ครั้งแรกที่ผู้เขียนเห็นคำว่า ‘โอเซมปิก’ (Ozempic) ในโซเชียลมีเดีย คือเมื่อปี 2021 ตอนที่ อะเดล (Adele) ปล่อยอัลบั้ม 30 แม้จะยังไม่รู้ว่าศัพท์ใหม่ 3 พยางค์ในคอมเมนต์ดังกล่าวหมายความอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงสำคัญที่จดจำได้คือ 30 เป็นผลงานอัลบั้มแรกของอะเดลหลังจากน้ำหนักของเธอลดลงมากถึง 40 กิโลกรัม
ส่วนครั้งถัดๆ มานั้นเริ่มได้เห็นได้ยินบ่อยขึ้น ตอนที่นักร้องฮิปฮอป ลิซโซ (Lizzo), นักแสดง บาร์บี เฟอร์เรรา (Barbie Ferreira), แฟชั่นไอคอน เคลลี ออสบอร์น (Kelly Osbourne) และยูทูบเบอร์แนวม็อกบัง นิโคคาโด อะโวคาโด (Nikocado Avocado) ต่างก็ลดน้ำหนักลงมาฮวบฮาบตามๆ กัน
และล่าสุดคือตอนที่ เมแกน เทรนเนอร์ (Meghan Trainor) เจ้าของผลงานเพลงชาติธีม Body Positivity ในตำนานอย่าง All About That Bass ปล่อยทีเซอร์เพลงใหม่ ท่ามกลางเสียงชื่นชมร่างทองหลังคลอดลูกของเมแกนนั้น มีคำคำหนึ่งที่คงครองช่องคอมเมนต์เอาไว้ได้อยู่หมัด
‘Ozempic Face’
‘Ozempic Body’
‘Ozempic Era’
บทความนี้เขียนขึ้นมิใช่เพื่อสร้างทฤษฎีชี้นิ้วว่า ใครบ้างที่น้ำหนักลดลงจากการใช้โอเซมปิก การลดน้ำหนักของทุกคนที่กล่าวมานี้อาจไม่เกี่ยวข้องอะไรกับยาตัวนี้เลยก็เป็นได้ หรือต่อให้เกี่ยว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เรามีสิทธิจะไปตัดสินใคร
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ เหตุใดชื่อยี่ห้อของยารักษาเบาหวานตัวหนึ่งจึงกลายมาเป็นคำศัพท์ทางวัฒนธรรม และไม่ใช่เพียงชื่อที่รู้จักกันแค่ในแวดวงการแพทย์อีกต่อไป แต่ยังครองพื้นที่บน Facebook, Instagram, X, TikTok และพาดหัวของสำนักข่าวต่างประเทศ
เหตุใดแม้แต่รัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ยังหันมาจริงจังกับการจับมือกับบริษัทผู้ผลิตยาชนิดนี้ เพื่อลดราคาตัวยาให้เข้าถึงง่ายขึ้น
แล้วเหตุใดชาวเน็ตจึงเรียกขานวงการบันเทิงในทศวรรษ 2020 ว่า ยุคโอเซมปิก
‘เซมากลูไทด์’ ยารักษาเบาหวานดาวเด่นแห่งศตวรรษที่ 21
อันที่จริง ชื่อที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในหน้าข่าวอย่างโอเซมปิกนั้นไม่ใช่ชื่อทางการแพทย์ของยาตัวนี้ แต่เป็นชื่อยี่ห้อ ทำนองเดียวกับที่เราเรียกยาแก้ปวดประจำเดือนกลุ่มมีเฟนามิกแอซิด (Mefenamic Acid) ติดปากว่า ‘พอนสแตน’ และเรียกยาแดงกลุ่มโพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-Iodine) ติดปากว่า ‘เบตาดีน’ ส่วนชื่อจริงๆ ของยารักษาเบาหวานชนิดนี้คือ เซมากลูไทด์ (Semaglutide) ต่างหาก
โลกเราไม่ได้เพิ่งคิดค้นเซมากลูไทด์สำเร็จแต่อย่างใด นี่เป็นยาที่อายุรแพทย์ในหลายประเทศเริ่มรู้จักและจ่ายให้ผู้ป่วยกันมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2000 เพื่อรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะ แต่เหตุที่มันเพิ่งกลายมาเป็นยาดาวเด่นแห่งยุคได้นั้น ก็เพราะเริ่มมีการนำยามาใช้เพื่อลดน้ำหนักโดยตรง ซึ่งเบี่ยงเบนออกไปจากจุดประสงค์เดิมคือการรักษาโรคอยู่พอสมควร
