“คนดูหนังบางคนบอกผมว่า การดูหนังที่ผมกำกับเหมือนโดนผมทรมานอยู่เลย”

ดาร์เรน อโรนอฟสกี (Darren Aronofsky) เคยนิยามหนังของตัวเองอย่างเปี่ยมอารมณ์ขันไว้เช่นนั้น และไม่ว่าจะอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังของอโรนอฟสกีนั้น มักเล่าเรื่องของคนที่หมกมุ่นหรือติดกับดักบางอย่างของชีวิตจนเสียศูนย์ เรื่องราวของพวกเขาจึงไม่ชวนให้สบายใจหรือรื่นรมย์นัก

กระนั้น Caught Stealing (2025) หนังยาวเรื่องล่าสุดของเขาก็ดูจะให้รสชาติต่างไปจากหนังเรื่องก่อนๆ ไม่น้อย โดยมันเล่าถึงชีวิตตกอับชวนหัวของ แฮงก์ (ออสติน บัตเลอร์) อดีตนักกีฬาเบสบอลอนาคตไกล ที่ประสบอุบัติเหตุจนเล่นกีฬาอาชีพต่อไม่ได้ และกลายมาเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ร้านเหล้าเล็กๆ ในย่านโลเวอร์อีสต์ไซด์ กรุงนิวยอร์ก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีวอนน์ (โซอี คราวิตซ์) นักฉุกเฉินการแพทย์ ก็ไปได้สวย แต่ชีวิตแฮงก์ก็ล้มคว่ำลงเมื่อจู่ๆ รัสส์ (แมตต์ สมิธ) หนุ่มข้างห้องชาวอังกฤษสุดพังก์มอบหมายให้เขาดูแมวให้ อีกไม่กี่วันจากนั้นแฮงก์พบว่า ตัวเองถูกนักเลงรัสเซียกระทืบปางตาย

อีกด้านหนึ่ง พี่น้องชาวยิวขาใหญ่ของย่านก็ควานหาตัวเขาให้ควั่ก ถามหา ‘กุญแจ’ ดอกหนึ่ง แฮงก์จึงไม่เหลือทางเลือกนอกจากกระเสือกกระสนหาคำตอบให้ได้ว่า กุญแจที่ว่าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับพ่อหนุ่มพังก์เพื่อนรักชาวอังกฤษอย่างไรแน่

ว่าโดยพล็อตก็ชวนให้นึกถึงหนังของ กาย ริชชี ที่มักว่าด้วยคนสามัญดวงซวย ไปมีเรื่องกับเจ้าพ่อขาใหญ่ของย่าน และหากว่าหนังของริชชีสนทนากับคนอังกฤษเป็นหลัก Caught Stealing ก็สนทนากับชาวนิวยอร์กโดยตรง ผ่านความบ้าเบสบอลเข้าเส้นของตัวละคร และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ย่านชนชั้นแรงงานที่ไม่เป็นมิตรกับชีวิตนัก และแม้มันจะเป็นหนังที่ดูขบขันมากที่สุดของอโรนอฟสกี แต่ก็มีบางส่วนเสี้ยวที่พูดถึงภาวะติดเหล้า และอาการจมดิ่งอยู่กับอดีตเลวร้ายถอนตัวไม่ขึ้น

หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ ชาร์ลี ฮัสตัน ที่อโรนอฟสกีเล่าว่าเขาเคยอ่านเป็นครั้งแรกเมื่อ 18 ปีที่แล้ว และมันค้างคาอยู่ในใจเขานับแต่นั้น “ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของย่านอีสต์ วิลเลจซึ่งผมรักมากๆ จากงานเขียนเรื่องนี้เลย ดูมันมีอะไรสนุกๆ ให้เล่าเยอะดี

“ผมพยายามท้าทายตัวเองด้วยการทำสิ่งใหม่ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส มาดอนนาเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ก็เพราะเธอสร้างสิ่งใหม่ๆ ตลอดนี่แหละมั้งครับ” อโรนอฟสกีบอก “ที่ผ่านมา ฮอลลีวูดก็เคยทำหนังที่เอื้อให้คนทั่วไปรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวละครในเรื่องได้ และผมคิดว่าตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะกลับไปเล่าเรื่องแบบนั้น เล่าเรื่องของคนสามัญๆ เพราะหลายปีมานี้ ฮอลลีวูดทำแต่หนังซูเปอร์ฮีโร่ หรือไม่ก็คนที่มีพลังพิเศษบางอย่าง”

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Caught Stealing เล่าถึงความซวยของบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่เป็นอดีตนักกีฬาเบสบอล โดยที่เขาไม่ได้มีปูมหลังเป็นทหารผ่านศึกหรือนักสู้ที่ท้าตีท้าต่อยกับใครได้เลย แถมตรงกันข้าม คือกลายเป็นกระสอบทรายทั้งเรื่องอีกต่างหาก

