หากต้องจัดลำดับหน่วยงานรัฐที่ประชาชนเชื่อถือน้อยที่สุดในประเทศไทย ‘ตำรวจ’ มักติดอันดับท้ายๆ

ประวัติศาสตร์การ ‘รีดไถ’ ไม่ใช่เรื่องเล่าปากต่อปาก หากแต่คือเรื่องที่คนไทยประสบด้วยตัวเอง ตำรวจทางหลวงไถเงินรถวิ่งเกินความเร็ว รถบรรทุกน้ำหนักเกิน ตำรวจท้องที่เก็บเงินจากบ่อนการพนันเถื่อน จากสถานบันเทิง ตำรวจระดับชาติเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากธุรกิจพนันออนไลน์ จากธุรกิจสแกมเมอร์ จากผู้ต้องหาที่ต้องการหลุดคดี ตำรวจน้อยจ่ายเงินตำรวจใหญ่เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น

‘โรงพัก’ ถูกแบ่งเกรดเป็นเกรด เอ บี ซี สน.ทองหล่อ สน.สุทธิสาร เป็นพื้นที่เกรดเอของกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพราะมีอาชญากรรมเยอะ มีคดีท้าทาย แต่เป็นเพราะมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนเป็นจำนวนมาก ระบบแบบนี้อยู่กับประเทศไทยมานานจนพวกเราชาชิน เป็นปัญหาเรื้อรังที่นักการเมืองไม่สามารถแก้ไขได้ ต่อให้เป็นรัฐบาลทหารก็แก้ไม่ได้ 

ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดจากอคติส่วนบุคคล แต่เกิดจากประสบการณ์ร่วมยาวนานหลายทศวรรษที่ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า “เรายังเชื่อใจระบบตำรวจได้แค่ไหน”

อำนาจรัฐที่ไปผูกกับ ‘เรื่องเทา เรื่องดำ’

กฎหมายไทยให้อำนาจตำรวจครอบคลุมทั้งพื้นที่ ‘เทา ดำ’ ตั้งแต่สถานบันเทิง การพนัน ไปจนถึงการควบคุมกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ เป็นช่องว่างเชิงโครงสร้างที่เปิดโอกาสให้เงินไหลเข้า-ไหลออก และเกิดการต่อรองใต้โต๊ะจนกลายเป็นเรื่องปกติ

ตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย พึ่งพาดุลพินิจของเจ้าหน้าที่อย่างหนัก ถ้าเจ้าหน้าที่ชี้ว่าผิดคือผิด ถ้าชี้ว่าถูกคือถูก ในอดีต (และอาจจะลากมาจนถึงปัจจุบัน) ตำรวจทำงานโดยผ่านระบบตรวจสอบ ถ่วงดุล และควบคุมน้อยมาก เมื่อมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ตำรวจตรวจสอบกันเอง และเมื่อไร้อำนาจควบคุม ‘เงิน’ ย่อมเข้ามาแทนที่

เมื่อระบบเปิดช่อง และผู้บังคับบัญชาคาดหวังเงินจากลูกน้อง การรับและส่งต่อเป็นทอดๆ จึงกลายเป็นวัฒนธรรม ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะราย แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนในระบบรู้กันดีว่าเกิดขึ้นจริง หากตำรวจคนไหนรับเงินก็ถือเป็นเรื่อง ‘โง่มาก’ อย่างที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเคยให้สัมภาษณ์ ก็เป็นไปได้ว่าตำรวจหลายคนยอม ‘โง่’ เพื่ออยู่ในระบบแบบนี้

คำว่า ‘ตามน้ำ’ เป็นสิ่งที่หลายคนในระบบนี้พูดถึงอยู่บ่อยๆ บางคนอาจไม่ได้ตั้งใจรับ อยากเป็น ‘ตำรวจดี’ เหมือนในหนังฮ่องกง แต่ตำรวจเล็กๆ จะเอาอะไรไปขวางระบบที่รับเงินกันอย่างโจ๋งครึ่มได้ อีกทั้งยังต้องส่งต่อกันเป็นทอดๆ

น่าทึ่งก็คือสิ่งที่เล่าต่อๆ กัน การรับเงินของตำรวจ อาจเป็น Business Model อย่างหนึ่ง สิ่งที่สังคมทั่วไปรู้สึก และสัมผัสได้คือมีความพยายาม ‘ทำยอด’ เพื่อส่งให้ตำรวจนายที่เหนือกว่า การทำยอดอาจเป็นได้ทั้งการขอเงินพิเศษจากธุรกิจผิดกฎหมาย การตั้งด่านลอยเพิ่ม การเก็บเงินจากส่วยสติกเกอร์เพิ่ม หรือการ ‘ขอรับความอนุเคราะห์’ จากบรรดาธุรกิจที่คาบลูกคาบดอก เพราะ ‘ดุลพินิจ’ ตามข้อแรก อาจให้คุณให้โทษกับบางธุรกิจได้ การจ่ายไว้ก่อนจึงปลอดภัยกว่า

