ช่วงนี้ย่านอารีย์เหมือนมีแม่เหล็กดูดร้านใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ และล่าสุดก็มีชื่อหนึ่งที่ทำให้สายกินต้องมารวมตัวกันอีกครั้ง กับ ‘จี่เกีย’ ร้านอาหารอีสาน สันดานญี่ปุ่น จากขอนแก่นมาปักหมุด ณ อารีย์ การ์เด้น ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมพลังของ เชฟหมู-ฑิฆัมพร ศรีคำแหง ที่อยากให้คนเมืองได้ลองรสชาติอีสานที่ไม่ใช่แค่จัดจ้าน แต่ยังแอบซ่อนจังหวะญี่ปุ่นอยู่ในทุกเมนู

ถ้าอีสานคือความดิบซื่อ ส่วนญี่ปุ่นคือความเนี้ยบละเอียด จี่เกียก็เหมือนเวทีที่ 2 บุคลิกนี้มาอยู่ด้วยกันแบบไม่ฝืน ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์เชฟหมู ที่เล่าแบบตรงไปตรงมาว่าร้านนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมถึงต้องเป็น ร้านอาหารอีสาน สันดานญี่ปุ่น

เชฟหมูเล่าว่า จุดเริ่มต้นของจี่เกียเกิดจากการได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น และความรักในการทำอาหาร โดยเฉพาะอาหารอีสาน เมื่อตัดสินใจเปิดร้าน จึงแต่ไม่อยากเปิดร้านอาหารอีสานแบบเดิมๆ และหันมาผสาน 2 โลกที่ตัวเองคลุกคลีมาตลอด ทั้งความเนี้ยบแบบญี่ปุ่นและความเผ็ดจัดจ้านแบบอีสาน กลายเป็นไอเดีย ‘อาหารอีสาน สันดานญี่ปุ่น’ ที่ไม่ได้หยิบแค่หน้าตาความเป็นญี่ปุ่นเข้ามาตกแต่ง แต่ลงไปถึงแก่นของรสชาติ ตั้งแต่การทำซอสเอง ไปจนถึงการเบลนด์ปลาร้าเข้ากับทาเระจนได้รสแบบใหม่ที่เป็นจี่เกียอย่างแท้จริง

“โปรเจกต์นี้ผมคิดมาเป็นปีแล้วครับ ผมมีไอเดีย ‘จี่เกีย’ ไว้ก่อนแล้ว ผมชอบคิดโปรเจกต์เก็บไว้ จนมาถึงจังหวะที่รู้สึกว่าอาหารอีสานในตลาดเริ่มมี Positioning ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่เริ่มมีร้านแนว ‘อีสานกายะ’ หรือร้านที่ผสมผสานลักษณะญี่ปุ่นเข้ามาเยอะ แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นแค่การแต่งร้านให้เป็นญี่ปุ่น ถ้วยจานเป็นญี่ปุ่น บางที่ให้พนักงานใส่ชุดยูกาตะ แต่เมนูหลักอย่างส้มตำหรือลาบก็ยังเป็นแบบดั้งเดิมทุกอย่าง เหมือนอยู่ในร้านลาบทั่วไป” 

จี่เกีย = ย่างเกลือ

เชฟหมูเล่าว่า ชื่อ ‘จี่เกีย’ จริงๆ ซ่อนนิสัยอาหารอีสานไว้เต็มๆ ‘จี่’ คือการย่างระดับที่ใกล้ชิดถ่านที่สุดแบบอีสาน แรงพอให้ผิวนอกสุกงามแต่ข้างในยังฉ่ำ ไม่แห้งไปหมด ซึ่งมันไปพอดีกับเทคนิคยากิโทริที่เขาถนัด ส่วนคำว่า ‘เกีย’ มาจากสำเนียงอีสานของคำว่า ‘เกลือ’ พอเอามารวมกันเลยกลายเป็นจี่เกีย หรือร้านย่างเกลือที่ฟังดูง่ายแต่มีบุคลิกเฉพาะตัวตั้งแต่ชื่อ

