‘ไลฟ์วันเดียว ปิดยอดขาย 120 ล้านบาท’ ตัวเลขนี้อาจฟังดูเหมือนแคมเปญลดราคาจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ แต่ไม่ใช่เลย เพราะเบื้องหลังคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากคนคนเดียว ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ หรือรัชนก สุวรรณเกตุ นักร้อง นักแสดง และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามเกือบ 20 ล้านคน
จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนเป็นการไลฟ์พูดคุยส่วนตัว ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต เจนนี่กลับพลิกสถานการณ์ให้กลายเป็นเทศกาลขายของออนไลน์ ที่สร้างรายได้ระดับร้อยล้านภายในไม่กี่วัน
ด้วยการใช้ TikTok Live เป็นเวทีหลัก พร้อมกลยุทธ์จ่ายค่าจ้าง 1,000 ออร์เดอร์ ต่อ 5 หมื่นบาท เพื่อดึงเหล่าดารา อินฟลูเอนเซอร์ และนักธุรกิจมาร่วมไลฟ์ ซึ่งงานนี้มีทั้ง กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ, ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ, ต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์, เชน-ธนาตรัยฉัตร ลิมปยารยะ, แจ็ค-เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์, ป๋อง-กพล ทองพลับ และคนอื่นๆ เข้ามาร่วมไลฟ์สร้างกระแส
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงการขายสินค้า แต่คือการสร้างโมเมนต์ทางการตลาดที่เปลี่ยนแพลตฟอร์ม TikTok ให้กลายเป็นเวทีอีคอมเมิร์ซระดับประเทศ และทำให้ ‘เทศกาลเจนนี่’ กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของยุค Creator Commerce ที่พลังของบุคคลสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง
-
จากความจริงใจสู่ Branded Content
เจนนี่เริ่มไลฟ์ในช่วงที่เผชิญเหตุการณ์ส่วนตัว ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นช่วงที่คนมักหลบสื่อ แต่เธอกลับใช้พื้นที่ออนไลน์เป็นเวทีเปิดใจ ทำให้เกิดความเห็นใจและการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ของผู้ชมจำนวนมาก
เมื่อผู้คนรู้สึกเชื่อมโยงและเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว การเปลี่ยนจาก ‘ผู้ชม’ ไปเป็น ‘ผู้ซื้อ’ จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตรงนี้คือหัวใจของ Emotional Marketing ที่ใช้ความจริงใจและความเป็นมนุษย์เป็นต้นทุนของแบรนด์
-
การใช้ Social Momentum ขยายเป็นเทศกาลขายของ
จากการไลฟ์พูดคุยส่วนตัวสู่การขายจริงจัง จนเกิดเทศกาลเจนนี่ภายในเวลาไม่นาน นี่คือการใช้กระแสแบบออร์แกนิก ที่ต่อยอดเป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ได้ทันที โดยไม่ต้องมีแคมเปญโฆษณาใหญ่โตเหมือนแบรนด์ทั่วไป
ผลคือการเกิด Festival Economy แบบเฉพาะกิจ คือสร้างอีเวนต์ขายของที่อาจขายได้มากกว่าแคมเปญ Double Day เช่น 10.10 หรือ 11.11 ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ในโลกอีคอมเมิร์ซไทยตอนนี้
-
กลยุทธ์ Collaboration ที่ทรงพลัง
การที่ดาราและนักธุรกิจชื่อดัง เช่น ปุ๊กลุ๊ก ฝนทิพย์, ดีเจพุฒ, ป๋อ ณัฐวุฒิ เจ้าของแบรนด์ต่างๆ หรืออินฟลูเอนเซอร์มาร่วมไลฟ์ ทำให้เกิด Social Proof ทันที ทำให้ผู้ชมรับรู้ว่ากิจกรรมนี้มีความน่าเชื่อถือและเป็นกระแสจริง
กลยุทธ์การไลฟ์ของเจนนี่ถูกออกแบบอย่างมีจังหวะและความเข้าใจพฤติกรรมผู้ชม ไลฟ์แต่ละรอบจะมีทั้งคนดังและเจ้าของแบรนด์ทั่วไป มาสลับกันขึ้นไลฟ์เพื่อรักษายอดผู้ชมให้คึกคักต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
