“น้ำท่วมภาคใต้ของไทย หนักสุดในรอบ 300 ปี”
“น้ำท่วมเวียดนามหนัก ประชาชนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 90 ราย”
“น้ำท่วมมาเลเซียยังคงวิกฤต พลเมืองอพยพแล้วมากกว่า 2 หมื่นราย”
“เกิดเหตุดินถล่ม-น้ำท่วมหนักที่อินโดนีเซีย ประชาชนหลายพันคนไร้ที่อยู่อาศัยชั่วคราว”
สิ่งเหล่านี้เป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันของภูมิภาคอาเซียนเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
หากมองว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากปัจจัยทางธรรมชาติ อย่างลมมรสุมที่พัดมาจากประเทศจีนในช่วงปลายปี และปรากฏการณ์ลานินญาที่ทำให้มีน้ำฝนมากกว่าปกติ ก็คงพอทำให้เราทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะควบคุมได้
แต่ถ้ามองว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายประเทศและมีความรุนแรงมากขนาดนี้เป็น ‘สัญญาณเตือน’ จาก ‘ความไม่ปกติ’ ของโลก ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก ‘น้ำมือของมนุษย์’ ประเด็นนี้คงไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ระดับภายในประเทศหรือภูมิภาคเท่านั้น แต่ต้องมองลึกไปถึงระดับระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาคมโลกต้องหันมาให้ความสนใจ
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลทุกชาติ ในประชาคมโลกที่เข้ามารับมือกับ ‘วิกฤต’ ร่วมกัน และแน่นอนว่าประเทศโลกที่ 1 ถูกคาดหวังให้ต้องรับผิดชอบมากที่สุด เพราะหากย้อนดูประวัติศาสตร์แล้วประเทศที่ ‘ร่ำรวย’ มักสร้างผลกระทบต่อโลกมากที่สุด แต่ขณะเดียวกันประเทศโลกที่ 3 หรือประเทศ ‘ยากจน’ กลับได้รับผลกระทบมากที่สุด
แต่เหตุใด เรายังมองไม่เห็นความก้าวหน้าเชิงบวกสำหรับประเด็นเหล่านี้ แม้กระทั่งผู้นำชาติมหาอำนาจอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังระบุว่า “Climate Change เป็นเรื่องหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุด”
The Momentum ชวนผู้อ่านมาทำความเข้าใจ ความล้มเหลวของแนวทางการรับมือ Climate Change ในระดับระหว่างประเทศท่ามกลางโครงสร้างของระบบโลกที่ไม่เท่าเทียมกับกับดักที่ประเทศยากจนต้องเผชิญ
สภาพภูมิอากาศกับความไม่เท่าเทียม
เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มีที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์และยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภัยทางธรรมชาติ ถูกนับว่าเป็นวิกฤตข้ามพรมแดนมานานหลายทศวรรษแล้ว
แน่นอนว่า วิกฤตนี้ย่อมส่งผลกระทบทั่วโลก ทว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Climate Change มากที่สุดคงหนีไม่พ้นประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มทวีปแอฟริกาและเอเชีย เนื่องจากปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในจุดเปราะบางทำให้สามารถได้รับผลกระทบได้ง่าย รวมไปถึงปัจจัยทางด้านสังคมที่ยังคงเป็นกลุ่มประเทศยากจนและขาดศักยภาพในการรับมือกับปัญหานี้
ในขณะเดียวกัน เมื่อมองย้อนกลับไปตามห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา สิ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศร่ำรวยและมีศักยภาพต่างหาก เป็นประเทศที่สร้างบาดแผลให้กับโลกใบนี้มากที่สุด นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา
สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Inequality) พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ‘ประเทศสร้างปัญหา ไม่ได้รับผลกระทบ ประเทศที่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้สร้างปัญหา’
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะชี้ตัวหาผู้ผิดเป็นรายคน ดังนั้น ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นความพยายามของรัฐบาลทุกชาติในประชาคมโลกเข้ามารับมือหรือจัดการกับวิกฤตนี้ร่วมกัน ผ่านองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ กลไกและเครื่องมือต่างๆ แม้ว่าประเทศโลกที่ 1 จะถูกคาดหวังให้รับผิดชอบมากกว่าประเทศโลกที่ 3 ก็ตาม
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น ผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงนี้ การรับมือกับปัญหาที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการหันหลังให้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของผู้นำชาติมหาอำนาจอย่างทรัมป์ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดเรื่อง Climate Change ระดับโลกได้ซ่อนปัญหาและโครงสร้างทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศไว้อยู่มาก ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
ทางแก้ที่ประเทศร่ำรวยหันหลังให้
การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP30 เกิดขึ้นในประเทศบราซิลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมที่จะนำปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสภาพภูมิอากาศขึ้นมาพูดคุยในเวทีระดับโลก
น่าสนใจว่า สาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังเกิดในภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างยิ่ง
ประเด็นหลักสำคัญในที่ประชุม COP30 คือ การเรียกร้องให้มีการระดม ‘เงินภูมิอากาศ’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘Climate Finance’ มากขึ้น ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหลักสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้
โดยในปีนี้รัฐบาลบราซิลได้เสนอโรดแมป เพื่อขยายงบประมาณไปจนถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 46.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการประชุม COP29 ที่สรุปว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะจัดสรรงบประมาณราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 10.8 ล้านล้านบาท) ให้กับประเทศยากจนเพื่อใช้แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศภายในปี 2035
Climate Finance คืออะไร