ส่วนแรงบันดาลใจจากญี่ปุ่นก็มาจากชีวิตที่เขาใช้เวลากับองค์กรญี่ปุ่นกว่า 14 ปี เจอทั้งวินัย วิธีคิด และความละเอียดของคนญี่ปุ่นจนกลายเป็นสิ่งที่ซึมลึกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งประกอบกับความชอบทำอาหารมาตั้งแต่ประถมฯ เชฟหมูเลยไม่ได้แค่กิน แต่คอยสังเกต ลองทำ และค่อยๆ พัฒนาความถนัดด้านอาหารญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นส่วนสำคัญใน DNA ของจี่เกีย

เดิมทีเชฟหมูไม่ได้เริ่มต้นร้านอาหาร แต่เริ่มต้นจากการทำงานออกแบบในสายยานยนต์กับองค์กรญี่ปุ่น เป็นงานมั่นคงที่หลายคนใฝ่หา แต่ระหว่างที่ทำงานนั้น เขาก็ยังคงเป็นคนชอบทำอาหารมาตลอด จนวันที่คุณพ่อเสียและต้องกลับไทยเพราะคุณแม่อยู่คนเดียว ชีวิตเหมือนถูกบังคับให้หยุดและหาทางเดินใหม่ ซึ่งงานด้านออกแบบรถยนต์ในอีสานก็แทบไม่มีให้เลือกอยู่แล้ว

พอกลับมาขอนแก่น เขาเลยตัดสินใจลองทำในสิ่งที่อยู่กับตัวมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือการทำอาหาร เริ่มจากร้านยากิโทริเล็กๆ แบบรถเข็น ตั้งใจแนะนำคนในพื้นที่ว่าอาหารญี่ปุ่นมีอะไรมากกว่าราเมนหรือซูชิ เขาย่างไปอธิบายไปจนคนเริ่มต่อคิวรอทุกคืน กระทั่งร้านเติบโตเร็วเกินคาด ขยับจากรถเข็นไปตั้งโต๊ะ ไปอยู่โครงการ The Wall Khonkaen และสุดท้ายกลับมาสร้างจี่เกียในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเป็นแค่ซุ้มขายของชำ ช่วงแรกร้านมีเพียง 10 ที่นั่ง ล้อมด้วยผ้าใบกันลม ที่พนักงานและแขกต้องช่วยกันจับเวลาฝนตก ก่อนจะกลายเป็นร้านอีสานสันดานญี่ปุ่นที่หลายคนรู้จักในวันนี้

ขยับมาสร้างตำนานในกรุงเทพฯ

หลังจากเปิดร้านในขอนแก่นและโคราชแล้ว การตัดสินใจขยายสาขามาเปิดในกรุงเทพฯ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เชฟหมูเล่าว่า “จุดเริ่มต้นคือผมปฏิเสธมาตลอด เพราะกรุงเทพฯ เป็นตลาดที่โหดแบบไม่ต้องอธิบายเยอะ คู่แข่งเยอะ ลูกค้าเยอะ แต่ก็แย่งกันเยอะพอๆ กัน ยังไม่รวมคอนเซปต์ร้านที่มักจะคล้ายกันไปหมด ทำให้ตอนแรกผมไม่รู้สึกอยากเข้ามาแข่งตรงนี้เลย

“อีกเรื่องที่กังวลมากคือบุคลิกของร้านจี่เกียเอง เราเป็นร้านที่ต้องจองเป็นรอบ ผมกลัวการจราจรของกรุงเทพฯ มาก ถ้าลูกค้ามาสาย แล้วต้องเร่งรอบหรือเลื่อน จะยุ่งยากกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจทำ คือเสียงของลูกค้า โดยเฉพาะตอนเราไปเปิดสาขาโคราช มีลูกค้าพูดเสมอว่า คาแรกเตอร์ของร้านเหมาะกับกรุงเทพฯ มาก เราเลยเริ่มเก็บข้อมูลจริงจัง ถามลูกค้ากลุ่มนี้ว่าถ้าเปิดในกรุงเทพฯ จะมาไหม ซึ่งคำตอบแทบจะเหมือนกันคือ ลูกค้ารออยู่แล้ว จุดนี้แหละที่ทำให้เรากล้าก้าวเข้ามา

“พอมั่นใจในคาแรกเตอร์ร้านมากขึ้น เราเลือกทำเลแบบระมัดระวังสุดๆ ไม่ใช่ว่ามีที่ว่างตรงไหนก็ไปเปิด แต่เลือกจุดที่สะท้อนความเป็นเราได้จริง ทั้งราคา ทั้งสไตล์ ทั้งอารมณ์ของร้าน เรื่องกลุ่มลูกค้าเองก็ชัดเจนมาก จี่เกียไม่ค่อยได้ลูกค้าที่เป็นนักศึกษาอยู่แล้ว แทบจะนับจำนวนได้ กลุ่มหลักคือคนวัยทำงานและเจ้าของกิจการ ซึ่งเป็นฐานที่เหนียวแน่น

“ส่วนผลตอบรับของสาขากรุงเทพฯ ก็มีความต่างจากที่คิดเล็กน้อย แม้จะเปิดในโซนเขตราชการ ที่ช่วงกลางวันค่อนข้างเงียบ เพราะอาหารของต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ไม่ใช่อาหารที่รีบกินแล้วรีบไปได้ง่ายๆ แต่ช่วงเย็นคือกลับสู่โหมดจี่เกียที่คุ้นเคย ฟีดแบ็กดีเหมือนขอนแก่น ลูกค้าประจำที่รู้จักเราก็มา ลูกค้าใหม่จากการบอกต่อก็มากขึ้น

“สรุปแล้ว ร้านไม่ได้แน่นทุกช่วงเวลา แต่ยอดขายนิ่งและเสถียร เรารู้สึกโอเคและพอใจ เพราะสุดท้ายแล้ว จี่เกียก็ยังเป็นจี่เกีย คาแรกเตอร์แบบอีสานกายะ หลังเลิกงานยังทำงานของมันได้ดีเหมือนเดิมในทุกเมืองที่ไปถึง”

เพียงไม่กี่เดือนที่มาเยือนกรุงเทพฯ จี่เกียสร้างปรากฏการณ์ลูกค้าคนดังที่สาขากรุงเทพฯ ถือว่าเหนือความคาดหมาย เชฟหมูเล่าว่า ก่อนหน้านี้ตอนร้านยังมีเฉพาะที่ขอนแก่น ก็มีลูกค้าหลายคนถึงขั้นบินไปกินที่ร้านอยู่แล้ว แต่พอย้ายมากรุงเทพฯ ก็เหมือนยกระดับความคึกคักขึ้นไปอีก โดยเฉพาะครั้งที่แบมแบม นักร้องชื่อดังมากิน และดาราคนอื่นๆ ที่มาเช็กอินไม่ขาดสาย

การเลือกวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน

การมาเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ทำให้การหาวัตถุดิบอีสานยากขึ้น เพราะคนอีสานอยู่ที่กรุงเทพฯ เยอะมาก ตลาดลาวก็มีหลายจุดทั้งคลองเตย บางกะปิ ไปจนถึงพระรามสอง ทำให้ผักพื้นบ้านหรือวัตถุดิบเฉพาะทางบางอย่างยังหาได้ง่ายกว่าในอีสานด้วยซ้ำ เพราะของดีจากหลายพื้นที่ถูกส่งเข้ามารวมกันอยู่ที่นี่ จึงช่วยลดภาระการขนส่งไปมาก 

ส่วนวัตถุดิบที่ต้องการความแม่นยำแบบมาตรฐานเดิม เช่น เนื้อวัว ลิ้นวัว หรือไส้ต่างๆ ย้ายมาจากโกดังที่ขอนแก่นทั้งหมด เพื่อคงคาแรกเตอร์และรสชาติให้เหมือนต้นตำรับ

เชฟหมูบอกว่า แนวทางการคัดเลือกวัตถุดิบของจี่เกียคือให้ความสำคัญกับของที่เป็น Local เป็นหลัก แม้บางอย่างจะแพงกว่า แต่มันมาพร้อมที่มา วิธีการเลี้ยง และเรื่องราวที่พนักงานสามารถเล่าต่อให้ลูกค้าได้ ตั้งแต่เนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าแบบบ้านๆ ไปจนถึงผักพื้นบ้านทุกอย่าง เพราะลูกค้ายุคนี้ไม่ได้แค่มากิน แต่อยากรู้เรื่องราวด้วย

นอกจากนี้เชฟหมูยังบอกอีกว่า แม้จำนวนการซื้อต่อครั้งของจี่เกียจะไม่ได้เยอะ หรือร้านไม่ได้ช่วยเกษตรกรในสเกลใหญ่แบบที่หลายคนคิด แต่อย่างน้อยร้านอย่างจี่เกียเป็นกระบอกเสียงชวนคนอื่นให้หันมาอุดหนุนพวกเขามากกว่า

การสนับสนุนสุราพื้นบ้านและชุมชน

เชฟหมูเล่าว่า ตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน แนวคิดเรื่องสุราชุมชนก็เป็นสิ่งที่ตั้งใจทำมาตั้งแต่แรก ตอนนั้นมีเพียงเหล้าคูณ สุราขอนแก่นที่ตนเองก็ดื่มอยู่แล้ว จากนั้นลูกค้าก็เข้ามาบอกว่า อาหารอีสานแบบจี่เกีย ต้องกินกับสุราชุมชนถึงจะครบรส ทำให้ร้านเริ่มมีตัวเลือกมากขึ้น ผู้ประกอบการจากหลายพื้นที่ก็นำสุรามาฝากให้ลองชิม และวางจำหน่ายจากหลายพื้นที่

เชฟหมูกล่าวต่อว่า คาแรกเตอร์ของร้านตั้งใจให้ชัดเจน ไม่ขายไวน์หรือสาเก แม้หลายคนแนะนำว่าเข้ากับอาหารได้ดี แต่จี่เกียอยากให้คอนเซปต์แข็งแรงที่สุด จึงเลือกขายสุราชุมชนเป็นขวด ไม่ขายเป็นแก้ว เพื่อให้ลูกค้าสามารถสะสมและนำกลับบ้านได้ การคัดเลือกก็พิถีพิถัน บางตัวที่รสชาติเข้มจนกินยาก จะไม่เอามาวางขาย ทำให้ทุกขวดที่ลูกค้าได้ดื่ม เป็นทั้งรสชาติและเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับชุมชนจริงๆ

ของดีที่ห้ามพลาด

เชฟหมูเล่าว่า หากมาที่จี่เกีย เมนูที่ต้องลองเลยคือ ลิ้นโคขุนจี่ (โคนลิ้นวัวจี่) ไม้ละ 89 บาท เมนูนี้เป็นที่นิยมมากจนกลายเป็น Hero Product ของร้าน ใช้เฉพาะโคนลิ้นวัวซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด นำมาย่างและทาด้วยซอสทาเระผสมปลาร้าหอมๆ ซึ่งทำให้รสชาติมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ความพิเศษของลิ้นจี่ที่จี่เกีย คือมาตรฐานแบบญี่ปุ่นทุกไม้ ใช้เฉพาะโคนลิ้นเท่านั้น ไม่ผสมปลายลิ้นที่เหนียว ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าทุกคำจะได้รสสัมผัสนุ่มฉ่ำเต็มคำ เมนูนี้ขายดีมากจนสาขาขอนแก่นต้องใช้ลิ้นวัววันละ 30-40 ชิ้น ความฉ่ำของเนื้อโคนลิ้นผสมกับกลิ่นหอมจากถ่านและซอสทาเระปลาร้า เป็นสิ่งที่ลูกค้าทุกคนบอกต่อ จนกลายเป็นจานต้องสั่งเมื่อมาที่จี่เกีย

อีกหนึ่งเมนูแนะนำของจี่เกียคือ ปลาดุกจี่ ไม้ละ 79 บาท เชฟหมูเล่าว่า ปลาดุกถือเป็นของคู่กันกับอาหารอีสาน แต่ที่ร้านต้องการปรับกระบวนการให้ได้มาตรฐานแบบญี่ปุ่น ไม่ใช่ทำให้เป็นปลาไหลอุนางิ 100% แต่ยังคงรสชาติและสัมผัสของปลาดุกเอาไว้

ผลลัพธ์คือปลาดุกจี่เวอร์ชันจี่เกียที่มีกลิ่นหอมไม่คาวดิน เนื้อแน่นนุ่ม แต่ยังให้ความรู้สึกเป็นปลาดุกแท้ๆ แม้กระทั่งคนที่เคยไม่ชอบปลาดุกก็สามารถทานได้ เชฟบอกว่าความตั้งใจคือทำให้เมนูนี้สะท้อนทั้งความเป็นอีสานและความพิถีพิถันแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีเมนู ก้อยปลาขาว ราคา 259 บาท ที่ทางร้านคัดมาแล้วว่าสามารถกินดิบได้

และพลาดไม่ได้กับเมนูที่ขายดีของจี่เกียคือ ข้าวจี่ซุบมะเขือ ราคา 119 บาท เชฟหมูเล่าว่า ด้วยความที่เรียนด้านศิลปะมา เขาจึงให้ความสำคัญกับหน้าตาของอาหารในการสร้างภาพจำ

ข้าวปั้นจี่ถูกจัดให้เป็นสามเหลี่ยมเหมือนโอนิกิริของญี่ปุ่น แต่ด้านบนวางกับข้าวอีสาน เช่น ซุปมะเขือ ป่นปลา หรือแจ่วกุ้ง ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่แตกต่างและน่าสนใจ รสชาติอาจไม่เป็นเวอร์ชันออริจินัล 100% เพราะมีการปรับด้วยซอสแบบญี่ปุ่น แต่ยังคงกลิ่นอายความเป็นอีสาน ทำให้เมนูนี้เป็นที่ชื่นชอบและลูกค้าสั่งกันอย่างต่อเนื่อง

ความแตกต่างของเมนูแต่ละสาขา

เชฟหมูบอกว่า เมนูหลักเหมือนกันทุกสาขา แต่เดิมตั้งใจจะมีเมนูเฉพาะสาขา เช่น ตอนเปิดที่โคราชก็มีผัดหมี่จี่เกีย ใช้เส้นหมี่โคราชผัดกับซอสสูตรพิเศษ และหม้อปลาร้าปลาดุกจี่ ที่ตั้งใจขายเฉพาะโคราช แต่ลูกค้าที่ขอนแก่นอยากลอง ก็ต้องนำมาขายที่ขอนแก่นด้วย

พอเปิดสาขาอารีย์ในกรุงเทพฯ เชฟตั้งใจทำเมนูโมเดิร์น เช่น ข้าวจี่มันปูไข่ผำ ที่ดูเหมือนโรยผงมัทฉะแต่เป็นผงไข่ผำออร์แกนิก นำมาผสมกับมันปูปรุงรสเพื่อทำเป็นไส้ และโรยบนตัวข้าวจี่ที่ทาไข่หลังย่างเสร็จ เมื่อลูกค้าสาขาอื่นเห็นเมนูนี้ก็อยากกินเช่นกัน ทำให้เมนูเฉพาะสาขากลายเป็นต้องขายในทุกสาขา ตอนนี้ร้านรวมเมนูทั้งหมดประมาณ 60-70 เมนู รวมถึงไม้เล็กๆ ด้วย

บรรยากาศและการบริการสไตล์ ‘อีสานกายะ’

เชฟหมูเล่าว่า เคาน์เตอร์บาร์คือคาแรกเตอร์ญี่ปุ่นที่ชัดเจนที่สุด สังคมญี่ปุ่นนิยมหันหน้าเข้าฝา นั่งคนเดียวโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับใคร แต่ที่จี่เกียยังคงความเป็นอีสานง่ายๆ ใช้ไม้อัดและวัสดุเข้าถึงง่ายแทนไม้จริง เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูดีแต่ไม่ห่างไกล

เรื่องการบริการ ทุกสาขามีแนวทางเดียวกัน ตั้งแต่คำต้อนรับที่ปรับจาก ‘อิรัชชัยมาเสะ’ เป็น ‘มาเด้อ กินเข่าครับ’ ไปจนถึงการอธิบายเมนูให้ลูกค้าเข้าใจ โดยเฉพาะสาขาอารีย์ที่ลูกค้าถามเยอะ เช่น หนังควายจี่หรือเพดานหมู เชฟบอกว่าแม้บางเมนูจะช็อกคนกรุงเทพฯ แต่ต้องการรักษาวัฒนธรรมอีสานแท้ๆ เพียงแต่จี่เกียปรับให้สะอาดและเข้าใจง่าย เหมาะกับทุกคน