“มันจะเป็นยังไงกันนะถ้าคุณเป็นแค่คนธรรมดาๆ ใช้ชีวิตเหมือนเราๆ และพบว่าวันหนึ่ง โลกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ คุณจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร จัดการมันแบบไหน” อโรนอฟสกีว่า “ตัวละครแฮงก์ในหนังเรื่องนี้ก็เป็นประมาณนี้แหละ คือเขาเป็นคนดี ไม่ได้ทำร้ายอะไรใคร (ยกเว้นก็แต่ทำร้ายตัวเอง) ทักษะเดียวที่พอจะมีคือ เคยเป็นนักกีฬาระดับแถวหน้าสมัยมัธยม พ้นไปจากนี้ เขาก็ไม่มีอะไรสักอย่าง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ Caught Stealing อาจจะเป็นหนังที่คอเมดีที่สุดในบรรดาหนังทั้งปวงของอโรนอฟสกี อย่างน้อยก็ตามที่หลายสื่อนิยามไว้เช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังก่อนหน้าของเขาที่เครียดเขม็งและดำมืดเหลือเกิน แต่สำหรับเจ้าตัว การนิยามหนังว่าคอเมดีก็ออกจะแปร่งแปลกไปสักนิด “คือมันก็มีจังหวะให้หัวเราะแน่ๆ แหละ ช่วงสิบนาทีแรกของหนังนี่ฮายิ่งกว่าหนังเรื่องก่อนๆ ของผมมัดรวมกันอีกมั้ง” เขาบอก “แต่การบอกว่ามันเป็นคอเมดีนี่อีกอย่างหนึ่งเลยนะ ไม่รู้เหมือนกันสิ ผมว่ามันเดือดดาล โลดโผนแบบย่านโลเวอร์อีสต์สุดๆ เลยมากกว่า”

ถ้าเราย้อนไปดู Pi (1998) หนังยาวเรื่องแรกของอโรนอฟสกี ก็คงพบว่าเขาฝากลายเส้นและน้ำเสียงเครียดเขม็งไว้ ทั้งยังทะเยอทะยานด้วยการถ่ายขาว-ดำทั้งเรื่อง จับจ้องไปยัง แม็กซ์ (ฌอน กูลเล็ตต์) นักคณิตศาสตร์ที่เชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเข้าใจได้ด้วยตัวเลข คติประจำใจของเขาคือ ตัวเลขนั้นเป็นภาษาของธรรมชาติ และมันจึงอธิบายเงื่อนไข กลไกทุกสิ่งอย่างรอบตัวได้โดยไร้ขีดจำกัด ส่วนอีกด้านหนึ่งของความอัจฉริยะ เขาก็มีอาการวิตกจริตและหวาดผวาเป็นประจำ ทั้งยังเข้าสังคมไม่เป็น คนที่เขาคุยด้วยมีเพียงรุ่นพี่ที่เป็นนักคณิตศาสตร์ เด็กหญิงที่อาศัยร่วมตึก และหญิงสาวอีกคนที่คุยกับเขาบ้างประปรายเท่านั้น

สิ่งที่แม็กซ์พยายามทำคือ การใช้ตัวเลขคำนวณตลาดหุ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาได้พบ เลนนี (เบน เชนก์แมน) ชาวยิวที่ทำวิจัยเกี่ยวกับตัวเลขและคัมภีร์โทราห์ ข้อมูลจากเลนนียิ่งทำให้แม็กซ์หมกมุ่นกับการไขความลับจักรวาลด้วยตัวเลขมากกว่าเดิม จนนำไปสู่ภาวะหลอน ปฏิเสธจะกินยาแก้ปวด ด้วยความเชื่อว่า อาการปวดหัวและภาพบิดเพี้ยนต่างๆ จะเชื่อมโยงเขาเข้าสู่ตัวเลขปริศนาที่เขาควานหามาทั้งชีวิต อันนำไปสู่ความรุนแรงท้ายเรื่อง

อโรนอฟสกีได้ทุนทำหนังมาราวๆ 1 แสนเหรียญสหรัฐฯ เขามีเงินจ่ายทีมงานเป็นรายวัน ตกวันละ 200 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคน และนักแสดงอีกคนละ 75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน ทั้งยังถ่ายทำแบบเขียมสุดขีดด้วยการเช่าเสื้อผ้านักแสดงจากร้านขายเสื้อผ้ามือสอง และเดินดุ่มไปถ่ายทำในรถไฟใต้ดินแบบไม่ได้ขออนุญาต (เพราะไม่มีเงินจ่ายแล้ว)

