พระเครื่อง วัตถุมงคล และของขลัง ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งแทนความเชื่อทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น ‘สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม’ ที่ซื้อขายกันในตลาดมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ในยุคออนไลน์มีช่องทางหรือเพจ ‘เช่าพระ’ นับหมื่นเพจใน Facebook, Line OA, TikTok Shop หรือแพลตฟอร์มที่กลายเป็นตลาดกลางของศรัทธา พระบางองค์ราคาแตะหลักแสน หลักล้าน มีการประมูลออนไลน์แบบเรียลไทม์ พร้อมใบรับรองและการันตีแท้จากเซียนพระ แต่อีกด้านหนึ่ง หากพิจารณาตามธรรมชาติปกติของธุรกรรมการเช่าพระเครื่อง แน่นอนว่าตลาดนี้ ‘อยู่ในเงามืดของระบบภาษีไทย’ เพราะรายได้จำนวนมากจากการซื้อขายวัตถุมงคล ไม่ได้ถูกบันทึกในฐานข้อมูลภาษีเลยแม้แต่น้อย

ตามกฎหมายไทย ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ว่าด้วยบทนิยามต่างๆ ของภาษีเงินได้ ‘เงินได้พึงประเมิน’ หมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่าง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ ด้วย และคำว่า ‘ขาย’ หมายความรวมถึง ขายฝาก แลกเปลี่ยน ให้ โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าด้วยวิธีใด และไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ แต่ไม่รวมถึงขาย แลกเปลี่ยน ให้ หรือโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และราคาหรือมูลค่าตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา จากนิยามของกฎหมาย การ ‘ให้เช่าพระ’ ก็ย่อมเป็นการขายนั่นเอง เพียงแต่มีการใช้คำว่า ‘เช่า’ ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของสังคม

เมื่อศรัทธากลายเป็นรายได้: ภาษีควรเข้าอย่างไร

ตามประมวลรัษฎากร รายได้จากการขายพระเครื่องถือเป็น ‘เงินได้พึงประเมิน’ ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร หมวดเดียวกับการค้าขายทั่วไป รวมถึงถือเป็นการ ‘ขาย’ ตามนิยามของภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย แต่ในทางปฏิบัติ การตีความ ‘ขายพระ’ กลับไม่ชัดเจน ซึ่งปัญหาการพิจารณาภาษีเงินได้ในธุรกรรมการเช่าพระเครื่องนี้ กรมสรรพากรเคยตอบข้อหารือว่า “หากเป็นการให้เช่าวัตถุมงคลที่มิได้กระทำเพื่อหาผลกำไรทางธุรกิจ หรือมิได้เป็นการค้าขายโดยสม่ำเสมอ ไม่อยู่ในบังคับภาษีมูลค่าเพิ่ม” (ที่มา: กรมสรรพากร หนังสือตอบข้อหารือเลขที่ กค.0706/3077) กล่าวคือ ถ้าเช่าพระด้วยเจตนา ‘ศรัทธา’ มากกว่า ‘พาณิชย์’ อาจไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่คำถามคือ ในตลาดพระเครื่อง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่มีคนเช่าพระอย่างน้อย 50-100 องค์ต่อวัน มีการไลฟ์ขายเป็นกิจจะลักษณะ จะถือเป็น ‘ศรัทธา’ หรือ ‘พาณิชย์’

เส้นบางระหว่าง ‘ศรัทธา’ กับ ‘พาณิชย์’

ในแง่วัฒนธรรม ‘เช่าพระ’ ถูกทำให้ดูแตกต่างจาก ‘ซื้อขาย’ เพราะคำว่า ‘เช่าพระ’ มีนัยทางบุญ ไม่ใช่การค้ากำไร แต่ในมิติของภาษี กิจกรรมทั้งสองไม่ต่างกันแม้แต่น้อย เนื่องจากธุรกรรมมุ่งการโอนทรัพย์สินแลกกับมูลค่าหรือราคาทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิชาการบางส่วนเรียกว่าธุรกิจพระเครื่อง คือ พื้นที่สีเทาที่รัฐไม่กล้าแตะ เพราะอาจเกี่ยวพันกับศรัทธา วัด พระ วัฒนธรรม หรือผู้มีอิทธิพล งานวิจัยของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ปี 2559 พบว่า รายได้จากการให้เช่าพระเครื่องจำนวนมากไม่ได้ถูกยื่นภาษี และไม่มีระบบติดตามตรวจสอบ เพราะรัฐยังไม่กำหนดแนวทางที่ชัดเจนว่า พระเครื่องเป็น ‘สินค้าทางศาสนา’ หรือ ‘ทรัพย์สินเพื่อการค้า’

