เมื่อวานนี้ (23 พฤศจิกายน 2025) การประชุม G20 ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ โดยปราศจากการปรากฏตัวของผู้แทนจากสหรัฐฯ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรการประชุมนี้ โดยให้เหตุผลว่า ประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะเจ้าภาพการประชุมเลือกปฏิบัติต่อคนขาว
ไซริล รามาโฟซา (Cyril Ramaphosa) ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีปิดประชุมที่เมืองโจฮันเนสเบิร์กว่า ปฏิญญาร่วมของการประชุมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง ‘ความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือในระดับพหุภาคี’ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายร่วมกันที่มีความสำคัญมากกว่าความแตกต่างทางด้านความคิด ผลประโยชน์ และมุมมองทางการเมืองของแต่ละประเทศสมาชิก
สำหรับการประชุม G20 ในปีนี้ ประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะเจ้าภาพมีอำนาจในการกำหนดวาระเพื่อพูดคุย ซึ่งส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ สงคราม และความไม่เท่าเทียมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบรรดาประเทศโลกที่สาม และประเด็นเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกอื่นๆ ของกลุ่ม G20 รวมไปถึงจีน ญี่ปุ่น แคนาดา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และรัสเซีย
นอกจากนี้บรรดาผู้แทนยังสามารถบรรลุฉันทมติในการทำงานเพื่อ ‘สันติภาพที่ยุติธรรม ครอบคลุม และยั่งยืน’ รวมถึงสถานการณ์ในยูเครน ซูดาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และปาเลสไตน์
ทั้งนี้การประชุม G20 เป็นการรวมกลุ่มกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นด้านเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1999 และมีความแตกต่างจากกลุ่ม G7 ที่ประกอบไปด้วยประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อต้องการเปิดพื้นที่ให้บรรดาประเทศที่กำลังพัฒนา เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ของโลกได้เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
อย่างไรก็ตามข้อจำกัดของการประชุม G20 คือ ข้อตกลงร่วมของการประชุมไม่มีผลผูกพันถาวรต่อประเทศสมาชิก และไม่มีกลไกในการดำเนินการต่อประเด็นต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การประชุม G20 มักประสบปัญหาในการบรรลุฉันทมติระหว่างประเทศสมาชิก เนื่องจากความขัดแย้งกันทางด้านผลประโยชน์ระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย รวมไปถึงประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป
G20 ในปีที่ไร้เงาของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ในฐานะประเทศสมาชิก G20 ที่ร่ำรวยมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางประเด็นระดับโลก ตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการประชุมในปีนี้ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรการประชุมโดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลแอฟริกาใต้มีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอาฟรีกาเนอร์ (Afrikaners) ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนผิวขาวที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าอาณานิคมชาวดัตซ์ในแอฟริกาใต้ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
ทรัมป์อ้างว่า รัฐบาลแอฟริกาใต้ภายใต้การนำของรามาโฟซาบุกรุกพื้นที่ทางการเกษตร อีกทั้งยังสังหารหมู่ชาวอาฟรีกาเนอร์ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
อย่างไรก็ตามรัฐบาลแอฟริกาใต้ออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของทรัมป์ว่า ไม่เป็นความจริง และมีการแสดงหลักฐานเพิ่มเติมให้เห็นว่า การคุกคามชาวอาฟรีกาเนอร์แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น ในทางกลับกันคนผิวดำซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศต้องแบกรับปัญหาที่เกิดจากเศษซากอาณานิคมจากกลุ่มคนผิวขาวมากกว่า
ทั้งนี้สหรัฐฯ จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุม G20 ในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นที่สนามกอล์ฟของทรัมป์ในรัฐฟลอริดา อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวระบุว่า สหรัฐฯ เตรียมจะส่งตัวแทนจากสถานทูตในแอฟริกาใต้เข้าร่วมการประชุมในห้วงสุดท้าย เพื่อเตรียมเข้ารับตำแหน่งเจ้าภาพในปีต่อไปตามธรรมเนียม ทว่ารัฐบาลแอฟริกาใต้กลับปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า การส่งเจ้าหน้าที่ระดับล่างมาเข้าร่วม ‘การประชุมสุดยอดผู้นำ’ ถือเป็นการดูหมิ่นประธานาธิบดีแอฟริกาใต้เป็นอย่างยิ่ง
“พวกเขาควรจะส่งตัวแทนในระดับที่ถูกต้องมา… นี่คือการประชุมสุดยอดผู้นำ ตำแหน่งที่ถูกต้องควรจะเป็นผู้นำของประเทศ ผู้แทนพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี หรือควรจะเป็นระดับรัฐมนตรี” โรนัลด์ ลาโมลา (Ronald Lamola) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของแอฟริกาใต้ กล่าว
ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศของแอฟริกาใต้ระบุว่า ในท้ายที่สุดไม่มีผู้แทนของสหรัฐฯ ได้รับการรับรองให้เข้าร่วมการประชุม G20 ในปีนี้ และพิธีส่งมอบตำแหน่งเจ้าภาพจะเกิดขึ้นในภายหลัง
ทั้งนี้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับแอฟริกาใต้มีความตึงเครียด นับตั้งแต่การขึ้นสู่อำนาจของทรัมป์ในสมัยที่ 2 เนื่องจากทรัมป์มองว่า แอฟริกาใต้มีท่าทีต่อต้านสหรัฐฯ มากขึ้น ด้วยการหันหน้าไปผูกสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน รัสเซีย และอิหร่านมากขึ้น
ความพยายามฟื้นคืนความร่วมมือพหุภาคี
การประชุมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือในระดับพหุภาคีและบทบาทนำของประเทศโลกที่ 3 ซึ่งสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในเวทีระดับโลกเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางบริบทโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากสงคราม และนโยบาย ‘American First’ ของทรัมป์ เพื่อต้องการปลีกตัวแยกออกจากประชาคมโลก
ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา (Luiz Inácio Lula da Silva) ประธานาธิบดีระบุว่า การประชุมสุดยอด G20 และการประชุมสุดยอด COP30 ในบราซิล สะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือในระดับพหุภาคียังคงสำคัญอยู่
ขณะที่ ฟรีดริช เมอซ์ (Friedrich Merz) นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่า สิ่งที่เห็นได้จากการประชุม G20 ในครั้งนี้คือ ความพยายามในการปรับโครงสร้างความร่วมมือใหม่และเชื่อมโยงเข้าหากันอีกครั้ง
อ้างอิง:
– https://www.bbc.com/news/articles/cvg130704zro
– https://edition.cnn.com/2025/11/23/africa/g20-south-africa-ends-trump-boycott-intl
– https://apnews.com/article/g20-south-africa-climate-trump-us-e52a49ebd7cb0d2d690e64af5552659c
ภาพ: AFP
Tags: การประชุมสุดยอดผู้นำ, ความร่วมมือพหุภาคี, สงคราม, ทรัมป์, แอฟริกาใต้, G20, สหรัฐฯ, สภาพภูมิอากาศ, ความไม่เท่าเทียม