อีกทั้งยังจัดเรียงสินค้าไม่ให้ชนกัน หากไลฟ์ขายสบู่แล้ว ไลฟ์ถัดไปจะเปลี่ยนไปขายสินค้าคนละหมวดทันที เพื่อป้องกันความอิ่มตัวของผู้ชมและกระตุ้นความสนใจใหม่อยู่เสมอ
ส่วนค่าใช้จ่ายในการจ้างไลฟ์ เจนนี่ตั้งราคาที่ 5 หมื่นบาทต่อออร์เดอร์ 1,000 บาท ซึ่งถือเป็นโมเดล Affiliate ที่มีแรงจูงใจสูง และที่น่าสนใจคือ ราคานี้ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะแบรนด์ใหญ่ แต่สามารถดึงดูดแบรนด์เล็กและผู้ประกอบการที่ยังที่เพิ่งเปิดตลาดให้เข้ามาร่วมเทศกาลเจนนี่อย่างคึกคัก
แม้บางรายอาจไม่ได้ยอดขายถล่มทลาย แต่สิ่งที่ได้รับคือ การมองเห็น (Eyeballs) ระดับหลักแสน คนรู้จักมากขึ้น หรือนำคลิปการไลฟ์ไปต่อยอดทำคอนเทนต์ต่อได้ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมูลค่าทางการตลาดที่ยากจะซื้อได้จากสื่อรูปแบบอื่นในงบประมาณใกล้เคียงกัน
-
การใช้ TikTok เป็นช่องทางหลัก
TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบในไทย การที่เจนนี่เลือกไลฟ์ผ่าน TikTok ไม่เพียงเข้าถึงกลุ่มลูกค้าตนเอง แต่ยังได้ระบบอัลกอริทึมเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่ช่วยดันคอนเทนต์ขายแบบเรียลไทม์ทำให้ยอดขายพุ่งเร็ว
ข้อมูลจากรายงาน iCreator Report 2025 ชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มนี้อย่างชัดเจน ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในไทยกว่า 44.3 ล้านบัญชี และเป็น 1 ใน 2 แพลตฟอร์มที่มีจำนวน Nano Creator (ผู้ติดตามมากกว่า 1 หมื่นคน) มากที่สุดร่วมกับ Instagram
กล่าวได้ว่า การเลือก TikTok ของเจนนี่คือการใช้สนามที่ร้อนแรงที่สุดของยุคอย่างเต็มประสิทธิภาพ ผสมผสานทั้งความบันเทิง ความเป็นกันเอง และพลังของอัลกอริทึมเพื่อเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นผู้ซื้อในพริบตา
-
การเป็น Business Ecosystem
ในเชิงธุรกิจ เจนนี่ไม่ได้ขายเพียงสินค้า แต่กำลังสร้าง Brand Economy ของตัวเอง คือการเปลี่ยนชื่อเสียงให้กลายเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจ เมื่อมีฐานผู้ติดตามจำนวนมาก บวกกับระบบไลฟ์ขายที่ทรงพลัง และพาร์ตเนอร์ดาราและแบรนด์สินค้าเข้ามาร่วม
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ โมเดล Creator-led Marketing (การทำงานกับครีเอเตอร์ แบรนด์ต้องปล่อยให้ครีเอเตอร์ทำงานอย่างอิสระ) ซึ่งในระยะยาวเจ้าของแบรนด์อาจนำคลิปและกระแสไปต่อยอดการขายของตัวเองได้
-
อุปกรณ์เล็ก แต่พลังมหาศาล
หนึ่งในจุดที่ทำให้ปรากฏการณ์นี้โดดเด่นคือ ‘ความเรียบง่าย’ เจนนี่ไม่ได้พึ่งทีมโปรดักชันใหญ่ กล้องหลายตัว หรือสตูดิโอมืออาชีพ แต่ใช้เพียงสมาร์ตโฟนและ iPad ในการไลฟ์
สิ่งนี้สะท้อนแนวคิดสำคัญของยุคที่การค้าขายออนไลน์ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยาก การที่ใครก็ไลฟ์ขายของหรือสร้างอีเวนต์ขนาดใหญ่ได้ ที่สำคัญเมื่อภาพที่เห็นคือความเป็นธรรมชาติและเข้าถึงง่าย ความสัมพันธ์กับผู้ชมจึงแน่นแฟ้นขึ้น
ผลลัพธ์คือยอดขายระดับหลาย 10 ล้านต่อวัน ที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ที่เรียบง่าย นี่คือการพิสูจน์ว่า ในยุคครีเอเตอร์คอมเมิร์ซ พลังของเรื่องเล่าและความจริงใจ มีมูลค่ามากกว่ากล้องราคาแพง
เทศกาลเจนนี่ คือกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าในยุค Creator Economy ใครที่เข้าใจพลังของเรื่องเล่า ความสัมพันธ์ และกลยุทธ์เชื่อมคอมมูนิตี้ เขาคือแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด แม้จะเริ่มจากเพียงสมาร์ตโฟนหนึ่งเครื่องบน TikTok เท่านั้น