วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2568) สถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ยังคงอยู่ใน ‘ขั้นวิกฤต’ มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวมกว่า 115 ตำบล ครอบคลุมทั้ง 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา รวมมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 6.97 แสนราย
ถนนสายหลักของเมืองหาดใหญ่ เช่น ถนนลพบุรีราเมศวร์ น้ำท่วมสูง มีเพียงรถบรรทุกของทหาร รถบรรทุก 6 ล้อ และรถยกสูงเท่านั้นที่สามารถสัญจรได้ อย่างไรก็ตามการสัญจรบนถนนยังเป็นไปด้วยความลำบาก เนื่องจากกระแสน้ำไหลเชี่ยวแรง บางจุดน้ำท่วมสูงถึง 2 เมตร

ส่วนบริเวณ ‘สามแยกคอหงส์’ รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรได้ โดยทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทหาร เจ้าหน้าที่จากกรมเจ้าท่าและกรมทางหลวง ตลอดจนจิตอาสา กำลังนำเรือท้องแบนเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ผู้ป่วย และผู้สูงอายุ
จากประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยาเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน รายงานว่า ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนล่าง
ทั้งนี้คาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำอาจเพิ่มสูงขึ้นได้อีก เนื่องจากยังมีมวลน้ำจากพื้นที่อำเภอสะเดาไหลลงมาสมทบ อย่างไรก็ดีหากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มเติม สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (26 พฤศจิกายน 2568)
ขณะที่สถานการณ์ที่ศูนย์พักพิง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งรับรองผู้ประสบภัยได้กว่า 3,000 ราย เช้าวันนี้มีผู้ประสบภัยทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องกว่า 1,000 ราย โดยศูนย์พักพิงยังมีเจ้าหน้าที่ ทีมแพทย์ ให้การดูแลอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามยังขาดแคลนเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพจำนวนมาก

สำหรับสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของเทศบาลนครหาดใหญ่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA วิเคราะห์ว่า เป็นปัญหาที่ซับซ้อนจากปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว และความเประบางเชิงโครงสร้างของลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา
โดยพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภามีต้นน้ำอยู่บริเวณอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ไหลผ่านเมืองหาดใหญ่ก่อนลงไปยังทะเลสาบสงขลาที่แหลมโพธิ์ โดยคลองอู่ตะเภารับน้ำจากคลองสาขาหลายสาย เช่น คลองสะเดา คลองหล้าปัง คลองตง และคลองประตู
พื้นที่เมืองหาดใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่จึงเป็น ‘จุดรับน้ำหลัก’ ของลุ่มน้ำทั้งหมด ประกอบกับเมืองหาดใหญ่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่น ทำให้การซึมของน้ำลงสู่พื้นดินลดลงอย่างมาก จึงเกิดสภาวะ ‘น้ำมาลงเร็วแต่ระบายออกช้า’
อุทกภัยครั้งนี้ยังมีสาเหตุสำคัญอีกเรื่องคือ ‘ฝนตกแช่’ (Stagnant Rainfall) ทำให้ไม่มีช่วงที่ระดับน้ำได้ลดลงได้แต่วันที่ 19 พฤศจิกายนเป็นต้นมา ส่งผลให้ดินอุ้มน้ำจนเต็มความสามารถในการดูดซึมเหลือศูนย์ น้ำผิวดินจึงไหลลงคลองอู่ตะเภาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน และจากปริมาณน้ำที่ไหลมาแบบไม่หยุดทำให้ระบบลำน้ำและระบบระบายน้ำภายในเขตเมืองไม่สามารถรับมือได้ทัน

ทั้งนี้วันเดียวกันนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ โดยมี พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเลขาธิการพระราชวัง เข้าร่วมการประชุมด้วย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานการช่วยเหลือ และโปรดฯ ให้ระดมสรรพกำลังทั้งทหารและพลเรือนเร่งดำเนินการช่วยเหลือ
Tags: ภัยพิบัติ, หาดใหญ่, น้ำท่วม, อุทกภัย, สงขลา, น้ำท่วมหาดใหญ่




