อลงโทษเจ้าหน้าที่ (หากพบการกระทำผิด) เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่เราทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และสุดท้ายก็มักจะเป็นเพียงปลาเล็กที่ถูกสังเวย แต่ระบบที่เอื้อให้เกิดการทุจริตยังคงอยู่

คำถามใหญ่ที่แท้จริงคือ เราจะกล้าผ่าตัดระบบราชทัณฑ์ครั้งใหญ่หรือไม่ เรากล้าพอหรือไม่ ที่จะแก้ไขกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวกับราชทัณฑ์ เพื่อยุบเลิกคณะกรรมการตรวจสอบที่ไร้ประสิทธิภาพ และแทนที่ด้วยกลไกตรวจสอบอิสระจากภาคประชาชนที่กัดได้จริง

เรากล้าพอหรือไม่ ที่จะให้อำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการเข้าถึงเรือนจำทุกแห่งได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า?

ตราบใดที่คุกไทยยังคงเป็น ‘แดนสนธยา’ ที่ปิดกั้นการตรวจสอบจากภายนอก ตราบใดที่ระบบยังคงเป็น ‘กล่องดำ’ ที่สังคมไม่สามารถมองเห็น ตราบนั้นก็จะเป็นการปูพรมแดงต้อนรับ ‘อาชญากรวีไอพี’ รายต่อไปไม่จบสิ้น 

และตราบนั้น ความยุติธรรมก็จะยังคงเป็นสิ่งที่ซื้อได้ด้วยเงินและอำนาจ เพราะถ้ากำแพงคุกที่สูงตระหง่าน ยังไม่สามารถกั้นอภิสิทธิ์และอำนาจเงินตราได้ เราจะหวังพึ่งความยุติธรรมจากที่ไหนได้อีกในสังคมนี้

 

เชิงอรรถ

1THE STANDARD TEAM. (2568, 21 พฤศจิกายน). สรุปปม ‘คุก VIP’ เมื่อเรือนจำพิเศษ กลายเป็นพื้นที่พิเศษให้แก๊งจีนเทา. THE STANDARD. https://thestandard.co/vip-prison-grey-chinese-gang/

2Thai PBS. (2568, 28 พฤศจิกายน). ราชทัณฑ์ให้ออกอีก 4 คน “ผอ.ส่วน-จนท.เรือนจำฯ” ปมเอื้อนักโทษจีน.https://www.thaipbs.or.th/news/content/358950

3สำนักข่าวอิศรา. (2568, 8 ตุลาคม). ‘ทวี’ แจง ‘เสอ จื้อเจียง’ จ้อ ‘อัลจาซีรา’ ผ่านคุกไทย สั่ง สอบจนท.รับผลประโยชน์. https://www.isranews.org/article/isranews-news/132402-politics-43.html

4สำนักข่าวอิศรา. (2568, 28 มกราคม). ‘ทวี’ โต้ ทนาย ‘เสอ จื้อเจียง’ ผู้ต้องหาเว็บพนัน อ้าง ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในคุกไทย. https://isranews.org/article/isranews-news/135229-politics-158.html

5กรมราชทัณฑ์. (2568, 26 พฤศจิกายน). รายงานสถิติผู้ต้องราชทัณฑ์ทั่วประเทศ. (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568). http://www.correct.go.th/stathomepage/warroom.php#:~:text=ประจำวันที่%2026%20พฤศจิกายน,3.%20ผู้ถูกกักกัน

6สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ). (2564). รายงานวิจัยและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายว่าด้วยการลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ. (อ้างอิงถึงแนวคิดและรายงานวิจัยหลายฉบับของ TIJ ที่พูดถึงปัญหาความแออัดในเรือนจำไทย).https://www.tijthailand.org/uploads/publication/file/20220818/th-djkotuvw4789.pdf

7มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และองค์กรภาคประชาสังคม. (2560-2565). ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกลไกการตรวจสอบ. (อ้างอิงถึงรายงานและการแถลงการณ์หลายครั้งของ CrCF และเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่วิจารณ์กลไกการตรวจสอบภายใต้ พ.ร.บ. นี้). https://crcfthailand.org/wp-content/uploads/2024/10/CAT_report_CrCF_OMCT_FINAL.pdf

8Independent Monitoring Boards (IMBs). (n.d.). Who we are and what we do https://imb.org.uk/about-us/

9The Norwegian Parliamentary Ombudsman (Sivilombudet). (n.d.). Preventing torture and ill-treatment in places of detention. https://www.sivilombudet.no/en/torture-prevention/

 

อ้างอิง

CNA. (2025, November 12). Alleged Chinese scam kingpin extradited from Thailand to China: Police. Channel News Asia. https://www.channelnewsasia.com/asia/chinese-scam-kingpin-extradited-thailand-she-zhijiang-shwe-kokko-myanmar-5462426

สำนักข่าวอิศรา. (2568, 8 ตุลาคม). ‘ทวี’ แจง ‘เสอ จื้อเจียง’ จ้อ ‘อัลจาซีรา’ ผ่านคุกไทย สั่ง สอบจนท.รับผลประโยชน์. https://www.isranews.org/article/isranews-news/132402-politics-43.html

สำนักข่าวอิศรา. (2568, 28 มกราคม). ‘ทวี’ โต้ ทนาย ‘เสอ จื้อเจียง’ ผู้ต้องหาเว็บพนัน อ้าง ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในคุกไทย. https://isranews.org/article/isranews-news/135229-politics-158.html

กรมราชทัณฑ์. (2568, 26 พฤศจิกายน). รายงานสถิติผู้ต้องราชทัณฑ์ทั่วประเทศ. (ข้อมูล ณ วันที่ 26พฤศจิกายน 2568). http://www.correct.go.th/stathomepage/warroom.php#:~:text=ประจำวันที่%2026%20พฤศจิกายน,3.%20ผู้ถูกกักกัน

สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ). (2564). รายงานวิจัยและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายว่าด้วยการลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ. (อ้างอิงถึงแนวคิดและรายงานวิจัยหลายฉบับของ TIJ ที่พูดถึงปัญหาความแออัดในเรือนจำไทย).https://www.tijthailand.org/uploads/publication/file/20220818/th-djkotuvw4789.pdf

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) และองค์กรภาคประชาสังคม. (2560-2565). ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกลไกการตรวจสอบ. (อ้างอิงถึงรายงานและการแถลงการณ์หลายครั้งของ CrCF และเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่วิจารณ์กลไกการตรวจสอบภายใต้ พ.ร.บ. นี้). https://crcfthailand.org/wp-content/uploads/2024/10/CAT_report_CrCF_OMCT_FINAL.pdf

Independent Monitoring Boards (IMBs). (n.d.). Who we are and what we do.https://imb.org.uk/about-us/

The Norwegian Parliamentary Ombudsman (Sivilombudet). (n.d.). Preventing torture and ill-treatment in places of detention. https://www.sivilombudet.no/en/torture-prevention/

 

​​




Tags: , , , , , , ,