“ไอเดียของหนังมันมาจากสิ่งละอันพันละน้อยที่ผมเคยดู เคยอ่าน เคยจดไว้” เขาบอก “ผมไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์จริงจังหรอก จะเรียนก็แค่ตอนมัธยม โตมาหน่อยก็ไม่ได้คิดเลขอะไรแล้วด้วยซ้ำ

“แต่นั่นแหละ ตัวหนังมันไม่ได้พูดถึงคณิตศาสตร์เสียทีเดียว มันพูดถึงความลึกลับของคณิตศาสตร์ต่างหาก การใช้ตัวเลขเพื่อค้นหาพระเจ้าอะไรทำนองนั้น ผมสนใจแนวคิดนี้มากเลย”

Requiem for a Dream (2000) หนังยาวลำดับที่ 2 ของอโรนอฟสกีก็สร้างความแตกตื่นสุดๆ ด้วยเนื้อหาที่พูดถึงคนติดยาเสพติดอย่างตรงไปตรงมา งานภาพโคลสอัพแบบถึงลูกถึงคน และโดยเฉพาะเรื่องราวอันแสนหดหู่

แฮร์รี (จาเร็ด เลโต) เด็กหนุ่มติดเฮโรอีนรุนแรง เขามักเอาทรัพย์สินของ ซารา (เอลเลน เบอร์สตีน ชิงนำหญิงยอดเยี่ยมจากออสการ์) แม่ผู้แก่ชราและใช้เวลาแต่ละวันหมดไปกับการดูโทรทัศน์ ออกไปขายเพื่อเอาเงินไปซื้อยาเสมอ เขาคบหากับ ไทรอน (มาร์ลอน เวย์นส์) เพื่อนรักผิวดำที่หาทางค้าเฮโรอีนด้วยกัน และมาเรียน (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี) แฟนสาวสวยที่ติดยาเหมือนกันกับเขา

ความฝันของแฮร์รีคือการหาเงินก้อนใหญ่ เพื่อพาตัวเองกับแม่ไปให้พ้นจากสลัม แต่การติดยาทำให้ธุรกิจส่งเฮโรอีนของเขากับเพื่อนไปได้ไม่สวยนัก นอกจากต้องมีเรื่องปางตายกับเจ้าพ่อในชุมชน เขากลับมาเรียนยังทนภาวะขาดยาไม่ได้ จนต้องแอบเอายาที่ลักลอบขายมาเสพเสียเอง อีกด้านหนึ่งแม่ของเขาก็ได้รับการติดต่อจากบุคคลปริศนา บอกว่าเธอกำลังจะได้ไปออกรายการโทรทัศน์ชื่อดังที่ดูทุกวัน ซาราจึงพยายามทำทุกทาง เพื่อให้ตัวเองดูสาวขึ้น สวยขึ้น และยิ่งนำพาเธอไปพบเจอโศกนาฏกรรมอีกปลายทางของชีวิต

“ตอนที่หนังออกฉาย หลายคนบอกผมว่า เหมือนโดนทรมานเลย” อโรนอฟสกีบอก “คนอ้วกแตกกระจุย ตอนไปฉายที่เทศกาลหนังโตรอนโต ก็มีคนดูคนหนึ่งถูกหามขึ้นรถพยาบาลเพราะมีอาการใจสั่น แค่ว่าถ้าเอาหนังกลับมาดูตอนนี้ มันก็ไม่รุนแรงเท่าแต่ก่อนแล้วเท่านั้นเอง”

หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ อูแบร์ต เชลบี จูเนียร์ ซึ่งเป็นนักเขียนที่อโรนอฟสกีติดตามมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม และยินดีขายลิขสิทธิ์เรื่องให้คนทำหนังหนุ่มในราคา 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ขั้นตอนยากลำบากอยู่ที่การแคสติงนักแสดง เพราะอโรนอฟสกีอยากได้นักแสดงที่ยังเด็ก เพื่อฉายภาพความรุนแรงจากการเสพติด แต่โปรดิวเซอร์ยั้งเขาไว้ เพราะเชื่อว่าการเอานักแสดงที่อายุยังน้อยมารับบทเหล่านี้จะไม่เป็นผลดีทั้งต่อคนดูและต่อตัวหนังเอง หวยเลยมาออกที่เลโตที่ลดน้ำหนักไปทั้งสิ้น 13 กิโลกรัมเพื่อรับบทนี้ กับคอนเนลลีที่อยากได้บทท้าทายและพาพวกเขาไปไกลกว่าบทเดิมๆ ที่เคยแสดง

