เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาสจากเพจโบราณคดีเชิงวิพากษ์-Critical Archaeology ให้เข้าร่วมเป็นสปีกเกอร์ เพื่อร่วมกันหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า ‘พระพุทธเจ้าเกิดที่ไหน’ โดยผมได้รับมอบหมายให้นำเสนอแง่มุมโบราณคดี โดยเฉพาะหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้อง
ขอย้อนเท้าความสักเล็กน้อยว่า ‘เหตุ’ แห่งการเสวนาครั้งนี้เกิดขึ้นมาจากมีกลุ่มนักวิชาการในประเทศไทย เสนอแนวทางในการมองพุทธประวัติที่เรียกได้ว่า ‘แตกต่าง’ ไปจากงานวิชาการกระแสหลักเป็นอย่างมากคือ ‘พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธ์ปรินิพพาน ในประเทศไทย’
น่าสนใจมากว่า จากการสืบค้นของ ปารมี ปาลียะ นักศึกษาผู้ร่วมเสวนาพบว่า ที่มาที่ไปของความคิดนี้อาจอ้างได้ว่า เริ่มมาจากคำกล่าวอ้างถึงคำพูดของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและได้รับการนับถือโดยผู้คนวงกว้าง ผมขอเน้นตรงคำว่า ‘กล่าวอ้าง’ ก่อน เพราะเรายังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า พระสงฆ์องค์นั้นกล่าวถ้อยแถลงนี้จริงหรือไม่ โดยคำกล่าวอ้างนั้นระบุว่า “ชาวมคธโบราณคือ คนไทย พระพุทธเจ้าคือ ชาวไทย”
หากนับดูพุทธศักราช คำพูดของพระสงฆ์รูปนี้ควรจะตกอยู่ในห้วงครึ่งหลังของ พ.ศ. 2400 (2450-2500) นับว่าคำกล่าวนี้มีอายุเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับแนวคิด ‘พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธ์ปรินิพพาน ในประเทศไทย’ และน่าคิดมากว่า ความคิดชุดนี้ได้รับการขยายอย่างมากช่วง 2520-2550 ซึ่งไม่นานมานี้เอง โดยเกิดการนำตำนานศักดิ์สิทธิ์ท้องถิ่นต่างๆ เข้ามาผูกโยงกับพุทธประวัติ เช่น ตำนานพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี, ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
คำอธิบายว่าด้วยตำนาน
ในส่วนนี้ผมขอยกคำอธิบายว่าด้วยตำนานของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉันทัส เพียรธรรม ที่กล่าวไว้ระหว่างการเสวนา อาจารย์อธิบายว่า ตำนานพุทธศาสนาที่มี Tradition แบบลังกานั้นมีอายุคร่าวๆ อยู่ในช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 20 (ราว พ.ศ. 1950) สัมพันธ์กับการสถาปนาพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ในแผ่นดินสุโขทัย ล้านนา และอื่นๆ
พุทธตำนานในช่วงนั้นแบ่งได้เป็น 2 กระแสคือ 1. ตำนานอธิบายถิ่น มี พระเจ้าเลียบโลก, ตำนานอุรังคธาตุ เป็นอาทิ และ 2. ชาดกนอกนิบาต-ปัญญาสชาดกคือ ชาดกนอกพระไตรปิฎกซึ่งแต่งขึ้นโดยคนท้องถิ่น เพื่อสร้างความเบื่อหน่ายใน ‘การเกิดแล้วเกิดอีก’
สำหรับตำนานอธิบายถิ่นนั้น มีลักษณะสำคัญคือ เล่าย้อนกลับไปถึงครั้งพุทธกาล โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมา ณ ดินแดนหนึ่งๆ ก่อนจะทรงแถลงพุทธทำนายเนื่องด้วยดินแดนนั้นๆ ว่า ในอนาคตจะเป็นอย่างไร เช่น ตำนานอุรังคธาตุ เล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ถึงภูกำพร้า (ดอยกปณคิรี) ว่าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกหน้าอก) และพระมหาจักรพรรดิจะมาก่อพระธาตุครอบเอาไว้ อันหมายถึง พระธาตุพนม
เมื่อพิจารณาแล้ว ตำนานประเภทนี้มีที่มาสำคัญจากแนวทางการเล่าเรื่องการประดิษฐานพุทธศาสนาในประเทศศรีลังการะบุเอาไว้ในคัมภีร์สำคัญ 2 เล่มคือ มหาวงศ์และทีปวงศ์ ซึ่งเขียนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 10 ดังนั้นตำนานแบบนี้จึงเป็นแบบศรีลังกา และมีไว้เพื่อการอธิบายภูมิหลังของสถานที่หนึ่งๆ ผ่านวิธีการเล่าเรื่องแบบพุทธประวัติ
ผลคือ เกิดการยึดโยงพุทธประวัติเข้ากับท้องถิ่น เกิดเป็นความทรงจำร่วม (Collective Memory) ในหมู่คนท้องถิ่นผู้นับถือพุทธศาสนา ทั้งยังยึดคนท้องถิ่นที่อยู่ไกลกับแหล่งกำเนิดพุทธศาสนาให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโลกพุทธศาสนา (Higher Collective Memory) ความเข้มข้นนี้ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอาจมีที่มาเนื่องด้วยการล้มลงของพุทธภูมิสำคัญ (อินเดียและศรีลังกา) อันส่งผลในประเทศไทยถูกสถาปนาขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางใหญ่ของพุทธศาสนาสายลังกา-เถรวาท นับแต่ช่วงอยุธยาตอนกลาง