ระบบทำยอด ระบบตามน้ำ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาชีพตำรวจมี ‘ความเครียด’ และแรงกดดันที่สูงมาก

เคยมีการสำรวจว่า ระหว่างปี 2557-2564 จำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ฆ่าตัวตายรวมประมาณ 295 ราย โดยเกือบทั้งหมดเป็นเพศชาย ร้อยละ 98.36 และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 44 ปี (ช่วงอายุ 41-50 ปีครองสัดส่วนมากสุด)

ชัดเจนว่าหากระบบตำรวจยังเป็นเช่นนี้ นี่คือระบบที่นอกจากจะทำลายสังคม ยังทำลายคนวิชาชีพเดียวกันเอง

คดี ‘เปลี่ยนความเร็วรถ-ผู้กำกับถุงดำ’ 2 เรื่องเลวร้ายของวงการตำรวจ

ย้อนกลับไปปี 2555 วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทตระกูลดังขับเฟอร์รารีชน ดาบตำรวจ วิเชียร แก้วพะเนาว์ เสียชีวิตในพื้นที่ สน.ทองหล่อ นอกจากขับรถชนตำรวจขณะมึนเมาแล้ว ยังลากดาบตำรวจผู้เคราะห์ร้ายไปไกลอีก 200 เมตร ทว่าผ่านไปหลายชั่วโมง กลับไม่มีตำรวจรายใดเข้าไปจับกุมผู้ขับขี่เฟอร์รารีถึงในบ้าน กระทั่งผ่านไปถึงรุ่งเช้า ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในเวลานั้นเล่นใหญ่ นำทีมเข้าไปถึงที่ เพื่อนำกำลังเข้าจับกุมตัววรยุทธ

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผู้ขับขี่หลบหนีไปใช้ชีวิตในประเทศอื่น คาดว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกระทั่งคดีหมดอายุความ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น 

ทนายผู้เสียหายติดต่อนักวิชาการ ขอให้เพิ่มทฤษฎีว่าด้วยความเร็วของรถเฟอร์รารีเสียใหม่ จาก 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการแก้คำให้การของตำรวจ อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของนักวิชาการ ก่อนยื่นเรื่องไปยังคณะกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยุคคณะรัฐประหารครองเมือง เพื่อให้รับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มว่าด้วยความเร็วรถที่คำนวณใหม่ ซ้ำอยู่ดีๆ ยังมีพยานที่ขับรถอยู่บริเวณนั้น 2 รายโผล่ขึ้นมา มาให้การว่าความเร็วรถเฟอร์รารีนั้นขับเพียง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจริงๆ

กระบวนการดังกล่าวได้ผลในปี 2562 อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องวรยุทธ อยู่วิทยา ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นเพียงข้อหาเดียวที่เหลืออยู่ กระทั่งมี ‘คนใน’ เห็นความผิดปกติดังกล่าวทนไม่ไหว เรียกร้องให้ตรวจสอบ ‘ความไม่ปกติ’ นี้อีกครั้ง กระทั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการสอบสวน และชี้มูลตำรวจ-ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในเวลานั้น เรื่อยไปจนถึงอัยการอาวุโส

ว่ากันว่ามีอีกหลายเรื่องที่กระบวนการยุติธรรมมีปัญหาเช่นนี้ และเป็นไปทั้งระบบ โดยมีจุดเริ่มต้นจาก ‘ตำรวจ’ เพียงแต่แสงสว่างนั้นส่องไม่ถึง

ในเวลาเหลื่อมกัน เกิดอีกคดีที่จังหวัดนครสวรรค์ ผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์สั่งลูกน้อง 6-7 คน เอาถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาเพื่อรีดไถเงิน ผู้ต้องหาเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ตำรวจเขียนรายงานว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุจากการหกล้ม กระทั่งกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นชัดเจนว่ามีกระบวนการซ้อมทรมาน

มีการตั้งข้อสังเกตว่าผู้กำกับรีดเงินเพื่อนำเงินไปส่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงหรือไม่ หลังโดนจองจำได้ 4 ปี ต้นปีที่ผ่านมา อดีตผู้กำกับยศพันตำรวจเอกก็เสียชีวิตอย่างปริศนาภายในเรือนจำ ไม่ทันได้พูด ไม่ทันได้บอกสาธารณชนว่ามีเรื่องอะไรบ้าง มีตัวละครใดบ้าง ที่อยู่เบื้องหลัง