Requiem for a Dream มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเฮโรอีนหรือยาเสพติดหรอก เรื่องของตัวละครทั้งสามอย่างแฮร์รี ไรทอน และมาเรียน เล่าเรื่องตามขนบของคนติดเฮโรอีนก็จริง แต่พอเอามาวางข้างเส้นเรื่องของซารา เราก็จะเริ่มตั้งคำถามว่า อะไรคือการเสพติดกันแน่” อโรนอฟสกีบอก “ผมว่าเรามีเสียงในหัวแบบเดียวกันหมดแหละ ไม่ว่าจะตอนพยายามเลิกยา เลิกบุหรี่ หรือหักดิบไม่กินอาหาร เพราะต้องการลดน้ำหนักสัก 20 ปอนด์ ผมสนใจเรื่องนี้มากๆ และเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นในหนังนัก ผมถึงได้อยากเล่าไง”

ทั้งนี้หนังยังเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายอย่างการจัดเรตโดยสมาคมภาพยนตร์อเมริกัน (Motion Picture Association of America: MPAA) ที่ให้หนังได้เรต NC-17 ขณะที่อโรนอฟสกีดื้อดึงเห็นต่าง “มันล้าหลังจะตาย มันควรมีวิธีการให้เรตติงสำหรับผู้ใหญ่สิ มันแค่ต้องนิยามให้ชัดว่ามันเป็นหนังแบบไหนก็เท่านั้น” เขาบอก “ทางสมาคมมีปัญหากับ 3 นาทีของหนัง ซึ่งเป็น 3 นาทีที่หนังปั้นมาทั้งเรื่องเพื่อจะเล่าส่วนนี้ มันถึงได้ต้องเครียดเขม็งทั้งงานภาพและงานเสียงขนาดนั้นยังไง และถ้าผมตัดบางส่วนออกไป น้ำหนักของหนังทั้งเรื่องก็จะลดลงไปมากทีเดียว”

หนังลำดับต่อมาของอโรนอฟสกีอีก 2 เรื่องยังคงสำรวจภาวะหมกมุ่นบางอย่างของมนุษย์ The Fountain (2006) พูดถึงชาย 3 คน (ฮิวจ์ แจ็กแมน) ในแต่ละห้วงเวลา ทั้งในศตวรรษที่ 16 ที่เขาออกเดินทางหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยเพื่อจะได้มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ทำทุกทางเพื่อรักษาภรรยาจากโรคมะเร็ง และหนึ่งในคำตอบที่เขาเชื่อคือ มีต้นไม้วิเศษในอเมริกาใต้ที่ช่วยยืดอายุขัยมนุษย์ได้ และในอีกหลายร้อยปีต่อมา หนังก็เล่าเรื่องชายคนหนึ่งที่ออกเดินทางไปทั่วอวกาศ มุ่งหวังหาหนทางพาภรรยาผู้ล่วงลับกลับมา

กล่าวในภาพใหญ่ หนังเล่าเรื่องของคนที่หมกมุ่นในการฝืนความตาย ทั้งความตายของตัวเองและความตายของคนรัก มิหนำซ้ำยังหวนกลับไปสำรวจประเด็นเรื่องความเชื่อและศาสนา ดังที่เคยปรากฏในหนังเรื่องแรกของเขาอย่าง Pi แต่มันขยายเป็นภาพใหญ่ ว่าด้วยการสำรวจแนวคิดเรื่องการเป็นอยู่และดับสูญผ่านความเชื่อของตัวละคร

“ผมว่าหนังมันพยายามพูดเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่กับเรื่องราวในอนาคต รวมทั้งมีชีวิตต่อไปโดยไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย” อโรนอฟสกีแสดงความเห็น

The Wrestler (2008) หนังที่ส่งอโรนอฟสกีคว้ารางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลหนังเวนิส และส่ง มิกกีย์ รูร์ก กับเมริซา โทเม ชิงสาขานำชายและสมทบหญิงจากเวทีออสการ์ตามลำดับ หนังเล่าเรื่อง โรบิน (รูร์ก) นักมวยปล้ำวัยควรเกษียณ ร่างกายบอบช้ำที่พยายามกระเสือกกระสนกลับไปมีชื่อเสียงอีกครั้งในยุค 1980s

หนังพาสำรวจชีวิตของโรบินที่ต้องขึ้นปล้ำบนเวทีเล็กๆ นอนในรถคันเล็กๆ และหาเลี้ยงชีพอีกทางด้วยการทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ต เขาถูกหัวหน้างานล้อเลียนเรื่องความไปไม่ถึงไหนของอาชีพนักมวยปล้ำอยู่เนืองๆ หนทางคลายเครียดไม่กี่ทางของเขาคือการเข้าบาร์โป๊ ที่ทำให้เขาเจอกับ คาสสิดี (โทเม) สาวนักเต้นที่ชีวิตล่วงเลยจุดสูงสุดมาแล้วเช่นเดียวกันกับเขา

