วันนี้ (26 กันยายน 2568) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ คดีที่สภาองค์กรของผู้บริโภคยื่นฟ้องเพิกถอนมติรับทราบของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณีควบรวมกิจการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ผู้ให้บริการค่ายมือถือ True และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) ผู้ให้บริการค่ายมือถือ Dtac

ทั้งนี้ย้อนกลับไปที่เหตุแห่งคดี สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ยื่นต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนมติ ‘รับทราบ’ กรณีการควบรวม 2 เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งการกำหนดเกณฑ์ปฏิบัติของ กสทช. โดยสภาองค์กรของผู้บริโภคเห็นว่า เป็นคำสั่งที่ ‘ไม่ชอบด้วยกฎหมาย’ เนื่องจากการระบุว่า True และ Dtac ไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน ตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 นั้นไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ในคดีที่สภาองค์กรของผู้บริโภคยื่นฟ้องต่อ กสทช.มี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร้องสอดที่ 1 ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เป็นผู้ร้องสอดที่ 2

โดยศาลให้เหตุผลการยกฟ้องไว้ว่า ตามประกาศ กสทช.เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ไม่ได้กำหนดให้ กสทช.ต้องรับฟังความคิดเห็นสาธารณะหรือฟังรายงานจากที่ปรึกษาอื่นๆ

อีกทั้งมติของ กสทช.มีผลผูกพันกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น เป็นการเฉพาะราย ไม่ใช่การออกระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่ง จึงไม่จำเป็นต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือประชาชนทั่วไป (อิงตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 และกฎหมายอื่น)

นอกจากนั้นการรวบธุรกิจของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น เป็นการรวมธุรกิจเกิดเป็นนิติบุคคลใหม่ แตกต่างกับการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน โดยการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 10 หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบาย การบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตจะต้องขออนุญาตจาก กสทช.

ดังนั้นการที่ กสทช.มีมติ ‘รับทราบ’ และกำหนดเงื่อนไขเฉพาะให้กับทั้ง 2 บริษัทปฏิบัติตาม จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ทั้งนี้ภายหลังจากศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา วศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความผู้ดูแลคดีของสภาองค์กรของผู้บริโภคออกมากล่าวว่า คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด มีกระบวนการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป ซึ่งคาดว่าเป็นโอกาสในการชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างว่า กฎหมายโทรคมนาคมและอำนาจของ กสทช.ต้องได้รับการปรับปรุง รวมถึงทำให้สังคมและผู้กำหนดนโยบายได้เห็นความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อปิดช่องว่างที่เปิดโอกาสให้เกิดการผูกขาดและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค

ด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภคระบุว่า ภายหลังการควบรวมส่งผลให้การแข่งขันในตลาดลดลง เห็นได้จากแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านมีราคาใกล้เคียงกัน ทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือก แต่ กสทช.กลับลดมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค

เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภคยังกล่าวต่อว่า ระหว่างที่สภาองค์กรของผู้บริโภคเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด จะประสานกับเครือข่ายองค์กรสมาชิกสภาองค์กรของผู้บริโภคกว่า 350 องค์กรใน 58 จังหวัด พร้อมชวนให้ผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจโทรศัพท์ที่ถูกลง

ขณะที่ ​​สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า จะเดินหน้าทำงานกับฝ่ายการเมือง เนื่องจากประเทศกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 โดยจะให้พรรคการเมืองแข่งขันกัน นำเสนอนโยบายที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเสนอทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับพรรคการเมืองเพื่อดันนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค

“การยกฟ้องคดีครั้งนี้ควรเป็นบทเรียนให้ฝ่ายนิติบัญญัติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขกฎหมาย กสทช.เพื่อปิดช่องว่างที่ทำให้การกำกับดูแลล่าช้าและไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การควบรวมกิจการครั้งนี้สะท้อนปัญหาว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างอ้างว่าไม่มีอำนาจ ส่งผลให้ผู้บริโภคกลายเป็นฝ่ายเสียประโยชน์โดยตรง” สุภิญญากล่าว

Tags: , , , , , ,