หลังจากจบเรื่องวัวๆ ไป ขอวนกลับมาเรื่องงูๆ อีกหน ไม่ได้มีอะไรหรอกครับ แต่รู้สึกว่าเมื่อซีรีย์ที่เราชอบเดินทางมาถึงตอนจบ เลยอยากเขียนเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ถึงพวกเขาไว้เป็นที่ระลึกถึงสักหน่อยก็เท่านั้น 

ในฐานะติ่งน้องเขม (น้ำปิง-นภัสกร ปิงเมือง) กับพ่อครูภรัณ (เก่ง-หฤษฎ์ บัวย้อย) จากเรื่องเขมจิราต้องรอด ส่วนถ้าใครเผลอไผลกดเข้ามาอ่านด้วยหวังใจว่า อยากเข้ามาหาความรู้แบบจริงๆ ผมก็คงจะต้องบอกไว้ตั้งแต่ตรงนี้เลยว่า อาจจะยังนะ สำหรับเนื้อหาข้างล่าง แต่ที่สำคัญมีการสปอยล์เนื้อเรื่อง สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูก็ของให้ข้ามไปก่อน

วันนี้ผมจะยกเรื่องงูๆ มาเขียนถึงอีกคราว ด้วยเหตุผลว่า ก่อนซีรีย์จะจบ พ่อครูภรัณบอกว่า พ่อใหญ่ (ปู่) ของตนเคยเห็นว่า เขามีความสัมพันธ์กับพญานาค แต่เมื่อเรื่องดำเนินต่อไป ท่านเจ้าป่าได้มาพบพ่อครู ก่อนจะเปิดเผยว่า จริงๆ แล้ว ภรัณมีอดีตชาติเป็นพญานาค ชื่อ ‘กาฬภุชคินทร์’ ส่วนเหตุที่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นก็เพราะเคยออกตัวช่วยแบ่งเบาโทษของ ‘พญาภุชงค์นาคราช’ ให้รอดพ้นจากการไม่ได้เวียนว่ายตายเกิด 

ตอนดูมาถึงตรงนี้ส่วนตัวรู้สึกว้าว กับการหยิบชื่อทั้งสองนี้มาใช้โดยผู้เขียนนิยาย เพราะเป็นชื่อพญานาคที่ปรากฏในพุทธประวัติตอนสำคัญ และความเชื่อของคนในพื้นถิ่นอีสานเป็นอย่างมาก ซึ่งก็สอดรับกับการที่เรื่องราวเกือบทั้งหมดมีฉากหลังเป็นเมืองอุบลราชธานี หนึ่งในจังหวัดที่มีความเชื่อเรื่องพญานาคค่อนข้างเข้มข้น

แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ทั้ง 2 ชื่อนี้กลับไม่ปรากฏในอินเดีย รวมถึงในพุทธประวัติหลายนิกายก็ไม่พูดถึงเลยเสียด้วยซ้ำ

แปลกดีใช่ไหม เกริ่นกันมาพอแล้ว เข้าเรื่องเลยดีกว่า

กาฬภุชคินทร์

“…. ทรงพระอธิษฐานว่า ถ้าอาตมะจะได้ตรัสเป็นพระบรมโลกนาถ ขอให้ถาดนี้จงเลื่อนลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แม้ว่ามิได้สำเร็จประสงค์ ก็จงลอยล่องไปตามกระแสชลไหล แล้วก็ทรงลอยถาดลงในอุทกธารา

“ขณะนั้นอันว่าถาดทองเหมือนดังมีเจตนาจะแสดงซึ่งนิมิตแก่พระโพธิสัตว์ อันจะได้ตรัสรู้แก่พระสัพพัญญุตญาณ ก็บันดาลดุจสุวรรณวิหกหงส์ลงเล่นสินธุวารี เลื่อนลอยทวนกระแสชลนทีขึ้นไปไกลประมาณ 80 ศอก ถึงที่วนแห่งหนึ่งก็จมลงตรงเบื้องบนภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช กระทบกับถาดอันเป็นพุทธบริโภคแห่งพระสัพพัญญูทั้ง 3 ในอดีต…”

ข้อความข้างต้นผมคัดมาจากคัมภีร์ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงชำระและรวบรวมขึ้นจากความในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ก่อนจะแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2388 แต่จริงๆ แล้วเดิมคัมภีร์เล่มนี้น่าจะมีชื่อว่า ปฐมสมโพธิ แต่งขึ้นในลังกาแต่ศูนย์หายไปแล้ว ปัจจุบันหลักฐานเก่าสุดที่ทั้งยังหลงเหลือนั้นเขียนขึ้นในล้านนาเมื่อราว พ.ศ. 2013 

