“เราอยากตั้งคำถามว่า เทคโนโลยีตรวจหาเชื้อ HIV มันไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะเอามาใช้ยืนยันความปลอดภัยหรือ ทำไมเรายังถูกกีดกันจากการบริจาคเลือดอยู่”

เสียงสะท้อนจาก ปุญชรัสมิ์ ตาเลิศ ประธานชมรมหลากหลายทางเพศเมืองขอนแก่น ผู้ถูกสภากาชาดไทยปฏิเสธรับเลือดที่เธอตั้งใจบริจาคมามากถึง 5 ครั้ง ด้วยเหตุผลว่า เธอมีรสนิยมแบบชายรักชาย ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงในสายตาของสภากาชาดไทย

มากกว่าการไม่ให้บริจาคเลือด ปุญชรัสมิ์ถูก ‘แบล็กลิสต์’ ไม่ให้เข้าบริจาคเลือดกับสภากาชาดไทยอีกตลอดชีวิต เพราะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้มีเลือดเสี่ยงพบเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้เธอต้องฟ้องร้องว่า ถูกเลือกปฏิบัติ

ทว่าศาลวินิจฉัยออกมาแล้วว่า สิ่งที่เธอเผชิญ ‘ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ’

The Momentum สำรวจมุมมองของหญิงข้ามเพศผู้ถูกปฏิเสธไม่ให้บริจาคเลือดตลอดชีวิต และคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) ในวันที่รสนิยมเพศสัมพันธ์ชายรักชาย ไม่สามารถบริจาคเลือดให้สภากาชาดไทยได้

ความตั้งใจบริจาคเลือด สู่การทดสอบสังคม

“เราเคยบริจาคเลือดมาก่อน แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงข้ามเพศก็เลยถูกปฏิเสธมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แล้วก็ไปบริจาคเรื่อยๆ ตามห้างสรรพสินค้าหรือที่สภากาชาด แต่ก็โดนปฏิเสธหมด”

ปุญชรัสมิ์เข้าร่วมบริจาคเลือดครั้งแรกตั้งแต่อายุ 19 ปี แต่เพราะเป็นหญิงข้ามเพศและมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศชายกับเพศชาย ทำให้ถูกตัดสิทธิที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม แม้ว่าสภากาชาดจะไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้มีรสนิยมเพศเดียวกัน เดินทางมายังจุดที่รับบริจาค แต่ท้ายที่สุดคนกลุ่มนี้ก็จะถูกคัดกรองไม่ให้ร่วมบริจาคเลือด ตั้งแต่กรอกข้อมูลในใบสมัครว่า มีประวัติเคยมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันหรือไม่

“เขา (สภากาชาดไทย) มองเราเป็นกลุ่มเสี่ยงในการรับเชื้อ HIV เขาจึงปฏิเสธเรา ทั้งๆ ที่เรามีเอกสารผลเลือดมาให้เขาดูแล้ว แต่เขาก็ไม่ดู”

ด้วยความอยากรู้ว่า การถูกปฏิเสธไม่ให้บริจาคเลือดในแต่ละครั้งเกิดจากเพราะเธอมีความเสี่ยงจริง หรือเพราะถูกตัดสิทธิจากรสนิยมทางเพศและเพศสภาพของเธอ ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ปุญชรัสมิ์จึงเข้ารับการบริจาคเลือดอีกครั้งที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ

ครั้งนี้เธอเตรียมตัวมาอย่างดี มีผลตรวจเลือดที่ยืนยันว่า ไม่ได้เป็น HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากคลินิกรับตรวจเลือดถึง 2 แห่ง คือสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (RSAT) และมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) ให้เจ้าหน้าที่เป็นหลักฐานว่า เธอไม่ได้เป็นผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง และสามารถบริจาคเลือดได้

“แต่เราก็ต้องไปกรอกข้อมูลในใบสมัครที่ถามว่า คุณเคยมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือเปล่า ซึ่งเราก็ต้องติ๊กว่าเคยมีตามความเป็นจริง แต่เรามีเพศสัมพันธ์แบบป้องกัน มันเลยไม่เข้าข่ายมีพฤติกรรมเสี่ยง

“พอเราไปถึงห้องซักประวัติ เจ้าหน้าที่เห็นคำนำหน้าชื่อเรา กับข้อมูลที่เราให้ไว้ในใบสมัครว่า เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายมาก่อน เขาก็ปฏิเสธเราทันทีเลยแล้วบอกว่า เราคือกลุ่มเสี่ยง เราถามเขาว่า เราบริจาคเลือดไม่ได้เลยหรือ เพราะเราไม่ได้มีพฤติกรรมเซ็กซ์ที่เสี่ยงเลยนะ แฟนเราก็เป็นทอม ตัวเราก็ผ่าตัดแปลงเพศ และไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายมานานกว่า 2 ปีแล้ว เขาก็ให้เหตุผลว่า ถ้าเป็นกลุ่มเพศสัมพันธ์แบบชายกับชายหรือว่ากลุ่มข้ามเพศ อย่างไรก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ไม่สามารถบริจาคเลือดได้”