เพื่อจะสร้างชื่ออีกครั้ง โรบินตอบรับคำเชิญขึ้นปล้ำกับคู่ปรับเก่า พร้อมกับที่ทุ่มเทลงแรงฝึกฝนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยในระดับทรมานสังขาร รวมทั้งการใช้สารกระตุ้นอย่างสเตียรอยด์ และในเวลาต่อมา การฝืนร่างกายเพื่อขึ้นปล้ำ ยังผลให้กล้ามเนื้อหัวใจของเขาพังไม่เป็นท่า ต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้แพทย์ห้ามเขาใช้สารกระตุ้นและขึ้นสังเวียนอีกเป็นอันขาด

อโรนอฟสกีไม่เพียงแต่เล่าเรื่องของชายผู้ยึดติดกับความรุ่งโรจน์ของตัวเอง แต่ยังพูดถึงการจมอยู่กับบาดแผลของชีวิต ทั้งการละเลยลูกสาว ทั้งการพยายามสานความสัมพันธ์กับดาวโป๊ ซึ่งปฏิเสธเขาเนื่องจากคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ และโดยเฉพาะการกัดฟันลาจากสังเวียนเพื่อใช้ชีวิตแสนสามัญในซูเปอร์มาร์เก็ต สบตากับคำหยามหมิ่นมหาศาล ซึ่งผลักให้เขาหวนคืนสังเวียนอีกครั้งอย่างคนไม่มีอะไรจะเสีย

วินซ์ แม็กแมน โปรโมเตอร์มวยปล้ำและอดีตซีอีโอ WWE ถึงขั้นออกปากชมหนังกับอโรนอฟสกี “หลังดูหนังจบ เขาเรียกผมกับมิกกีย์ไปเข้าพบ บอกพวกเราว่าหนังมันกินใจเขามากเหลือเกิน” อโรนอฟสกีบอก “ก่อนหน้าจะไปเจอเขานี่พวกเราอย่างเครียดเลยเพราะไม่รู้เขาจะว่ายังไงบ้าง แต่ผลกลับออกมาว่า เขารู้สึกว่าหนังมันแสนพิเศษ การที่เขาชอบหนังมันทำให้เราใจฟูสุดๆ เลย โดยเฉพาะกับมิกกีย์นี่ตัวลอยเลย”

ทั้ง Requiem for a Dream และ The Wrestler ได้รับคำชมหนาหูว่าทำให้นักแสดงรุ่นใหญ่อย่างเอลเลน เบอร์สตีน และมิกกีย์ รูร์ก กระโจนขึ้นชิงเวทีรางวัลมากมาย รวมทั้งออสการ์ “ผมดีใจที่เป็นแบบนั้นนะ เพราะก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้วกับเอนเลนตอนกำกับ Requiem For A Dream มันก็ไม่ใช่ว่าผมคืนชีพให้หน้าที่การงานเธอหรอก” อโรนอฟสกีว่า “แต่บทมันเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้เธอได้ลองเล่นอะไรต่อมิอะไร

“กับมิกกีย์ก็เหมือนกัน สักสัปดาห์หนังจากเราชนะรางวัลสิงโตทองคำที่เทศกาลหนังเวนิส เขาโทรศัพท์มาหาผมแล้วถามว่า นายทำอะไรเนี่ย สัปดาห์ก่อนฉันจะหาแซนด์วิชแฮมมากินเองไม่ได้เลย แล้วตอนนี้ หน้าบ้านมีแต่ปาปารัสซีเต็มไปหมด!”

แต่หนังเรื่องแรกที่นักแสดงคว้ารางวัลออสการ์ได้คือ Black Swan (2010) ที่เข้าชิงออสการ์ทั้งสิ้น 5 สาขา รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและกำกับยอดเยี่ยม ขณะที่ นาตาลี พอร์ตแมน คว้านำหญิงได้เป็นครั้งแรกจากการรับบทเป็น นีนา นักบัลเลต์สาวที่อาศัยอยู่กับแม่ในกรุงนิวยอร์ก 

เธอพบว่าผู้กำกับ โธมัส (แวนซองต์ กัสเซล) กำลังจะกำกับเรื่อง Swan Lake จากบทประพันธ์ของ ปิออตร์ ไชคอฟสกี เล่าเรื่องของหงส์ขาวผู้ไร้เดียงสาและอ่อนไหว กับหงส์ดำที่เย้ายวนและแสนทะเยอทะยาน โดยโธมัสต้องการให้นักบัลเลต์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มารับบทเป็นหงส์ทั้งสอง ปัญหาคือนีนารับบทเป็นหงส์ขาวได้ไร้ที่ติ แต่เมื่อเธอต้องรับบทเป็นหงส์สีดำ เธอกลับติดขัดจนโธมัสมองข้าม และหันไปสนใจ ลิลี (มิลา คูนิส) นักบัลเลต์สาวที่เพิ่งย้ายเข้าคณะมาใหม่แทน