แต่เมื่อย้อนกลับไปอีก คัมภีร์ที่เก่าที่สุดซึ่งพูดถึงเหตุการณ์นี้ คือ มหาวัตสตุ (Mahavastu) เชื่อว่าเขียนขึ้นครั้งแรกโดยพระสงฆ์ในนิกายโลกุตรวาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพระวินัยปิฎกฝ่ายมหาสังฆีกะ (มหายานยุคแรก) เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 3-7 ถือว่ายังมีความใกล้เคียงกับเอกสารฝ่ายบาลีมาก โดยคัมภีร์มหาวัสตุ (อวโลกิตสูตรที่ 1) เล่าว่า 

“…หลังทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ทรงมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อหวังข้ามไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ค่ำนั้นเกิดนิมิตเป็นอัศจรรย์ เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์ทรงตั้งศรัทธาว่า หากสิ่งนี้เป็นรางอันประเสริฐขอให้ข้าตรัสรู้พระโพธิญาณ ณ ที่นั้นพญานาคนามกาฬะได้เห็นแล้วให้อุทานถึงเมื่ออดีตกาลอันพระผู้มีพระภาคพระองค์ผู้ล่วงลับ อันว่า พระกกุสันธะ พระโคนาคมนะ แลพระกัสสปะ ได้ทรงกระทำการเช่นเดียวกัน

“ทรงสดับด้วยทิพยโสต พระโพธิสัตว์ตรัสถามพระนาคตนนั้นว่า อันตัวเราจักตรัสรู้ในวันนี้หรือไม่ พญากาฬนาคราชผู้เป็นใหญ่กล่าวย้อนเหตุอัศจรรย์ว่า พระโพธิสัตว์จักตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐเป็นแน่…”

ฉากการลอยถาดหาย เปลี่ยนเป็นการสนทนาระหว่างพญานาคกับพระโพธิสัตว์แทน ผมเชื่อว่าตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะในคัมภีร์พุทธประวัติสำคัญอีกเล่มหนึ่งอย่าง ลลิตวิสตระ (Lalitavistara) (พุทธศตวรรษที่ 8-9) ฉากพญานาคกาฬะหายไปทั้งฉาก เหลือแต่พญามุจลินท์นาคราชขึ้นมาปรกพระพุทธเจ้าในระหว่างการเสวยวิมุติสุขสัปดาห์ที่ 5 แต่ในฝ่ายบาลีชื่อทั้งสองยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน 

หลักฐานศิลปกรรมดูเหมือนว่าจะสะท้อนภาพเดียวกันกับหลักฐานวรรณกรรม คือเราไม่พบภาพสลักเล่าเรื่องพระกาฬนาคราชในอินเดียเลย จะมีก็เพียงภาพพญามุจรินท์ โดยมีหลักฐานเก่าที่สุด คือภาพสลักบนเสาล้อมสถูป (เวทิกา) จากรัฐมหาราษฏร์ และสถูปภารหุต รัฐมัธยประเทศ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 3-4 ซึ่งมีจารึกกำกับไว้

ผมตั้งข้อสังเกตว่า ในศิลปะอินเดียโบราณ พุทธประวัติช่วงก่อนการตรัสรู้นั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไร โดยส่วนมากมักจะเน้นไปที่ตอนสำคัญ เช่น ประสูติ ออกมหาภิเนษกรม (ออกบวช) แล้วข้ามมายังฉากตรัสรู้เลย จึงทำให้รายละเอียดบางช่วงบางตอนหายไป 

แต่ดูเหมือนว่าศิลปะคันธาระจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปะที่ชอบทำภาพเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าตั้งแต่ก่อนตรัสรู้ โดยมีการทำภาพอย่างละเอียดแม้แต่ตอนพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นเพียงพระกุมาร ประทับราชรถเสด็จไปทรงพระอักษร แต่อย่างไรก็ดี ฉากพญานาคก็ยังมีอยู่จำกัดมากๆ เท่าที่ผมรู้ คือ มีแค่ตอนพญามุจลินท์ และปราบพญากาลิกะนาค

รองศาสตราจารย์ ดร.จิรัสสา คชาชีวะ เคยเสนอเอาไว้ว่า เพราะ ศิลปะคันภาระได้รับแรงบันดาลใจจากคัมภีร์ลลิตวิสตระมากกว่าเล่มอื่น ซึ่งเมื่อผมลองตรวจสอบข้อเสนอของอาจารย์ก็เห็นตรงกัน

ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเท่าไรที่เราจะไม่พบอดีตชาติของพ่อครูในอินเดีย เพราะเรื่องราวของพญานาคตนนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก และเมื่อพุทธศาสนามหายานเฟื่องฟู ภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติต่างๆ จึงใช้โครงสร้างตามคัมภีร์ฝ่ายสันสกฤต ทำให้ภาพเล่าเรื่องตามคติฝ่ายบาลีค่อยๆ เลือนหายจากอินเดียไป ส่วนในศิลปะไทย ฉากพระเจ้าลอยถาดก็สามารถเห็นได้ทั่วไปตามจิตรกรรมของวัดต่างๆ สืบมาจนถึงปัจจุบัน

ภาพสลักพญามุจลินท์บนเสาล้อมสถูป (เวทิกา) จากรัฐมหาราษฏร์ ศิลปะอินเดียโบราณ (ที่มา: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

และสิ่งที่อินเดียไม่มี

ตามที่ผมเล่ามาข้างต้น ‘พญานาคกาฬะ’ อาจจะเคยมีอยู่ในอินเดีย แต่เท่าที่เรามีหลักฐานในคัมภีร์ทางศาสนา ‘พญากาฬภุชคินทร์’ ที่ถูกเล่าว่าเป็นอดีตชาติของพ่อครูภรัณนั้นไม่มี

ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วบ้างว่า พญานาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีลักษณะพื้นฐานหลายประการต่างออกไปจากอินเดีย แต่เป็นการรวบเอารูปลักษณ์หรือระบบบางอย่างจากอินเดียมาผูกกับตำนานท้องถิ่นของตนเอง ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่า พญากาฬภุชคินทร์น่าจะเป็นผลผลิตของกระบวนการทำให้เป็นท้องถิ่นดังกล่าว โดยดึงพญากาฬนาคราชผู้เฝ้าถาดเสี่ยงทายของพระพุทธเจ้ามารวมกับพญานาคในลุ่มแม่น้ำโขง พร้อมให้คำอธิบายว่า เป็นพญานาคผู้หลับใหลอยู่ใต้บาดาลบ้าง เป็นหนึ่งในเจ้าแห่งนาคตระกูลบ้าง 

อีกสิ่งที่ผมค้นไปพบในอินเดียคือ ชื่อ ‘ภุชงค์นาคราช’ แต่เท่าที่เจอคือ คนไทยเราเชื่อว่า พญาภุชงค์นั้นเป็นพญานาคประจำตัวของพระศิวะ มีหน้าที่ในการบดบังรอยแผลที่คอของมหาเทพอันเกิดจากการดื่มพิษ ทว่าในอินเดียนาคตนนั้นคือพญาวาสุกรีต่างหาก สิ่งนี้ยิ่งสะท้อนเลยว่า ภุชงค์นาคราชน่าจะเป็นความเชื่อท้องถิ่น ที่เมื่อวัฒนธรรมอินเดียเดินทางมาถึงก็หยิบเอาตำนานอินเดียมาผูก เพื่อเพิ่มความลุ่มลึกและน่าเกรงขามให้กับพญางูใหญ่ประจำถิ่นเดิม 

ทั้งนี้การที่ผมกล่าวแบบนี้ ขอพูดตรงนี้เลยว่า ไม่ได้ต้องการวุ่นวายกับความเชื่อท้องถิ่นหรือส่วนบุคคลของใคร เพียงแต่มองว่าเป็นประเด็นน่าสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับความเก่งกาจของบรรพชนชาวอุษาคเนย์ในการอธิบาย หยิบยืม และปรับใช้วัฒนธรรมจากภายนอกให้เข้ากับความเข้าใจของตน ซึ่งผมมองว่าเป็นอัจฉริยภาพที่น่ายกย่องมาก เพราะกระบวนเหล่านี้ทำให้เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมอินเดียมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ศูนย์เสียตัวตนของตัวเองไป 

ความเชื่อเรื่องพญานาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมว่าเป็นอะไรที่สนุกมาก ไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนนวนิยายเขมจิราต้องรอดในส่วนนี้ แต่ผมว่าลงตัวมาก เพราะสะท้อนความเป็นท้องถิ่นที่พูดถึงไป ทำให้ตัวละครตัวหนึ่งฝั่งรากลงไปกับท้องถิ่นของตนได้เป็นอย่างดี จะดึงเอาพระพุทธเจ้าลงมาก็ดูอย่างไรๆ

ฉะนั้นการให้เป็นพญานาค สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่กึ่งกลางระหว่างฐานะเทพบรรพบุรุษ ดวงวิญญาณแห่งบรรพชนประจำถิ่น ผู้ออกมาปกป้องลูกหลานของตนเอง กับผู้ปกป้องศาสนาจากอินเดีย (พุทธศาสนา) สำหรับผม มันดีมากทีเดียว 

นั่นแหละครับ ขอจบงานเขียวเบียวๆ ไว้เท่านี้

จิตรกรรมพระเจ้าลอยถาด ศิลปะรัตนโกสินทร์ จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ที่มา: กรมศิลปากร)

ที่มาข้อมูล

จิรัสสา คชาชีวะ (2549). “ภาพพุทธประวัติสมัยคันธาระ” ใน ดำรงวิชาการ, 5(1): 76-99.

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส. (2530). ปฐมสมโพธิกถา. กรุงเทพฯ: กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.

Mahavastu, vol. 2 (1952). trans. by J. J. Jones, London: Luza & Company, LTD.

 

Tags: , , , , , ,