จุดอ่อนของระบบภาษีไทยในโลกแห่งศรัทธา

หากพิจารณาเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็อาจไม่พบปัญหาทางบทบัญญัติของกฎหมายมากนักว่า รายได้ที่เกิดจากการให้เช่าพระเครื่อง (ขาย) จะต้องนำมาเสียภาษีหรือไม่ เพราะกฎหมายมีคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม มีปัญหาเรื่องการบังคับจัดเก็บว่า เมื่อกฎหมายไปถึง จะสามารถบังคับจัดเก็บได้จริงหรือไม่ และเมื่อพิจารณาระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จะพบปัญหาในทุกมิติของการจัดเก็บภาษี ตั้งแต่การนิยามทรัพย์ที่เป็นวัตถุมงคล การพิจารณามูลค่าที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของพระเครื่อง ซึ่งจะนำไปสู่การได้มาซึ่งมูลค่าของฐานภาษี หรือแม้กระทั่งปัญหาการจดทะเบียนผู้ขายภายใต้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้เขียนจึงสรุปปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของธุรกรรมการเช่าพระเครื่องไว้ดังนี้

1. ไม่มีนิยามทางกฎหมายที่ชัดเจน ปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติใดในประมวลรัษฎากรที่กล่าวถึง ‘วัตถุมงคล’ โดยเฉพาะ ทำให้ต้องตีความตามหลักทั่วไป ซึ่งเสี่ยงต่อการบังคับใช้ไม่เท่าเทียม พระเกจิที่สร้างพระเพื่อหาทุนวัดอาจถูกยกเว้น ขณะที่พ่อค้าในตลาดนัดหรือแพลตฟอร์มออนไลน์กลับถูกมองว่า เป็นผู้ค้าปกติ หรือหากพิจารณาประกอบกับหนังสือตอบข้อหารือเลขที่ กค.0706/3077 ที่ว่า หากเป็นการให้เช่าวัตถุมงคลที่มิได้กระทำเพื่อหาผลกำไรทางธุรกิจ หรือมิได้เป็นการค้าขายโดยสม่ำเสมอ ไม่อยู่ในบังคับภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีขอบเขตการพิจารณาอย่างไร

2. ระบบตรวจสอบยังอิง ‘ความสมัครใจ’ กรมสรรพากรไม่มีฐานข้อมูลเฉพาะตลาดพระ ไม่มีระบบ e-TAX สำหรับผู้ค้าในแพลตฟอร์มศรัทธา รายได้ส่วนใหญ่ถูกชำระเป็นเงินสด หรือโอนผ่านพร้อมเพย์ส่วนตัว ไม่มีใบกำกับ ไม่มีบันทึกบัญชีรัฐจึงไม่รู้แม้กระทั่งว่าผู้ขายเหล่านี้มีรายได้ต่อปีเท่าไร

3. ความกลัวการกระทบต่อศาสนา ทุกครั้งที่มีการเสนอให้จัดเก็บภาษีในกิจกรรมศาสนา เช่น การสร้างวัตถุมงคล รัฐมักเลือก ‘เลี่ยง’ มากกว่าจัดการ เพราะกลัวกระแสต่อต้านว่าลบหลู่ศรัทธา ผลคือเกิด ‘เขตปลอดภาษีทางวัฒนธรรม’ ที่เปิดช่องให้ธุรกิจในนามศาสนาเติบโตโดยไม่มีการควบคุม

ตลาดพระเครื่องไทยเติบโตคู่กับความเชื่อของผู้คน แต่ก็เติบโตนอกสายตากฎหมายภาษีอากร เมื่อศรัทธากลายเป็นรายได้ กติกาที่แยกระหว่าง ‘บุญ’ กับ ‘ธุรกิจ’ จึงไม่พออีกต่อไป สิ่งที่รัฐต้องทำคือ การทำให้ศรัทธาและพาณิชย์อยู่ร่วมกันได้อย่างโปร่งใส ไม่ให้ตลาดพระซึ่งใหญ่กว่าที่คิด กลายเป็น ‘เขตปลอดภาษี’ ถาวรของประเทศ

 

แหล่งอ้างอิง

  1. กรมสรรพากร. หนังสือ กค. 0706/3077 เรื่อง ให้เช่าวัตถุมงคลเพื่อกุศลได้รับยกเว้น VAT.

  2. กรมสรรพากร. ประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และ 40 (8).

  3. มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (2559). รายงานวิจัยเรื่องการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมพระเครื่องในประเทศไทย. TDC.

  4. ประชาชาติธุรกิจ (2566). “ตลาดพระเครื่องออนไลน์ มูลค่าหมื่นล้านที่รัฐยังจัดเก็บภาษีไม่ถึง.” prachachat.net.

  5. กรุงเทพธุรกิจ (2567). “ตลาดพระเครื่องไทย สินทรัพย์แห่งศรัทธา กับช่องว่างทางภาษี.” bangkokbiznews.com

Tags: , , , , , , ,