Black Swan สำรวจภาวะจมจ่อมอยู่กับความสมบูรณ์แบบของนีนา เธอเคียดแค้นชิงชังตัวเองที่ไม่อาจเป็นหงส์ดำอันสมบูรณ์ได้ ขณะที่อีกด้าน หนังก็สำรวจชีวิตส่วนตัวอันเปราะบางระหว่างเธอกับแม่ กับห้องนอนของนีนาที่จัดวางเหมือนเธอยังเป็นเด็กผู้หญิง แม่ที่ประคบประหงมเธอราวกับยังเป็นเด็ก หรือการบงการชีวิตลูกสาวที่ชวนให้คิดว่า ทำไมนีนาจึงมีบุคลิกไม่สู้คน หรือแม้แต่ยึดติดอยู่กับความไร้เดียงสาบางอย่าง พร้อมกันนั้นหนังก็ค่อยๆ เผยให้เห็นความหลอนหลอกที่ทิ่มแทงขึ้นมาในสามัญสำนึกของเธอ ทั้งการตื่นรู้ทางเพศ การทึกทักว่า ลิลีจะมาแทนที่เธอ หรือแม้แต่การเห็นภาพหลอนที่ตัวเองกำลังกลายเป็นนางหงส์

หนังถ่ายทำด้วยงบ 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แถมระหว่างถ่ายทำอโรนอฟสกียังจนตรอก ระดับที่พอร์ตแมนออกเงินส่วนตัวเพื่อไปเรียนบัลเลต์ แถมยังต้องแอบไปถ่ายในสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาต (ตามเคย) “จำได้เลยว่าโปรดิวเซอร์ทุกคนปฏิเสธ Black Swan กันหมด ทุกคนจริงๆ” อโรนอฟสกีบอก “จะมีก็แค่โปรดิวเซอร์ฝ่ายบริหารคนหนึ่งที่บอกผมว่า หนังไม่มีทางไปรอดหรอก เพราะแฟนๆ บัลเลต์ไม่ชอบหนัง Horror แถมแฟนหนัง Horror ก็ไม่ชอบบัลเต์

“แต่นั่นแหละ ตั้งแต่เขียนบทแล้ว ผมอยากทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับโลกของการเต้นบัลเลต์ และอยากทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับนิยายเรื่อง The Double ของ ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี (นักเขียนชาวรัสเซีย) เหมือนกัน” เขาบอก “แล้วได้ไปดูเรื่อง Swan Lake แบบที่ทั้งชีวิตก็ไม่เคยดูบัลเลต์มาก่อนด้วยนะ แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นหงส์ดำและหงส์ขาวที่รับบทโดยนักแสดงคนเดียวกัน ผมอึ้งไปเลย เป็นประมาณโมเมนต์ยูเรก้าทำนองนั้น เพราะมันคือเรื่อง The Double ในโลกของการเต้นบัลเลต์ยังไงล่ะ!

“อีกอย่าง ผมว่า Swan Lake มันก็โกธิกอยู่นะ เพราะเรื่องมันคือตอนกลางวัน เธอเป็นหงส์ ตกกลางคืน เธอเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งหงส์ ผมยังคิดอยู่เลยว่า อย่างกับหนังมนุษย์หมาป่า แค่ว่าเธอเป็นมนุษย์หงส์เท่านั้นเอง”

อย่างไรก็ดี Black Swan ทำเงินไปได้มหาศาลที่ 330 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กวาดคำชมมหาศาลทั้งในแง่การกำกับ เทคนิค และการแสดงของนักแสดงถ้วนหน้า ยิ่งส่งให้อโรนอฟสกีกลายเป็นคนทำหนังที่ถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในเวลานั้น

แต่ในหนังเรื่องต่อมา เขาไม่ได้ทำหนัง Horror ตามรอยความสำเร็จเก่า แต่หวนไปสำรวจประเด็นทางศาสนาอีกครั้งใน Noah (2014) กับทุนที่หนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดัดแปลงหลวมๆ มาจากเรื่องราวของเรือโนอาห์ในวันสิ้นโลกจากหนังสือปฐมกาล โนอาห์ (รัสเซลล์ โครว์) เชื่อว่า พระเจ้ากำลังทำให้น้ำท่วมโลก ทางออกเดียวของเขาคือการต่อเรือขนาดยักษ์ขึ้นมาเพื่อจะพาครอบครัวของเขาให้พ้นจากหายนะ ท่ามกลางสายตาเดียดฉันท์จากคนในหมู่บ้านที่มองว่าเขากำลังวิปลาส

ว่าไปแล้ว หนังของอโรนอฟสกีก็ยังพูดถึงความหมกมุ่นในศรัทธาต่อบางสิ่ง กรณีนี้คือตัวโนอาห์ที่ตะบี้ตะบันต่อเรืออย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ในอีกด้านหนึ่ง ทูบันคาอิน (เรย์ วินสตัน) เพื่อนร่วมหมู่บ้านของโนอาห์ก็ตั้งคำถามต่อพระเจ้า และอำนาจในการ ‘ลงโทษ’ ผองมนุษย์ การตั้งคำถามของเขานำพาให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโนอาห์ (ที่เดิมทีก็เปราะบางอยู่แล้ว) แตกหักรุนแรง 