ด้วยเหตุนี้ ต่อมาในปี 2021 โนโวนอร์ดิสก์ (Novo Nordisk) บริษัทแม่ผู้พัฒนาโอเซมปิกจึงจดทะเบียนยาตัวใหม่ โดยใช้สารออกฤทธิ์หลักเป็นเซกลูมาไทด์เช่นเดิม ภายใต้ชื่อทางการค้าใหม่คือ เวโกวี (Wegovy) คราวนี้ระบุชัดเจนว่า ใช้ลดน้ำหนักโดยเฉพาะ วงเล็บว่า สำหรับผู้ที่มีค่า BMI เกิน 27 (มีภาวะเสี่ยง) หรือเกิน 30 (เข้าข่ายโรคอ้วน) เท่านั้น
กลไกการทำงานของทั้งโอเซมปิกและเวโกวีจะออกฤทธิ์ให้ร่างกายรู้สึก ‘อิ่มเร็วขึ้น’ และ ‘หิวช้าลง’ ผ่านการชะลอระบบย่อยอาหารและกระตุ้นอินซูลินอย่างอ่อนๆ เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลรวมให้ผู้ใช้กินอาหารปริมาณและความถี่น้อยลงได้โดยไม่รู้สึกโหย
ใครที่เกิดช่วงก่อนเข้าศตวรรษที่ 21 อาจรู้สึกว่า สรรพคุณที่ฟังดูดีเกินจริงเช่นนี้ฟังดูคุ้นๆ ชอบกล คล้ายกับยาลดความอ้วนสุดอันตรายที่แพทย์ นักโภชนาการ และเทรนเนอร์ ออกปากห้ามไม่ให้หลงผิดไปใช้ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นยาที่ ‘อันตราย ทำให้ใจสั่น อารมณ์ฉุนเฉียว นอนไม่หลับ ความดันสูง ฮอร์โมนแปรปรวน’
ทว่าโอเซมปิกนั้น (หมายความรวมถึงเวโกวีด้วย แต่หลังจากนี้จะเรียกรวมกันด้วยชื่อที่คนคุ้นเคยกว่าคือ โอเซมปิก) ได้รับการรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ว่า ปลอดภัยกว่า เพราะไม่ได้มีฤทธิ์กดประสาท เร่งเผาผลาญ หรือขับไขมันออกทางลำไส้ ต่างจากกลุ่มเฟนเทอร์มีน (Phentermine) ที่นิยมในยุค 1990s และไซบูทรามีน (Sibutramine) ที่นิยมในยุค 2000s ซึ่งปัจจุบันถูกเพิกถอนออกไปทั้งคู่ เพราะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดสมอง
ภาพจำทางวัฒนธรรมที่โอเซมปิกสร้างขึ้นจึงต่างจากยาลดความอ้วนยุคก่อนๆ โดยสิ้นเชิง ใบหน้าเรียวตอบ โหนกแก้มสูง บวกกับเบ้าตาลึกสไตล์ Ozempic Face ไม่ใช่แค่กลายเป็นมีมเท่านั้น แต่ยังคืบคลานเข้ามามีบทบาทบางประการในเทรนด์ความงามด้วย เพราะนี่คือใบหน้าสไตล์ที่โด่งดังมาจากภาพถ่ายโชว์ ‘ร่างทอง’ หลังน้ำหนักลดของเหล่าดารานั่นเอง
แม้คนส่วนหนึ่งจะใช้คำว่า Ozempic Face เพื่อล้อเลียนจิกกัดคนดังและชนชั้นนำ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีคนอีกกลุ่มที่เริ่มรู้สึกปรารถนาอยากลองใช้ยาวิเศษตัวนี้อย่างแรงกล้า
ตลาด ‘ความผอม’ มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
วิธีการใช้ยาโอเซมปิกเพื่อลดน้ำหนัก ไม่ต่างจากวิธีการใช้ยาฉีดเบาหวานแบบปากกาทั่วไปมากนัก คือใช้ฉีดเข้าใต้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ผ่านทางหน้าท้อง ต้นแขน หรือต้นขา ความถี่สัปดาห์ละครั้ง
แม้ฟังดูไม่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่เคยป่วยเป็นเบาหวาน แต่เอาเข้าจริงอาจกล่าวได้ว่า โอเซมปิกเป็นเพียงคลื่นลูกใหม่ในอุตสาหกรรมเดิม นั่นคืออุตสาหกรรมความผอมที่เราหลายคนต่างรู้จักดี เพียงแต่ขยับจากวิธีการที่ความเสี่ยงด้านสุขภาพสูงกว่า อย่างการตัดกระเพาะ (Bariatric Surgery) หรือการใส่บอลลูนในกระเพาะ (Gastric Balloon) การลดน้ำหนักจึงไม่เคยเป็นเพียงเรื่องของความพยายามส่วนบุคคลมาสักพักใหญ่แล้ว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันเหนียวแน่นกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากร
นอกจากโนโวนอร์ดิสก์ผู้ผลิตโอเซมปิก อีกหนึ่งบริษัทที่ก้าวเข้ามาร่วมยื้อแย่งส่วนแบ่งตลาดคือ อีไลลิลลี (Eli Lilly) ด้วยการพัฒนาตัวยาเทอร์เซปาไทด์ (Tirzepatide) จดทะเบียนเป็นยารักษาเบาหวานในชื่อ มุนจาโร (Mounjaro) และยาลดน้ำหนักในชื่อ เซปบาวด์ (Zepbound)
แม้โนโวนอร์ดิสก์จะออกผลิตภัณฑ์มาก่อนจนติดตลาดกว่า แต่จากผลวิจัยที่ได้รับการนำเสนอในการประชุมยุโรปว่าด้วยโรคอ้วน (European Congress on Obesity) ดูเหมือนยาของอีไลลิลลีจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองลดน้ำหนักได้มากกว่า การแข่งขันพัฒนายาเพื่อลดผลข้างเคียงและแข่งขันกันด้านราคาจึงเป็นไปอย่างดุเดือด
จากพลวัตตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้อุตสาหกรรมยาลดน้ำหนักกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภายในเวลาเพียง 5 ปีหลังจากเปิดตัว เซมากลูไทด์และเทอร์เซปาไทด์กลายเป็น Blockbuster Drugs ที่คาดการณ์กันว่า จะสร้างรายได้รวมกันทะลุแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในทศวรรษนี้
แต่ความน่ากลัวก็คือ ในรายงาน Misrepresentation of Semaglutide in Social Media (2025) นักวิจัยพบว่า ในโซเชียลมีเดีย เกินครึ่งของโพสต์ที่ติดแฮชแท็ก #Ozempic หรือ #Wegovy เน้นกล่าวถึงรูปลักษณ์มากกว่าการรักษาโรค แทบไม่มีใครพูดถึงโรคเบาหวานหรือกลไกของยาตัวนี้เลย มีเพียงภาพก่อน-หลังใช้ น้ำเสียงชื่นชม และคำโฆษณาอย่าง ‘หน้าเรียวลงแบบไม่ต้องศัลย์’ หรือ ‘โอเซมปิกเปลี่ยนชีวิตฉัน’ จากปากอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งมักพูดถึงประสบการณ์การใช้ยาในเชิงแฟชั่น มากกว่าการใช้ยาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษา
ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงอีกด้านเกี่ยวกับยากลุ่มนี้ยังถูกฝังกลบ ความจริงที่ว่าเซมากลูไทด์ไม่ใช่ยาเสริมความงาม แต่เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบฮอร์โมนและการย่อยอาหารโดยตรง ผลกระทบมีตั้งแต่อาการคลื่นไส้ อาเจียน ไปจนถึงกล้ามเนื้อฝ่อลีบ หรือภาวะซึมเศร้า
บทความทางการแพทย์ส่วนใหญ่ชี้ชัดว่า การใช้ยาโอเซมปิกโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางสุขภาพไม่เพียงเสี่ยงต่อร่างกาย แต่ยังซ้ำเติมภาวะขาดแคลนยาของผู้ป่วยเบาหวานจริงๆ ที่จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่แง่มุมเหล่านี้กลับไม่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงสักเท่าไร
โอเซมปิกอาจไม่ใช่สารกระตุ้นอันตรายแบบยาลดความอ้วนยุคเก่าก็จริง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยาวิเศษมหัศจรรย์เช่นกัน เพราะต่อให้ไร้ผลข้างเคียงทางกาย แต่มันเข้ามาเปลี่ยนมุมมองของคนยุคใหม่ต่อเรื่องสุขภาพและความงาม ทำให้เส้นแบ่งระหว่างการรักษาโรคกับการเสริมความงามเริ่มพร่าเลือน
อ้างอิง
https://link.springer.com/article/10.1007/s00210-025-04403-5
Tags: Ozempic, Semaglutide, ยาลดน้ำหนัก, ยาลดความอ้วน, ยารักษาเบาหวาน, โอเซมปิก, Hollywood, เซมากลูไทด์, ฮอลลีวูด, Wisdom, Body Image




