ปฏิเสธไม่ได้ว่าในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 นั้น ฝ่าย ‘อนุรักษนิยม’ พ่ายอย่างหมดรูป เพราะพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลนั้นรวมกันก็ได้เสียง สส.เกิน 280 เสียง และมีคะแนนระบบบัญชีรายชื่อรวมกันกว่า 25 ล้านเสียง
เป็นการปิดฉากการเมืองแบบ 3 ป.ที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2557 ส่งให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องออกจากการเมืองถาวร ขณะที่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ถึงยังอยู่ แต่สภาพก็ร่อแร่เต็มที
ภาพความพ่ายแพ้ของฝ่ายอนุรักษนิยม สะท้อนความล้มเหลวของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ต้องการหยุดเวลาและทดสอบระบบ ว่าการเมืองไทย ระบบราชการจะไปได้หรือไม่ หากจะใช้บริการเทคโนแครตบริหารประเทศ ให้ทหารเป็นผู้นำ โดยนักการเมืองเป็นเพียงตัวประกอบ
ผลปรากฏว่าการเมืองนิ่งจริง แต่เศรษฐกิจพังพินาศ การเลือกดันทุรังเดินต่อทั้งที่อนาคตมืดมน ยังผลให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง 2566 เพราะคนเบื่อหน่ายพลเอกประยุทธ์เต็มที เลยเลือก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เป็นด้านตรงข้ามพลเอกประยุทธ์ทุกทาง
กระนั้นเอง ฝ่ายอนุรักษนิยมก็ยังมีความเข้มแข็งในโครงสร้างการเมืองแบบไทยๆ รัฐธรรมนูญยังเอื้อให้พวกเขามีที่ทางควบคุมรัฐบาลที่ไม่ใช่พวกตัวเองผ่านองค์กรอิสระ และอำนาจฝ่ายบริหารก็เลือกจะไม่แตะประเด็นที่แหลมคม จนกระทบโครงสร้างอนุรักษนิยม ขณะที่นักการเมือง องคาพยพของอำนาจเดิมก็ยังคงนั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีเหมือนเดิม
หลังเกิดเหตุคลิปเสียงอังเคิล เกิดเหตุปะทะไทย-กัมพูชา และพรรคเพื่อไทย หลุดจากอำนาจรัฐ คะแนนฝ่ายอนุรักษนิยมดูจะสูงขึ้น และเพิ่มขึ้นไปอีกหลังพรรคประชาชนโหวตให้ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี 4 เดือน ขณะที่พรรคเพื่อไทยเข้าสู่ช่วงเวลาอัสดง พรรคประชาชนอยู่ในห้วงเวลาสงบอยู่ในที่ตั้ง คำถามก็คือที่ทางของฝ่ายอนุรักษนิยมในการเลือกตั้งรอบหน้าจะอยู่ตรงไหน เสียงของฝ่ายอนุรักษนิยมจะ ‘เท’ ไปที่พรรคการเมืองใด และส่งให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะต้องยอมรับว่าแม้ตลาดนี้จะเล็กกว่าอีกฟาก แต่ก็เป็นตลาดที่ทุกคนอยากแชร์ ต้องไม่ลืมว่าในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติได้คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์มากเป็นลำดับที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง 4.7 ล้านเสียง ขณะที่ สส.เขตก็ได้มากกว่า 23 คน ด้วยกระแส ‘ลุงตู่’
ฉะนั้นตลาดนี้ยังหอมหวาน ในกลุ่มที่ไม่เลือกส้ม ไม่เอาแดง และเมื่อ 3 ป.ไม่ได้มีพลังเหมือนเดิม พรรครวมไทยสร้างชาติแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เหลือชิ้นดี และแน่นอนว่า ‘ผู้นำ’ ที่แข็งแรงที่สุด น่าจะอยู่ที่ 2 คน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เริ่มต้นจากอนุทิน วันนี้ภาษีดีกว่า เป็นนายกฯ กุมอำนาจรัฐเต็มตัว อนุทินมี สส.ที่ไหลมากลุ่มใหญ่ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ อย่างกลุ่ม สันติ พร้อมพัฒน์, จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งกลุ่ม สุชาติ ชมกลิ่น, ธนกร วังบุญคงชนะ และเอกนัฏ พร้อมพันธุ์, จากพรรคเพื่อไทยนับสิบคน เป็นกลุ่มของศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ และกลุ่ม สส.อีสานที่ไม่แสดงตัวอีกหลายคน และล่าสุด จากพรรคประชาธิปัตย์ จากกลุ่ม โกหนอ-สมชาย โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง
แต่ภูมิใจไทยก็มีข้อด้อย ส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ภูมิใจไทยไม่เคยเป็นพรรคใหญ่ระดับชาติ สะท้อนจากคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อหนก่อน ได้คะแนนเพียง 1.1 ล้านคะแนน ได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อเพียง 3 คน ภาพของพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นได้เพียง ‘ศูนย์รวมบ้านใหญ่’ ที่รออยู่กับฝั่งผู้ชนะ ใช้คะแนนแบบบ้านใหญ่ต่อรองเท่านั้น
นอกจากนี้ภาพของอนุทินและภาพของ เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ ก็เป็นภาพที่ไม่ได้ใสสะอาดสำหรับฝั่งอนุรักษนิยม เรื่อง ‘ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ’ ยังติดอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ขณะที่ภาพการฮั้วการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ก็เป็นแผลสดใหม่ ซึ่งหากแผลถูกเปิดมากขึ้น ย่อมอาจส่งผลกระทบต่อการมองหาคนดี คนบริสุทธิ์ผุดผ่องของฝ่ายนี้เช่นกัน
ทั้งหมดยังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ‘ผลงานรัฐบาล’ ข้อสำคัญที่ต้องยอมรับคือ อนุทินแบกความคาดหวังจากฝั่งที่ไปไกลจากฝั่งอนุรักษนิยม ก็คือฝั่ง ‘คลั่งชาติ’ ว่าต้องเด็ดขาดกับกัมพูชา ต้องขับไล่กัมพูชาให้พ้นจากประเทศไทย ต้องเดินหน้าเลิก MOU43-MOU44 แต่ถึงวันนี้ และนับจากนี้ไปก็ชัดเจนว่าพวกเขาจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องใหญ่อย่างการจัดการ ‘สแกมเมอร์’ ซึ่งยิ่งอยู่นาน คะแนนพวกเขาจะยิ่งหดหายไปเรื่อยๆ มากกว่าจะตุนคะแนนได้เพิ่ม
หันมาอีกด้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วคงไม่มีใครคิดว่า อภิสิทธิ์จะอยู่ในจุดที่ย่ำแย่กว่าอนุทิน
พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำเรื่อยมานับจากการเลือกตั้งปี 2562 ที่ฟากอนุรักษนิยมมีทางเลือกใหม่อย่างพลเอกประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐ อภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้า และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ตัดสินใจนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล นับจากนั้นพรรคก็เข้าสู่จุดที่กู่ไม่กลับ
เมื่อ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ตัดสินใจลาออกจากหัวหน้า ทิ้งความถดถอยไว้ข้างหลัง ก็ได้เวลาอภิสิทธิ์กลับมารวมทีมใหม่อีกครั้ง รอบนี้มีทั้ง กรณ์ จาติกวณิช, สาทิตย์ วงศ์หนองเตย และสกลธี ภัททิยกุล ขาดเพียง ‘ลุงกำนัน’ สุเทพ เทือกสุบรรณ ท่ามกลางคำถามดังๆ ว่า ถ้าไม่มีเทพเทือกแล้ว ‘ใครจ่าย’
อันที่จริง หากวิเคราะห์ดีๆ อภิสิทธิ์น่าจะตั้งใจ ‘ลบภาพ’ ในอดีต ที่ครั้งเป็นนายกฯ อยู่ภายใต้อิทธิพลของทั้งทหาร ทั้งสุเทพ จนกลายเป็นอภิสิทธิ์ที่ทั้ง ‘มือเปื้อนเลือด’ และเป็นอภิสิทธิ์ที่นำบอยคอตต์เลือกตั้ง 2 รอบ จนนำมาสู่การรัฐประหารโดย คสช.