ยกระดับและทิศทางของอาหารอีสาน

เชฟหมูมองว่า การยกระดับอาหารอีสานอาจเป็นคำที่ตีความยาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การปรับปรุงให้ถูกต้องและสากลมากขึ้น ปัจจุบันร้านอีสานกว่า 70% เป็นร้านของคนรุ่น 2 และ 3 ที่เรียนรู้จากต่างประเทศหรือเห็นความโมเดิร์นกลับมา ทำให้ร้านสะอาด ถูกสุขอนามัย และจัดฟอร์มอาหารให้สวยงาม ไม่ค่อยเห็นเขียงดำหรือหม้อเก่าที่เคยเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม

เชฟยังชี้ว่า อาหารอีสานไม่จำเป็นต้องเหนือชั้นกว่าของเดิม แต่ควรทำให้ถูกต้องและคนอื่นรับได้ ต่างจากการนำไปทำตลกหรือโชว์ในโซเชียลฯ ที่บิดเบือนวัฒนธรรม ในขณะที่อาหารญี่ปุ่นดิบกลับถูกยกย่อง อาหารอีสานเองก็พัฒนาแล้ว ทั้งความสะอาด การจัดฟอร์ม และรสชาติ ทำให้เข้าถึงง่ายและเป็นสากลมากขึ้นโดยไม่เสียเอกลักษณ์

การขยายสาขาและแนวทางการทำงาน

เชฟหมูเล่าว่า หลังจากประชุมแผนปีหน้า มีรายชื่อสาขาใหม่ในใจ ได้แก่ ศรีราชา อุบลฯ สงขลา และภูเก็ต สำหรับกรุงเทพฯ จะมีสาขาที่ 2 แต่ยังให้ความสำคัญกับการกระจายร้านไปตามจังหวัดหัวเมืองก่อน เพราะร้านทุกสาขาเป็นขนาดเล็ก รองรับลูกค้าแบบออร์แกนิก และไม่ยิงโฆษณา ทุกอย่างเกิดจากปากต่อปาก

นอกจากนี้เชฟยังทำ Chef’s Table ลงใต้ปีละครั้ง 15-20 วัน เพื่อนำอาหารอีสานไปสร้างความเข้าใจใหม่ให้ลูกค้า เช่น คนใต้บางคนกินบูดูแต่ไม่กินปลาร้า เชฟมองว่านี่คือกระบวนการเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ 

ส่วนระบบจองลูกค้า ปัจจุบันใช้เว็บไซต์ https://www.jikia.co.th/ ลดปัญหาการจองซ้ำและ Human Error โดยจ้างโปรแกรมเมอร์พัฒนาเฉพาะ ทำให้การจัดการราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

คำแนะนำสำหรับลูกค้าใหม่

เชฟหมูบอกว่า เปิดใจแล้วมาเลย การมาที่จี่เกียคือการได้ลองความเป็นอีสานเวอร์ชันถูกทวิสต์แบบญี่ปุ่น คุณจะไม่เจอภาพลักษณ์สกปรกหรือดูข้างทาง แต่จะได้ประสบการณ์ใหม่ ทั้งรส กลิ่น เสียง และงานบริการที่รวมกันเป็นจี่เกีย เมนูชื่อแปลกๆ หน้าตาน่ากิน ทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสอรรถรสเต็มรูปแบบ

สำหรับเมนูแนะนำต้องลองลิ้นโคขุนจี่และปลาดุกจี่เวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งเป็น Hero Product ของร้าน ร้านเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง รักษามาตรฐานให้ลูกค้ากลับมาซ้ำ คุณอาจไม่ได้กินอาหารอีสานที่อร่อยที่สุดในโลก แต่คุณจะได้ประสบการณ์ใหม่ที่แปลกและสนุก การมาที่นี่ไม่ต้องรักษาฟอร์ม ดื่มได้ กินได้ เหมือนอยู่บ้าน เพราะนี่คือคัลเจอร์แบบอีสาน-ญี่ปุ่น ที่ทำให้จี่เกียแตกต่าง

Fact Box

  • จี่เกีย สาขาอารีย์ อยู่ที่ ชั้น 2 Aree Garden
  • สำรองที่นั่งผ่าน www.jikia.co.th
Tags: , , , , , , , ,