เงินภูมิอากาศ หรือ Climate Finance ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม
แนวคิดเรื่อง Climate Finance มีการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการบัญญัติไว้ในมาตรา 9 ภายใต้ข้อตกลงปารีส ปี 2015 ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องจัดหาทรัพยากรทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อใช้สำหรับการบรรเทาและการปรับตัว
Climate Finance แบ่งออกได้เป็น 2 มิติหลักคือ 1. Climate Mitigation หรือมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ 2. Climate Adaptation หรือการปรับตัวต่อผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือส่งเสริมการวิจัย
แหล่งที่มาของ Climate Finance อยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งเงินให้เปล่าหรือเงินกู้ ที่มาจากทั้งภาครัฐบาลและเอกชน หรือองค์การระหว่างประเทศ และสามารถให้ได้ทั้งในรูปแบบทวิภาคีหรือพหุภาคีก็ได้
ทำไมถึงยังต้องเรียกร้อง Climate Finance ทุกปี
“เงินคือตัวเร่งที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหา” นี่คือคำกล่าวของ ไซมอน สตีลล์ (Simon Stiell) เลขาธิการสำนักงานกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในที่ประชุม COP30 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ Climate Finance และการเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเน้นย้ำส่วนตรงนี้เพิ่มมากขึ้น
แม้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะสนับสนุน Climate Finance ด้วยจำนวนตัวเลขที่ดูมากมายในช่วงแรก แต่ในเวลาต่อมา เรากลับเห็นความเฉื่อยชาและเพิกเฉยของประเทศเหล่านี้มากขึ้น เนื่องจากแนวคิด Climate Finance ‘ไม่ได้มีข้อผูกมัด’ แต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นเพียงความร่วมมือแบบหลวมๆ และคงเป็นเรื่องง่ายหากเลือกที่จะหลับหูหลับตา มากกว่าเร่งระดมเงินทุนให้ไหลออกนอกประเทศ
ในขณะเดียวกัน ประเทศผู้รับมักจะได้รับ Climate Finance ในรูปแบบของ Mitigation มากกว่า Adaptation เนื่องจากประเทศต่างๆ สามารถตกลงเกี่ยวกับมาตรการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกันได้ง่ายมากกว่า เช่น การพัฒนาโครงการสีเขียวในแต่ละประเทศเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีมูลค่าน้อยกว่ามิติ Adaptation หรือการปรับตัว เนื่องจากแต่ละประเทศได้รับผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละประเทศมีงบประมาณหรือวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน
ข้อมูลจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ระบุว่า ภูมิภาคอาเซียนต้องการเงินราว 2.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6.77 ล้านล้านบาท) หรือประมาณร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของภูมิภาคต่อปี เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้รับเงินทุนรวมกันเพียงแค่ร้อยละ 12 เท่านั้น
อุปสรรคเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นชัดมากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์อุทกภัยโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ไฟฟ้า โทรคมนาคม ถนน และการขนส่ง ในแต่ละประเทศของอาเซียนมีความเปราะบางและอ่อนแอ ซึ่งผลที่ตามมาคือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูในระยะยาว
เวทีแข่งขันทางอำนาจ ความไม่เท่าเทียม กับดักหนี้
การนำประเด็นเรื่องสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมดันขึ้นเป็นนโยบายระหว่างประเทศของชาติมหาอำนาจอาจจะพูดได้ว่า สิ่งนี้คือกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากชาติที่มีอำนาจน้อยกว่า
อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่ารูปแบบของ Climate Finance มีหลายรูปแบบ ทั้งในรูปแบบของเงินกู้และเงินให้เปล่า ทั้งจากรัฐบาลและจากเอกชน ทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคี
ช่องโหว่งตรงนี้เองที่เหล่าประเทศมหาอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจต่อรองกับประเทศขนาดเล็กและใช้แย่งชิงความเป็นมหาอำจระหว่างกัน
ชาติตะวันตกและจีนถือเป็น 2 ชาติมหาอำนาจที่ใช้พื้นที่ของภูมิภาคอาเซียนเป็นเวทีประลองอำนาจทางด้านสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ดังเช่น โครงการเงินกู้เพื่อพลังงานสะอาดจาก EU Development Funds ที่สร้างเงื่อนไขมาตรฐานทางด้านการเมืองและหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งหลายประเทศอาเซียนยากที่จะเข้าถึงได้
หรือแม้กระทั่ง จีนมักเสนอโครงการ ‘Green Infrastructure’ ภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ผ่านการปล่อยเงินกู้ในรูปแบบทวิภาคีให้กับแต่ละประเทศ จนกระทั่งนำไปสู่วงจรหนี้ที่ประเทศเล็กๆ ต้องเสียอำนาจต่อรองกับจีนในระยะยาว
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามประเทศโลกที่ 3 จำต้องตกอยู่ใน ‘ภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก’ ทำได้เพียงแค่เดินตามเกมอำนาจของชาติใหญ่ และคอยรับแรงกดดันจากเหล่าชาติมหาอำนาจ ซึ่งกำลังเร่งแข่งขันกันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่อไป และเหยื่อที่ต้องรับผลกระทบจากความรุนแรงของภัยธรรมชาติ คงหนีไม่พ้นประชาชนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง
คำถามสำคัญคือว่า แล้วเมื่อไรเสียงของประเทศชายขอบจะถูกได้ยิน มีวิธีการแก้ไขปัญหาหรือรับมือกับปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพเพิ่มเติมหรือไม่
หรือสิ่งที่ทำได้มากที่สุดในตอนนี้ คือแค่เฝ้ามอง ‘ความปกติใหม่’ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ที่มา:
– https://earth.org/climate-finance-at-cop30-what-to-expect/
– https://eastasiaforum.org/2025/02/07/weathering-the-economic-storms-of-the-asean-climate/
Tags: ภัยพิบัติ, ภัยธรรมชาติ, น้ำท่วม, Analysis, ภัยพิบัติธรรมชาติ, ประเทศโลกที่สาม, ประเทศพัฒนาแล้ว