ในวันที่ 30 กันยายน 2563 ปุญชรัสมิ์เดินหน้าสู้เพื่อจะพิสูจน์อีกครั้งว่า ความเสี่ยงอยู่ที่พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง ไม่ใช่รสนิยมทางเพศ ด้วยการเดินทางไปบริจาคเลือดพร้อมกับเอกสารผลเลือดเช่นเดิม

“พอไปถึงเขาก็ออกบัตรบริจาคโลหิตใหม่ให้เรา แต่มีรหัสบางอย่างวงเล็บมาให้เราในใบด้วย เราสงสัยเลยถามเขาว่า มันคือรหัสอะไรที่ห้องซักประวัติ เขาก็บอกว่า นี่เป็นรหัสที่บอกว่า คุณไม่สามารถบริจาคเลือดได้อย่างถาวร เราก็ถามว่าเพราะอะไร เขาก็บอกว่า เพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง การที่คุณเสี่ยงแล้วคุณมาบริจาค คุณจะไม่มีสิทธิบริจาคได้อีกเลย จึงได้รหัสนี้มาในบัตร”

จากสุขภาพสมบูรณ์พร้อม มีเลือดที่ปลอดภัยซึ่งยืนยันด้วยผลตรวจมากกว่า 1 สถาบัน ขณะเดียวกันยังเว้นระยะการมีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชายมานานกว่า 2 ปี กลับกลายเป็นผู้มีเลือดเสี่ยงจากการจัดกลุ่มของเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของสภากาชาดยังไม่ได้ตรวจเลือดของเธอ เพื่อยืนยันว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่

เมื่อรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ปุญชรัสมิ์จึงนำประเด็นนี้เข้าร้องเรียนกับคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) โดยคณะกรรมการฯ มีคำวินิจฉัยที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2565 ให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแบบคัดกรองผู้บริจาคโลหิต ไม่ให้เลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยให้มุ่งพิจารณาจาก ‘พฤติกรรมเสี่ยง’ ทางเพศสัมพันธ์แบบรายบุคคลแทน

‘ปฏิเสธไม่รับเลือด’ เลือกปฏิบัติหรือไม่เลือกปฏิบัติ?

การวินิจฉัยกรณีสภากาชาดไทยปฏิเสธรับโลหิตของหญิงข้ามเพศว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่นั้น เป็นกรณีแรกที่คณะกรรมการ วลพ.ต้องวินิจฉัยโดยไม่มีบรรทัดฐานเหมือนกับกรณีอื่นๆ เช่น การแต่งกายในโรงเรียน คำร้องเรียนจึงเข้าสู่การพิจารณาในชั้นคณะกรรมการชุดใหญ่โดยตรง แทนที่จะผ่านการพิจารณาจากอนุกรรมการก่อน

รณภูมิ สามัคคีคารมย์ หนึ่งในคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศในครั้งนั้น ให้ข้อมูลว่า การปฏิเสธไม่รับเลือดไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติด้วยตัวมันเอง เพราะคนทั่วไปสามารถถูกปฏิเสธจากการบริจาคเลือดได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีเลือดไม่สมบูรณ์ มีโรคประจำตัว หรือกินยาบางชนิดที่ทำให้ไม่สามารถบริจาคเลือดได้

“แต่คณะกรรมการ วลพ.ขีดเส้นใต้ว่า กระบวนการที่ทำให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงว่า ใครไม่สามารถบริจาคเลือดได้ เราคุยกันว่า กระบวนการเลือกปฏิบัติก็คือแบบคัดกรองว่า คนไหนเข้าคุณสมบัติของการไม่บริจาคเลือดบ้าง

“ลองไปค้นหาดูแบบคัดกรองบริจาคเลือดที่ตอนนี้มีถึง 13 ฉบับ จะเห็นได้เลยว่า ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย ก็จะไม่ได้บริจาคเลือดเลย นี่เป็นประเด็นแรก

“ส่วนประเด็นที่ 2 คือ หญิงข้ามเพศที่ได้รับบัตรไม่สามารถบริจาคเลือดได้แบบถาวร ซึ่งศาลปกครองกลางเห็นพ้องตรงกับ วลพ.ว่า มันเป็นการเลือกปฏิบัติชัดเจน ไม่ควรจะออกบัตรนี้ให้กับใคร ต่อให้เราเป็นผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่เราอาจจะไม่ได้มีเชื้อ HIV อยู่ในเลือดก็ได้ และหลังจากนั้นอีก 3 เดือนก็ค่อยตรวจเลือดใหม่ หากไม่มีเชื้อ HIV และโรคติดต่อก็เข้าคุณสมบัติสามารถบริจาคเลือดได้อยู่ดี”