เป็นไปได้ไหมว่า ด้วยเหตุนั้นคนไทยจึงมองว่า ตนเป็นใหญ่ในโลกพุทธศาสนา นำไปสู่การดึงเอาพุทธศาสนามาไว้ใกล้ตัว ซ้อนทับพุทธภูมิขึ้นในแผ่นดินของตน
จุดยืนทางโบราณคดี
ในข้อนี้ผมเคยชี้แจงไปแล้วถึงหลักฐานความเก่าแก่ของพุทธศาสนาในอินเดีย ในบทความเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียสู่ท้องสนามหลวง ฉะนั้นจึงจะขอขยายความเพียงเล็กน้อยว่า เมื่อเราพิจารณาแหล่งโบราณคดีอันเนื่องในพุทธศาสนา เราจะพบความน่าสนใจหนึ่งคือ แหล่งโบราณคดีที่ได้รับการขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานเก่าย้อนกลับไปได้ถึงราวพุทธศตวรรษที่ 1 กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่รอบบริเวณสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง (สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน) หรือมีความเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติโดยตรงเป็นหลัก
แหล่งโบราณคดีสำคัญ 3 แห่ง ประกอบด้วยสวนลุมพินี เมืองไวศาลี และหมู่บ้านปิปราห์วา พบหลักฐานซึ่งกำหนดอายุได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และการกำหนดอายุเชิงเทียบได้ราวพุทธศตวรรษที่ 1 เช่น การขุดค้นภายในมหามายาเทวีวิหาร สวนลุมพินี ประเทศเนปาล พบชิ้นส่วนอาคารไม้ ซึ่งนำไปกำหนดอายุได้ราว 500-450 BCE (100 ปีหลังพุทธกาล) ขณะเดียวกันการขุดค้นสถูปเมืองไวศาลีและหมู่บ้านปิปราห์วา พบผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (?) ร่วมกับภาชนะดินเผาประเภท NBP (Northern Black Polished Ware) หรือภาชนะดินเผาสีดำขัดมัน เป็นภาชนะดินเผาซึ่งสามารถกำหนดอายุได้ในช่วง 500-200 BCE (พ.ศ. 1-300)
ในเวลาต่อมา การขยายตัวของแหล่งโบราณคดีพุทธศาสนา สัมพันธ์โดยตรงกับการเถลิงอำนาจของพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. 270-311) พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ได้รับการเชิดชูอย่างมากในโลกพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงส่งสมณทูตเผยแผ่พุทธศาสนา พร้อมทั้งสังคายนาพระศาสนาและจาริกไปยังพุทธสถานต่างๆ เรื่องราวเหล่านี้ชัดเจนมากในจารึกของพระองค์เองและเอกสารรุ่นหลัง จึงอาจกล่าวได้ว่า ด้วยอำนาจทางการเมืองของราชวงศ์เมาริยะ พุทธศาสนาจึงสามารถประดิษฐานตนอย่างมั่นคงในอนุทวีปได้
แหล่งโบราณคดีจำนวนร่วมสมัยและหลังรัชสมัยของพระเจ้าอโศกสามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งอินเดีย เช่น สถูปสาญจี สถูปภราหุต สถูปอมราวดี รวมไปถึงวัดถ้ำจำนวนมากในเขตอินเดียกลาง ซึ่งต่างไปจากช่วงก่อนหน้าที่กระจุกตัวอยู่ภายในลุ่มแม่น้ำคงคาเท่านั้น
แต่ผมเคยเขียนถึงแล้วว่า เหตุนี้ทำให้พุทธศาสนาเองกลับอ่อนแอลงในบางส่วน เพราะพุทธศาสนามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับอำนาจทางการเมือง หากอิทธิพลทางการเมืองใดๆ เสื่อมสลายลง พุทธศาสนาอันเป็นศาสนาในพระราชอุปถัมภ์ก็พลันได้รับผลกระทบไปด้วย ต่างจากศาสนาฮินดูและไชนะที่มีแนวโน้มการอธิบายทางจิตวิญญาณที่ยึดโยงกับชาวบ้านผ่านแนวทางแบบภักดี (การเชื่อในอำนาจเหนือตัว/ พระเป็นเจ้าอย่างถึงที่สุด) ทำให้แม้อำนาจฝ่ายรัฐจะล่มลงหรือขาดตอน แต่ตัวศาสนากลับยังคงดำรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเองผ่านโครงสร้างของวัฒนธรรมชาวบ้าน
ย้อนกลับไปตอบคำถามข้างต้นของเสวนา ‘พระพุทธเจ้าเกิดที่ไหน’ เมื่อเราดูอายุของหลักฐาน บทความก่อนหน้าผมชี้แจงได้แล้วว่า ‘เราไม่พบหลักฐานของพุทธศาสนาที่เก่าไปกว่าพุทธศตวรรษที่ 9-10’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกันหลักฐานในอินเดียกลับมีอายุที่สืบย้อนเข้าไปได้ใกล้ถึงตัวพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ทั้งการพบกระดูกซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์เอง ยิ่งยืนกรานว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง เคยใช้ชีวิตอยู่ ณ ดินแดนแห่งนั้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา
สิ่งนี้ในทางหนึ่งราวกับว่าจะทลายตำนานต่างๆ ข้างต้นพี่พยายามนำพาพระพุทธเจ้ามายังอุษาคเนย์ แต่ในอีกทางหนึ่งก็ยืนยันถึงความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกพุทธศาสนา ที่ตำนานเหล่านั้นผูกโยงขึ้นโดยคนในท้องถิ่นเอง
ปิดท้ายเสวนา
งานเสวนานี้ปิดจบที่ รองศาสตราจารย์ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ ซึ่งผมขอยกมาเป็นบทสรุปของข้อเขียนนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดของคำถามนี้คือ ‘ญาณวิทยา’ (Epistemology) หรือกระบวนการได้มาซึ่งความรู้ เนื่องด้วยทฤษฎีกระแสหลัก (พระพุทธเจ้าเกิดในอินเดีย) กับแนวทางพระพุทธเจ้าเกิดในประเทศไทยนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิธีวิทยาที่ต่างกัน แม้ในทางวิชาการแล้วทุกความเป็นไปได้สามารถเสนอและสืบค้นได้ แต่การจะถกเถียงกันจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ตรงกัน พิสูจน์ หรือตรวจสอบได้ หากจะอ้างตำนานก็ต้องพิจารณาที่มาที่ไปแห่งตำนาน หากจะอ้างหลักฐานทางโบราณคดีก็ต้องพิสูจน์ที่มาที่ไปแหล่งหลักฐานนั้น หากถกเถียงด้วยคัมภีร์ คัมภีร์ที่อยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดมากที่สุด ย่อมมีลักษณะที่น่าเชื่อถือมากที่สุดไปด้วย มิฉะนั้นการถกเถียงนั้นคงจะตกไปตั้งแต่กระบวนการญาณวิทยา

พระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบในอินเดีย
สุดท้ายใครใคร่จะเชื่ออะไรก็สุดแท้แต่ประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ประสบพบเจอ จวบจนไม่กระทบกับสิทธิทางกฎหมายของผู้อื่น หรือผิดกฎหมายบ้านเมืองที่ร้ายแรง
อย่างไรก็ดีพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบในอินเดีย ในเชิงความเชื่อก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอย่างหนึ่ง ซึ่งดึงศาสนิกอันเป็นพุทธสาวกเข้าไปใกล้ศาสดาของตนมากขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่งก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ‘พระพุทธองค์ทรงเป็นมนุษย์’ และ ‘ทรงมีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์’ ทรงตรวจสอบได้ ทรงจับต้องได้ และที่สำคัญทรงถูกศึกษาได้
ฉะนั้นเราจะมองพระองค์อย่างไรต่อไปจากนี้ ก็อยากให้ลองนึกถึงหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจไปพร้อมกันๆ โดยหวังใจว่า เราจะมองพุทธศาสนาและพระพุทธองค์อย่างรอบคอบขึ้น
ที่มาข้อมูล
Fogelin, Lars (2015). An Archaeological History of Indian Buddhism. London: Oxford University Press.
Geiger, Wilhelm. (1912). The Mahavamsa. London: Oxford University Press.
Hazra, Kanai Lal. (1982). History of Theravada Buddhism in South-East Asia with special reference to India and Ceylon. New Delhi: Munshiram Manoharlal Pub.
Huntington, Susan L. (1985). The art of ancient India: Buddhist, Hindu, Jain. New York: Weatherhil.
Mukhopadhyaya, Puma Chandra, Smith, Vincent Arthur. (1899). A REPORT ON A TOUR OF EXPLORATION OF 1HX ANTIQUITIES IN THE TARAI, NEPAL THE REGION OF KAPILAYASTU; DURING FEBRUARY AND MARCH. Calcutta: Calcutta Office of the Superintendent of Government Printing, India.
Srivastava, K. M. (1978). Kapilavastu in Basti District of U.P. Nagpur: Nagpur Buddhist Centre.
_________. (1996). Excavations at Piprahwa and Ganwaria (Memoirs of the Archaeological Survey of India No 94). New Delhi: Archaeological Survey of India.
Tuladhar, Swoyambhu D. (2002), “The Ancient City of Kapilvastu – Revisited.” in Ancient Nepal, November 151. PP. 1–7.
Oertel, Friedrich Oscar (1908). “Excavations at Sarnath”. Archaeological Survey of India Annual Report, 1904–1905. Calcutta: Superintendent Government Printing.
UNESCO. (2013). The Sacred Garden of Lumbini Perceptions of Buddha’s birthplace Kathmandu: Hillside Printing Press.
Tags: Indianiceation, พระพุทธเจ้า, อินเดีย, โบราณคดี