ประเทศที่ระบบตำรวจล้มเหลว คือประเทศที่ประชาธิปไตยหายไปเรื่อย ๆ

ความน่าเชื่อถือของตำรวจคือหนึ่งในเสาหลักของรัฐสมัยใหม่ เมื่อเสานี้สั่นคลอน ความไว้วางใจของประชาชนต่อรัฐบาล กระบวนการยุติธรรม และสถาบันการเมืองทั้งหมดก็จะพังตามไปด้วย ผลกระทบไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่รวมถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การลงทุน และศักยภาพของประเทศในเวทีโลก

หลักนิติธรรมไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ปัจจุบันอยู่อันดับ 77 จาก 143 ประเทศ เป็นสถานการณ์ที่ย่ำอยู่กับที่มานานนับสิบปี แต่ก็น่าสนใจว่า ‘อาชีพ’ ในกระบวนการยุติธรรมยังเป็นอาชีพที่คนอยากเข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ อัยการ หรือผู้พิพากษา

ไม่ต้องตอบคำถามว่า ‘ทำไม’ อาชีพไหนที่คนอยากทำมากๆ ก็แปลว่าเป็นเพราะงานเหล่านี้ ‘มั่นคง’ และ ‘รายได้ดี’

ถ้าเป็นอาชีพอื่นๆ หากยิ่งทำตัวชี้วัดยิ่งตกต่ำ ก็ต้อง ‘ยกเครื่อง’ ใหม่ แต่ในกระบวนการยุติธรรม คนทำงานนี้ก็ยังทำงานแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม

ขณะที่ประชาชนก็เหมือนเดิมเหมือนกัน ยิ่งอยู่ประเทศนี้นานขึ้น ยิ่งทำให้รู้ว่าต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนประเทศนี้ก็เหมือนเดิม

แต่ในสายตาชาวโลกนั้น ประเทศที่กระบวนการยุติธรรมมีปัญหา กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายมีปัญหา ย่อมส่งผลให้การค้า-การลงทุน ‘ชะงักงัน’ 

คิดง่ายๆ ว่า หากประชาชนรู้สึกว่า ‘ถูกเจ้าหน้าที่รัฐหาประโยชน์’ มากกว่า ‘ถูกปกป้องโดยรัฐ’ ประเทศจะอยู่อย่างไร

ถึงเวลารื้อระบบ ไม่ใช่แค่ตั้ง ‘คนดี’ ไปแก้ปัญหา

ก่อนหน้านี้มักมีคำพูดที่ว่า หากระบบแย่ แต่ส่ง ‘คนดี’ ‘คนซื่อสัตย์’ เข้าไปทำงาน อาจทำให้ระบบดียิ่งขึ้นได้

แต่ลองคิดดูว่าระบบที่ผิดปกติเรื้อรังนานหลายสิบปี ‘คนดี’ จะเข้าไปแก้อะไรในระบบเดิม และสุดท้าย ระบบจะกลืนกินคนดีเหล่านั้นให้สอดคล้องกับระบบแบบนี้ไปในที่สุด

ที่ผ่านมา มีข้อเสนอในการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจให้ถึงโครงสร้าง ตั้งแต่ระบบการสรรหา การตั้งหน่วยตรวจสอบอิสระ การแยกอำนาจสอบสวนออกจากตำรวจ หรือการตั้งคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติที่เป็นอิสระ ล้วนไม่เคยเกิดขึ้น

เพราะถึงที่สุด ทั้ง ‘รัฐบาลทหาร’ และรัฐบาลที่มาจากนักการเมือง ย่อมต้องการใช้ประโยชน์จากตำรวจในระบบแบบนี้ ระบบที่สั่งซ้ายหัน-ขวาหันได้ ระบบที่รู้กันอยู่ว่าแสวงหาประโยชน์กันมหาศาล แต่ท้ายที่สุดก็ยังทำประโยชน์ให้ ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ

แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องทำความเข้าใจคือความเชื่อถือของตำรวจไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่คือ ‘ความมั่นคงของประชาชน’ หากอยากเห็นประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ระบบตำรวจต้องหยุดผูกกับผลประโยชน์และการเมือง และเช่นเดียวกัน ระบบการเมืองก็ต้องหยุดผูกกับผลประโยชน์ของตำรวจ

หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ประเทศก็สิ้นหวังแบบนี้ ประเทศนี้จะไม่มีวันเติบโต หากกระบวนการยุติธรรมยังเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้

เพราะประเทศไม่ใช่แค่ถนน อาคาร หรือตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศคือความเชื่อใจที่คนมีต่อกฎหมาย และถ้ากฎหมายถูกทำลายด้วยมือของผู้บังคับใช้เอง ทุกอย่างก็ไม่เหลืออนาคตอะไรแล้ว


Tags: , , , ,