นอกจากเว้นระยะจากช่วงเวลาที่มีพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงเพื่อให้ผ่านช่วงที่ร่างกายได้รับเชื้อ HIV มาแล้ว แต่ยังไม่สามารถตรวจพบได้ (Window Period) ปัจจุบันนี้ยังมีหลักการที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่าง U=U (Undetectable=Untransmittable) หมายถึงผู้ติดเชื้อ HIV อยู่ในภาวะ ‘ตรวจไม่พบ’ เนื่องจากได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้เชื้อไวรัสมีปริมาณที่ลดลงต่ำมากถึงระดับที่เครื่องมือวัดมาตรฐานไม่สามารถตรวจพบเชื้อ ซึ่งรณภูมิต้องการจะชี้ว่า สถานะของเลือดนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้

“ตอนที่เราเชิญองค์การอนามัยโลกกับหน่วยงานที่ทำด้านเอดส์ในสหรัฐอเมริกามาพูดคุย เขาก็ยืนยันว่า อย่าเหมารวมรสนิยมทางเพศ ให้มีการคัดกรองตามพฤติกรรมทางเพศ และการตรวจ HIV ในเลือดทุกถุง ไม่ใช่ว่าพอเขามีรสนิยมเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามแล้ว ถือว่าไม่เสี่ยงแล้วก็ไม่ตรวจเลือดของเขา แต่สภากาชาดเขาก็อ้างเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ว่า มันมีค่าใช้จ่ายสูง

“แต่หากเป็นธนาคารเลือดที่อื่นๆ นอกจากสภากาชาดไทย ทำไมเขาสามารถคัดกรองความเสี่ยงจากพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ได้ โดยไม่ต้องเหมารวมเป็นกลุ่มเสี่ยงเลย” รณภูมิตั้งคำถาม

ในวันที่ 1 มีนาคม 2565 คณะกรรมการ วลพ.จึงมีคำวินิจฉัยว่า การที่สภากาชาดไทยใช้แบบคัดกรองที่ปฏิเสธการรับบริจาคโลหิต จากกลุ่มบุคคลข้ามเพศและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย ถือเป็นการ ‘เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ’ และให้ดำเนินการแก้ไข 2 ประเด็น คือ

1. ให้ยกเลิกการใช้เกณฑ์เรื่องเพศหรือเพศสภาพแบบเหมารวม โดยอ้างเพศกำเนิด เพศสภาพ รสนิยมทางเพศ มาเป็นตัวคัดกรองความเสี่ยง เนื่องจากมองว่า ไม่ได้เป็นวิธีการคัดกรองความเสี่ยงที่แท้จริง โดยให้เปลี่ยนมาใช้พฤติกรรมเสี่ยงเป็นเกณฑ์ เพื่อคัดกรองแบบรายบุคคล

2. ให้สภากาชาดไทยประชาสัมพันธ์นโยบายการรับบริจาคโลหิตใหม่ ที่เปิดรับบุคคลทุกเพศผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบ

ทั้งนี้สภากาชาดไทยฟ้องต่อศาลปกครองกลางในปี 2565 ในคดีหมายเลขดำ 1062/2565 ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ.ที่ให้สภากาชาดปรับเปลี่ยนแบบคัดกรองผู้บริจาคโลหิต อย่างไรก็ตาม The Momentum ติดต่อขอสัมภาษณ์บุคลากรของสภากาชาดไทย แต่ถูกปฏิเสธ และได้รับข้อมูลเป็นงานวิจัย ‘ติดตามสรุปผลการวิจัย ความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อทางโลหิตในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย’ และอินโฟกราฟิก ‘ข้อควรรู้เพศสัมพันธ์กับการบริจาคโลหิต’ เท่านั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 1062/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 1961/2568 ซึ่งสรุปได้ว่า เมื่อพิจารณาจากการไม่ให้ผู้มีเพศสัมพันธ์แบบชาย-ชายบริจาคเลือดในนานาประเทศ พบว่ามีข้อมูลว่า พฤติกรรมดังกล่าวมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง ในขณะที่สภากาชาดไทยมีความจำเป็นในการคัดกรองโลหิตและผู้บริจาคเลือดให้มีความปลอดภัย ทั้งยังไม่ได้มีการกำหนดเวลาที่ให้งดบริจาคเลือดไว้ สภากาชาดไทยจึงต้องปฏิเสธการรับเลือด

ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาของศาลปกครองกลางระบุว่า “และเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าว กับประโยชน์ของผู้รับบริจาคโลหิตที่จะได้รับโลหิตที่มีความปลอดภัยแล้ว หากให้ผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวบริจาคโลหิตได้โดยยังมิได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้เป็นการเฉพาะจากข้อมูลการศึกษาวิจัยอย่างเหมาะสมจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคล ดังกล่าวน้อยมาก และไม่คุ้มกับความเสียหายที่จะก่อให้เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วย ผู้รับบริจาคโลหิต หรือสังคม โดยส่วนรวมที่มีโอกาสได้รับโลหิตที่ไม่ปลอดภัย ”

ดังนั้นศาลจึงเห็นว่า หากไม่มีการใช้แบบคัดกรองโลหิตและการสัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี อาจจะทำให้ความปลอดภัยของโลหิตที่บริจาคลดน้อยลง แม้การปฏิเสธรับบริจาคโลหิตจากผู้ร้องของเจ้าหน้าที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ร้อง แต่เพราะมีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมาย เพื่อคัดกรองโลหิตที่มีความปลอดภัยตามเป้าหมายงานบริการโลหิต จึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ

รณภูมิระบุว่า คำพิพากษาของศาลปกครองอาจสร้างผลกระทบ ที่มากกว่าแค่การตัดสิทธิการบริจาคเลือดของผู้มีความหลากหลายทางเพศ

“เอาในระดับปัจเจกก่อน ผมคิดว่าคนที่ตามข่าวนี้ เขาจะต้องได้รับผลกระทบทางด้านจิตวิทยาสังคม เขาอาจจะคิดว่า ตัวตนของฉันหรือพฤติกรรมของฉันเป็นสิ่งที่ปกติแค่ในบางพื้นที่ เช่น ในสมรสเท่าเทียม แต่เขาจะกลายเป็นคนที่ผิดปกติทันทีเมื่ออยู่ในพื้นที่ทางการแพทย์

“ประเด็นที่ 2 คำวินิจฉัยนี้จะยิ่งตอกย้ำให้คนรู้สึกว่า สิ่งที่เขาเชื่อมาว่าคนกลุ่มนี้เสี่ยง มีเชื้อโรคอยู่ในตัว มันเป็นความจริง เพราะว่ามันมีเหตุการณ์มาตอกย้ำคือ การปฏิเสธรับเลือด ทุกวันนี้คณะกรรมการ วลพ.ก็ยังพบเคสผู้มีความหลากหลายทางเพศสมัครงาน แล้วถูกรีเควสให้ไปตรวจ HIV ทหารยังบังคับให้ตรวจ HIV อยู่ ยังไม่นับมุมมองของคนในวงการแพทย์ที่อาจจะมองว่า LGBTQIA+ มีความเสี่ยง ซึ่งมันจะไปตอกย้ำว่า คนที่มีรสนิยมแบบนี้หรือเลือกชีวิตเป็นแบบนี้ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ความเสี่ยงของโรค” รณภูมิกล่าว

ด้านปุญชรัสมิ์ให้ความเห็นว่า การบริจาคเลือดควรจะใช้พฤติกรรมเสี่ยงของบุคคล ไม่ใช่เหมารวมเอารสนิยมมาเป็นกลุ่มเสี่ยง

“เลือดกรุ๊ปโอด้วย มันมีประโยชน์กับหลายๆ คน สามารถช่วยคนหลายๆ คนได้ แต่ทำไมเราเข้าไม่ถึงการบริจาคเลือด รวมไปถึงยังถูกเหมารวมและถูกตีตราด้วยว่า เราเป็นกลุ่มเสี่ยง ต่อให้เราไม่มีเพศสัมพันธ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี เราก็ยังคงถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงอยู่

“ส่วนตัวรู้สึกว่า การที่จะทลายกรอบการบริจาคเลือด ควรจะใช้พฤติกรรมเสี่ยงรายบุคคล ไม่ใช่เอารสนิยมมาเหมาเป็นกลุ่มเสี่ยง มันไม่เหมาะกับการบริจาคเลือด และมันยังทำให้สภากาชาดไทยขาดแคลนเลือด ฉะนั้นแบบสอบถามของคุณก็ควรจะเปลี่ยนเป็นแบบสอบถามที่ถามพฤติกรรมเสี่ยงแทน ไม่ใช่เป็นคำถามเชิงปฏิเสธหรือกีดกันโดยอ้อม” ปุญชรัสมิ์ทิ้งท้าย

อ้างอิง 

https://admincourt.go.th/ADMINCOURT/upload/webcms/News/News_190925_170411.pdf?v2 

Tags: , , , , ,