Noah เป็นหนังที่พูดถึงเส้นเรื่องหนึ่งในศาสนาคริสต์ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทียกยอปอปั้นหรือศรัทธาอย่างหน้ามืดตามัว ตรงกันข้าม มันมีน้ำเสียงของการตั้งคำถามต่อความบอดใบ้ของมนุษย์สามัญที่มีต่อความเชื่อ “ผมสนใจโนอาห์มาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะผมว่าเขาดำมืด ซับซ้อนและใช้ชีวิตที่เหลือต่อมาด้วยความรู้สึกผิดที่รอดชีวิตแบบสุดๆ”

อโรนอฟสกียังสนใจสำรวจเรื่องราวว่าด้วยศรัทธาและศาสนาใน Mother! (2017) หนังเฮี้ยนระเบิดระเบ้อที่ทำอีท่าไหนไม่รู้ แต่ส่ง 2 นักแสดงนำอย่าง ฆาเบียร์ บาเด็ม และเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เข้าชิงรางวัลนักแสดงยอดแย่จากเวทีราซซี ส่วนอโรนอฟสกีชิงกำกับยอดแย่ในเวทีเดียวกัน หนังพูดถึง เขา (บาเด็ม) กวีหนุ่มที่ไปปลูกบ้านอยู่กลางเวิ้งทุ่งแห่งหนึ่ง เธอ (ลอว์เรนซ์) เมียรักทำนุบำรุงตกแต่งบ้านทั้งวัน และสัมผัสได้ว่าบ้านทั้งหลังมี ‘หัวใจ’ หนึ่งดวงเต้นอยู่

บ้านอันสุขสงบของทั้งสองเริ่มว้าวุ่นขึ้นเมื่อชายแปลกหน้าคนหนึ่งขอเข้ามาพักอาศัยในบ้าน ไม่นานหลังจากนั้น เมียของเขาตามมาด้วย ซึ่งทำให้เธอไม่พอใจเพราะบ้านเริ่มไม่สงบ หนักข้อไปกว่านั้นคือ ลูกชายของสองผัวเมียตามเข้ามาด้วย และทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก ค่ำคืนนั้น เธอพบว่าฝูงแมลง กบบุกเข้ามาทั่วบ้าน มิหนำซ้ำตามผนังยังมีเลือดปริศนาไหลไม่หยุด ราวกับบ้านทั้งหลังมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับจลาจลที่ระเบิดตัวขึ้นในชายคา เมื่อจู่ๆ สามีของเธอก็อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน พวกเขาบุกทำลายข้าวของเครื่องใช้ไม่เหลือ พังอ่างล้างจาน ทำให้บ้านที่เธอประคบประหงมมาอย่างดีพังราบคาบ

และเมื่อเธอตั้งท้อง ทำให้ผู้เป็นสามีมีแรงใจในการเขียนงานอีกครั้ง แต่เมื่อเธอให้กำเนิดบุตร สามีของเธอก็อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เพื่อให้คนเหล่านั้นเฉลิมฉลองบทกวีที่เขาเขียน และได้ใกล้ชิดบุตรที่เพิ่งถือกำเนิด ยังผลไปสู่โศกนาฏกรรมที่รุนแรงในท้ายที่สุด

มองในภาพใหญ่ Mother! ดูจะใช้โครงของคัมภีร์ไบเบิลมาเล่าเรื่อง และสามารถแทนสมการว่าเขาคือพระเจ้า ขณะชายผู้มาเยือนคนแรกคืออดัม เมียของเขาคือเอวา และสองพี่น้องที่ห้ำหั่นกันถึงเลือดถึงเนื้อคือคาอินและอาเบล ส่วนเธอเป็นเสมือนผืนพิภพ เป็นโลกที่ถูกกระทำโดยพระเจ้าและมนุษย์ของพระองค์

The Whale (2022) เป็นหนังของอโรนอฟสกีอีกเรื่องที่ส่งนักแสดงนำอย่าง เบรนแดน เฟรเซอร์ คว้ารางวัลออสการ์ได้ ทั้งยังเป็นการหวนกลับมายังเวทีการแสดงอย่างทรงพลังสุดๆ ของเฟรเซอร์ด้วย โดยที่ผ่านมา เขาออกมาพูดประเด็นที่เคยถูกโปรดิวเซอร์ชายล่วงละเมิดทางเพศ ยังผลให้งานการเขาหดหายอยู่หลายปี ไม่มีโปรเจกต์ใหญ่ๆ มาถึงมือ การได้มารับบทใน The Whale หนังดราม่าที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ละครเวทีชื่อเดียวกันของ ซามูเอล ดี ฮันเตอร์ จึงเป็นเสมือนการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และถูกหมายตาว่า จะส่งเขาชิงรางวัลได้ตั้งแต่ประกาศโปรเจกต์ เพราะทั้งเรื่อง เขารับบทเป็นชายร่างยักษ์ที่จมกับความทุกข์ และถอนไถ่ตัวเองด้วยการกินจนไม่ยอมออกจากบ้าน

ชาร์ลี (เฟรเซอร์) เป็นศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมและเป็นโรคอ้วนระดับใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ เขามีเพื่อนเพียงคนเดียวคือ ลิซ (ฮอง เชา) ที่คอยแวะเวียนมาดูแล และเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าอกเข้าใจอดีตอันร้าวลึกของเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ลิซก็ไม่อาจผลักดันให้ชาร์ลีออกจากห้องเพื่อเข้าโรงพยาบาลตรวจสุขภาพได้

ชาร์ลีสั่งพิซซ่ามากินทุกวัน พนักงานส่งอาหารเป็นคนหน้าเดิมๆ ที่เฝ้าสงสัยว่าเขาอยู่อย่างไร แต่ทั้งสองก็ไม่เคยสนทนากันมากไปกว่าการกล่าวทักทายและขอบคุณ โดยไม่นานหลังจากนั้น โธมัส (ไท ซิมป์กินส์) มิชชันนารีหนุ่มก็บังเอิญเข้ามาเผยแผ่ศาสนาหน้าห้องชาร์ลี และจับพลัดจับผลูเข้าไปในโลกส่วนตัวของเขาโดยบังเอิญ เป็นจังหวะเวลาเดียวกันกับที่ เอลลี (ซาดี ซิงก์) ลูกสาวผู้ห่างเหินและก้าวร้าวของชาร์ลีกลับเข้ามาในชีวิต บาดแผลและความเปราะบางทั้งมวลของเขาจึงปรากฏกลับขึ้นมาอีกครั้ง บีบบังคับให้เขาสบตาด้วยอีกหน

ธีมหลักที่คลุมหนังไว้ คือการจมอยู่กับบาดแผลบางอย่างและการทำลายตัวเอง ที่ว่าไปก็เป็นเสมือนหนึ่งในประเด็นที่อโรนอฟสกีสนใจสำรวจเสมอมา ทั้งหากมองจากภาพกว้างแล้ว การทำลายตัวเองของชาร์ลีไม่ใช่แค่การไม่ยอมไปพบแพทย์หรือการเก็บตัวอยู่ลำพัง แต่ยังรวมถึงการตะบี้ตะบันกินอาหารอย่างไม่ปรานีต่อร่างกายตัวเอง สำหรับชาร์ลี การกินจึงไม่ใช่เป็นหนทางในการมีชีวิต แต่เป็นกระบวนการในการลงโทษ โบยตีตัวเอง ทั้งยังเป็นเครื่องมือประหารในการนำพาเขาให้เข้าใกล้ความตายขึ้นอีกก้าว

“ไม่รู้เหมือนกันนะ ผมพบประเด็นเรื่องศาสนาใน The Whale มากทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มาจากการเขียนของแซม ฮันเตอร์นั่นแหละ เพราะเขาโตมากับศาสนา” อโรนอฟสกีบอก “ผมสนใจเรื่องศาสนาและความเชื่อมาแต่ไหนแต่ไร มันเหมือนเป็นเรื่องลึกลับสำหรับผม และผมก็คิดว่าตำนานพวกนี้ทรงพลังเหลือเกิน ผมสนใจเรื่องความเชื่อน้อยลง แต่สนใจพลังของเรื่องเล่ามากขึ้น”

และแม้ว่าหนังยาวลำดับล่าสุดของเขาอย่าง Caught Stealing จะค่อนไปทางชวนหัวและติดตลกกว่าเรื่องก่อนๆ แต่ถึงที่สุด มันก็ยังเปี่ยมไปด้วยองค์ประกอบในแบบของอโรนอฟสกี ทั้งเรื่องของคนที่ติดอยู่กับอดีต จมอยู่กับแผลบางอย่าง และถึงที่สุดก็ยังอุตส่าห์เล่าเรื่องของศาสนาผ่านสองพี่น้องชาวยิวสุดเคร่ง ซึ่งไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบหนังอย่างไร คงยากจะปฏิเสธถึงความแน่วแน่ตั้งใจของอโรนอฟสกี ในการท้าทายตัวเองและทดลองเล่าหนังในเหลี่ยมมุมที่แปลกใหม่ไปจากที่เขาเคยทำมาตลอด

Tags: , , , , , , , , , , ,