แน่นอนว่าอภิสิทธิ์เห็นความสำเร็จของพรรคก้าวไกล ที่หลานชาย พริษฐ์ วัชรสินธุ สังกัดอยู่ ที่ได้คะแนนเสียงเป็นกอบเป็นกำ โดยแทบไม่ต้องใช้เงินสักบาท ก็ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งมาเป็นลำดับที่ 1 ขอเพียงมีอุดมการณ์ และมี ‘กระแส’ เขาเชื่อว่าประชาธิปัตย์จะกลับมาได้อีกครั้ง ต่างจากพรรคคู่แข่งอีก 1-2 พรรคที่ระดมเงินกันหลายพันล้านบาท
แต่ความยากก็คือ หากสนามเลือกตั้งวัดกันที่ สส.เขต ต้องยอมรับว่า สส.เขตของประชาธิปัตย์ที่เหลืออยู่นั้นเหลือน้อยนิด และสนามภาคใต้ที่เคยเป็นบ้านหลัก วันนี้แตกกระจุยไปเรียบร้อย หากสนาม ‘ภาคใต้’ ที่เคยเลือกประชาธิปัตย์เพราะไม่เอาทักษิณ วันนี้ภาคใต้มีให้เลือกเพิ่มอีก 3-4 พรรค และแต่ละพรรค ล้วนแต่รวมบ้านใหญ่ที่เคยมีเชื้อสายประชาธิปัตย์เดิมทั้งสิ้น
ขณะที่สนามกรุงเทพฯ อภิสิทธิ์ยังต้องพาประชาธิปัตย์ฝ่ากำแพงส้ม และสนามอื่นๆ สิ่งที่ต้องสู้ก่อนถึงการเลือกตั้งคือ การ ‘รั้ง’ สส.เดิม รั้งสมาชิกเดิมไว้ให้ยังอยู่กับพรรคสีฟ้าให้ได้มากที่สุด
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมพรรคเฉดเดียวกันพรรคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรมของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า, พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ (ที่ยังอยู่ แต่กระแสหดไปกว่าเดิมมาก) พรรคใหม่เอี่ยมอย่าง พรรคเศรษฐกิจของ พลเอก รังษี กิติญาณทรัพย์ รวมถึงพรรคไทยก้าวใหม่ ของ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ที่เจาะตลาดกลุ่มเดียวกัน แต่บรรดา ‘หัว’ ไม่แข็งเท่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย
ความน่าสนใจก็คือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกหลังการรัฐประหาร ที่ ‘3 ป.’ ไม่ได้มีบทบาทแล้ว ขณะที่ความเกลียดกลัวทักษิณก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการลงคะแนนเสียงเช่นกัน
ในสนามเลือกตั้ง 2569 ที่กำลังจะมาถึง สิ่งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องเผชิญไม่ใช่เพียงศึกกับฝ่ายเสรีนิยม แต่คือการแย่งคะแนนนิยมกันเอง ระหว่าง ‘อนุทิน’ ที่กุมอำนาจรัฐ มีเครือข่ายทุนและบ้านใหญ่เป็นเครื่องมือ กับ ‘อภิสิทธิ์’ ที่ต้องการรื้อฟื้นศรัทธาในความเป็น ‘พรรคคนดี’ อีกครั้ง
หากไม่สามารถรวมเสียงได้ที่คนเดียวหรือพรรคเดียว แน่นอนว่าขั้วอนุรักษนิยมจะเผชิญปัญหาเดิมคือ อยากมีอำนาจ อยากรักษาอำนาจ แต่ไม่ชนะเลือกตั้ง ไม่มีคนเลือก
และไม่ว่าผู้กำกับการแสดงแห่ง ‘รัฐพันลึก’ จะเป็นใคร ก็พึงตระหนักไว้ว่า การเมืองไทยไม่น่าจะวนซ้ำวงจรอุบาทว์เดิมอีกต่อไปแล้ว
Tags: อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, ประชาธิปัตย์, อนุทิน ชาญวีรกูล, อนุรักษนิยม, ภูมิใจไทย, 3 ป.




