วันนี้ (9 ตุลาคม 2568) ที่อาคารรัฐสภา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตั้งกระทู้ถามสดถึง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยณัฐพงษ์ถามเรื่องการจัดทำประชามติยกเลิก MOU43-MOU44 เรื่องการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า กระบวนการทำประชามติต้องรณรงค์อย่างเปิดกว้าง ให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ให้ประชาชนเข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนจะไปออกเสียงในคูหา และต้องทำให้ประชาชนเห็นข้อมูลชัดเจนว่า หากจะยกเลิก MOU แต่ละฉบับ จะส่งผลอย่างไรกับการจัดการข้อพิพาทไทย-กัมพูชา และไทยจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไรจากการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ
“ในมุมมองของผม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรณรงค์เรื่องนี้ให้ประชาชนรับทราบข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบจากการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ โดยที่ไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ได้” ณัฐพงษ์ระบุ
ข้อกังวลของณัฐพงษ์คือ MOU ทั้ง 2 ฉบับ ในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบก และการบริหารพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา มีข้อมูลจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจะได้เปรียบและเสียเปรียบเรื่องอะไรบ้าง โดยก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฎรก็ต้องประชุมลับไม่ให้ทางกัมพูชาล่วงรู้ ทั้งนี้ณัฐพงษ์ได้ตั้ง 3 คำถาม ได้แก่
-
กฎหมายประชามติมีข้อบัญญัติไว้ว่า การออกเสียงประชามติต้องไม่เป็นการชี้นำ รัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องให้รายละเอียดรอบด้าน ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา รวมถึงรัฐบาลและ กกต.ต้องให้แสดงความคิดเห็นต่อสถานีวิทยุ โทรทัศน์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ เช่น ข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของไทยและกัมพูชา
ฉะนั้นรัฐบาลมีแผนอย่างไรเพื่อให้การทำประชามติ MOU ทั้ง 2 ฉบับ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติประชามติที่กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า ไม่เป็นการชี้นำ ต้องให้ข้อมูลรอบด้าน และต้องทำผ่านเวทีสาธารณะ โดยที่กัมพูชาไม่ล่วงรู้ถึงข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ
-
กฎหมายประชามติยังระบุไว้ด้วยว่า รัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือ และเยียวยาความเสียหายจากการประชามติ ปัจจุบันรัฐบาลมีมาตรการอย่างไรที่ดีกว่า หากมีการยกเลิก MOU43-MOU44 ในการปักปันเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเล และในส่วนของ MOU44 รัฐบาลมีมาตรการอย่างไรป้องกันไม่ให้เอกชนที่ลงนามเซ็นสัญญาการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เอาเรื่องไปฟ้องอนุญาโตตุลาการเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย หากต้องมีการยกเลิก MOU44
-
หากต้องรณรงค์เรื่องนี้ในพื้นที่สาธารณะ โดยที่ไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้รายละเอียด ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก จึงต้องตั้งคำถามว่า หากยังดึงดันเดินหน้าทำประชามติด้วยกระบวนการสุ่มเสี่ยง ขัดต่อกฎหมาย หากมีผู้ร้องว่า การทำประชามติแบบนี้ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน จนการทำประชามติเสียหาย โมฆะ หรือสิ้นผลไป รัฐบาลจะยังเดินหน้าอยู่อีกหรือไม่ หรือควรใช้ขั้นตอนรัฐสภา กลไกกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งเป็นทางออกที่ดีกว่าการออกเสียงประชามติ และควรใช้กลไกนี้ศึกษาให้รอบคอบมากกว่าหรือไม่
“การที่เรามีประเด็นเรื่องนี้ถกเถียง ใช้กระแสชาตินิยมถกเถียงอย่างกว้างขวาง พวกเราทุกคนในห้องประชุมนี้ต้องการผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย แต่สิ่งที่พวกเราไม่ต้องการคือ การใช้ประเด็นเรื่องนี้มาสร้างกระแสต่างๆ และทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เราไม่สามารถกลับมาแก้ปัญหาได้อีก สิ่งที่ทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดคือ กัมพูชาล่วงรู้ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของไทยทั้งหมด ประเทศไทยเดินเกมต่างประเทศที่ผิดพลาด และสุดท้ายกัมพูชาเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกได้
“ผมทราบดีว่า ท่านรัฐมนตรีรู้ว่าอะไรคือทางออกที่ถูกต้อง เพียงแต่วันนี้ ท่านอยู่ในคณะรัฐมนตรี เลยทำให้ท่านมีอุปสรรคบางอย่างที่ท่านตอบผมไม่ได้ตรงๆ สิ่งที่ผมคาดหวังอาจจะคาดหวังกับท่านรัฐมนตรีโดยตรง คือในขณะที่ประชาชนคนไทยคาดหวังระบบการเมืองที่ดี ที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นเทคโนแครต เป็นคนแบบท่านรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้มาจากโควตาเจรจาทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
“ท่านยืนยันออกมาดังๆ ได้ไหมครับ ตอบในฐานะนักการทูตว่า ท่านเห็นด้วยจริงๆ หรือว่าจะต้องเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ท่านเห็นด้วยจริงๆ หรือว่า การทำประชามติถือเป็นการหาทางออกในเรื่องนี้ หรือถ้าท่านไม่เห็นด้วย ท่านไม่สามารถหาทางออกอย่างชัดเจน ท่านจะนำข้อคิดเห็นของท่านเพื่อไปเบรกฝ่ายการเมือง เพื่อนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง ใช้กระแสชาตินิยมเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่”
ด้านสีหศักดิ์ตอบกระทู้ถามสดเรื่องการทำประชามติยกเลิก MOU43-MOU44 ตอนหนึ่งว่า เรื่อง MOU เป็นผลประโยชน์ที่สำคัญมากๆ ของประเทศ เขตแดน และอธิปไตย การเข้าสู่กระบวนการประชามติเพื่อยกเลิกหรือไม่ยกเลิก จะต้องทำด้วยความรอบคอบและชัดเจนว่า ถ้าไม่มีแล้วประเทศไทยจะมีทางเลือกอะไร เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบแล้วมีความเสียหาย ไม่ใช่ประชามติแล้วไม่มีแผนรองรับ
สำหรับในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ เห็นความสำคัญที่จะมีแผนรองรับว่า ถ้าไม่มี MOU อะไรคือทางเลือกในการปกป้อง ในการรักษาผลประโยชน์ของเรา ขณะที่เรื่องการเยียวยา ก็ต้องให้การเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสิทธิอันชอบธรรม
สีหศักดิ์ยังระบุด้วยว่า ในสัปดาห์หน้าจะประชุมร่วมกับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดทำประชามติ
“ผมขอยืนยันอย่างหนึ่งว่า เรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ บางครั้ง หลายครั้ง ต้องไม่นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง เรื่องนี้ต้องอภิปรายอย่างจริงจัง ผมเองถ้าจะตอบท่านต้องตอบด้วยความมั่นใจ ผมอยากให้คุยรายละเอียดถึงประเด็นต่างๆ ให้ชัดเจน และจะนำความเห็นส่วนตัวไปเสนอในกระบวนการต่างๆ แน่นอน สำหรับผมเองต้องรักษาเรื่องผลประโยชน์ของชาติ ขณะเดียวกันเรื่องกระบวนการประชาธิปไตยต้องมี Accountability ต่อสภาฯ ก็ชัดเจน” สีหศักดิ์ระบุ
Tags: รัฐสภา, พรรคประชาชน, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว