รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับสภาพยุโรป (European Union: EU) ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกในยุโรป 27 ประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดหรือลดอุปสรรคด้านการค้าระหว่างกันลง ไม่เฉพาะแต่ภาษีศุลกากร แต่รวมถึงกฎเกณฑ์ด้านการค้าอื่นๆ ด้วย แต่ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไม่ได้ ‘เสรี’ จริงตามชื่อ ในการเจรจามีการตั้งเงื่อนไขต่างๆ มาต่อรองกัน เพื่อให้ได้เปรียบหรือได้ประโยชน์มากที่สุด 

แน่นอนว่าในแง่ของผลประโยชน์ของ FTA นั้นมีมากมายเช่น ภาษี, ไร้ข้อจำกัดทางการค้า (Trade Restriction), ไม่มีการควบคุมการนำเข้า, ลดอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ, ยกเว้นการควบคุมสินค้าบางอย่าง, สร้างอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ และให้ความร่วมมือทางด้านการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลการลักลอบ สินค้าอันตราย และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

หนึ่งในข้อหัวการค้าที่สำคัญในการเจรจา FTA คือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่ประกอบไปด้วยสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า ความลับทางการค้า การออกแบบเชิงอุตสาหกรรม และสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ภายใต้ทรัพย์สินทางปัญญาที่เจรจาต่อรองกัน เรื่องสิทธิบัตรเป็นประเด็นอ่อนไหวและส่งผลกระทบรุนแรง หากเจรจาต่อรองแล้วเสียเปรียบ 

ในปัจจุบันเรามีกฎเกณฑ์สากลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้องค์การการค้าโลก ที่ประเทศสมาชิก 164 ประเทศต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว รวมถึงไทยและสหภาพยุโรป ซึ่งกฎเกณฑ์นั้นมีชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษอ่านว่า ‘ข้อตกลงทริปส์’ (TRIPS) เป็นมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาขั้นต่ำ รวมถึงสิทธิบัตรที่ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตาม ไทยได้มีกฎหมายต่างๆ ตามเกณฑ์ขั้นต่ำนั้นแล้ว 

แต่ประเด็นสำคัญในการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ที่ภาครัฐและภาคประชาชนต้องให้ความสนใจไม่น้อยไปกว่า ‘ผลประโยชน์’ เพราะการลงนาม FTA ครั้งนี้มีคำว่าข้อตกลงที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ที่เกินไปว่าข้อตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลก ซึ่งเรียกว่าข้อตกลงแบบทริปส์พลัส (TRIPS+)

TRIPs Agreement ไม่เท่ากับ TRIPS+ Agreement

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า การลงนาม FTA ครั้งนี้มีความพยายามให้ประเทศไทยลงนามยอมรับเงื่อนไขที่มากกว่าทริปส์ นั่นคือ ‘ทริปส์พลัส’ 

ทริปส์พลัส คือข้อผูกพันหรือการให้ความคุ้มครองที่มากกว่าข้อตกลงทริปส์ ซึ่งได้แก่ การผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) ที่กีดกันไม่ให้ยาชนิดเดียวกันที่ราคาถูกกว่าเข้ามาแข่งขันในตลาด การขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร (Patent Terms Extension) ให้มีอายุมากกว่า 20 ปี 

แล้วที่ว่ามาทั้งหมดส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรกันแน่ The Momentum สรุปผลกระทบของข้อตกลงทริปส์พลัสในแง่ของยา ที่อาจส่งผลกระทบภาพใหญ่ต่อระบบสุขภาพของประเทศไทยไว้ดังนี้

‘ยา’ และประเทศมหาอำนาจ 

ภาคประชาสังคมมีความกังวลว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี เป็นเครื่องมือต่อรองให้ตนเองได้เปรียบมากที่สุด เพราะเป็นการเจรจาแบบทวิภาคที่ต่างจากการเจรจาแบบพหุภาคีในองค์การการค้าโลก ที่มีประเทศสมาชิก 164 ประเทศ ในการแยกเจรจาแบบทวิภาคี ประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้เปรียบประเทศกำลังพัฒนา เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วมีอำนาจทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศเหนือประเทศกำลังพัฒนา จึงมีความได้เปรียบในการเจรจาและสามารถกดดัน ให้ประเทศกำลังพัฒนายอมรับเงื่อนไขที่ต้องการได้ง่ายและเร็วกว่าการเจรจาแบบพหุภาคีในองค์การการค้าโลก

สิ่งที่ประเทศพัฒนาแล้วมักจะกดดันให้ประเทศกำลังพัฒนายอมรับ คือเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่าข้อตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลกหรือที่เรียกว่า ทริปส์พลัส 

ในข้อตกลงทริปส์กำหนดให้มีการคุ้มครองสิทธิบัตร (รูปแบบหนึ่งของทรัพย์สินทางปัญญา) 20 ปี เมื่อการคุ้มครองสิทธิบัตร 20 ปีหมดอายุ บริษัทอื่นจะสามารถผลิตสินค้าแบบเดียวกันชนิดเดียวกันด้วยชื่อการค้าที่ต่างกันออกมาขายแข่งได้ โดยไม่ถือว่าละเมิดสิทธิบัตร 

ยกตัวอย่างเรื่องยา เมื่อมีผู้ประดิษฐ์คิดค้นยาชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีใครเคยทำได้มาก่อนออกมาขาย เราจะเรียกยานั้นว่า ‘ยาต้นแบบ’ (Original Drug) ผู้ประดิษฐ์รายนั้นอาจจดสิทธิบัตรยาที่คิดค้นขึ้นมาได้ หรือขายสิ่งประดิษฐ์นั้นให้บริษัทไปจดสิทธิบัตร ยาชนิดนั้นจะได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตร หรือได้รับสิทธิผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 20 ปีนับตั้งแต่วันที่ขอจดสิทธิบัตร จนเมื่ออายุสิทธิบัตร 20 ปีนั้นหมดลง บริษัทยาอื่นจึงจะผลิตยาชนิดเดียวกันออกมาขายตีตลาดแข่งได้โดยใช้ชื่อการค้าที่แตกต่างจากยาต้นแบบ ซึ่งเราเรียกยาแบบนี้รวมๆ ว่า ‘ยาชื่อสามัญ’ (Generic Drug) หรืออธิบายสั้นๆ อีกอย่างได้ว่า ‘ยาชื่อสามัญ’ คือ ยายี่ห้ออื่นที่ผลิตตามออกมาหลังจากยาต้นแบบหมดอายุสิทธิบัตรลง

แน่นอนว่าหากไทยยอมรับข้อตกลงทริปส์พลัสที่สหภาพยุโรปเสนอ จะส่งผลให้ยาต้นแบบมีระยะเวลาสิทธิบัตรนานขึ้น จากเดิม 20 ปี เป็น 25 ปี และบริษัทยาต้นแบบจะสามารถผูกขาดตลาดได้นานขึ้น สามารถขายยาในราคาแพงได้นานขึ้น เพราะยาชื่อสามัญที่เป็นคู่แข่งจะไม่สามารถผลิตออกมาขายแข่งได้เร็วกว่า 25 ปี ผู้ป่วยหรือระบบหลักประกันสุขภาพต้องจ่ายค่ายาแพงเพิ่มไปอีกอย่างน้อย 5 ปี 

มากไปกว่านั้น ทางสหภาพยุโรปยังยื่นเรื่องการผูกขาดข้อมูลทางยา โดยมีข้อห้ามว่า ไม่ให้ทาง อย.รับขึ้นทะเบียนยาชื่อสามัญ หากมียาต้นแบบกำลังขอจดสิทธิบัตรหรือมีสิทธิบัตรอยู่ สิ่งนี้หมายความว่า หากบริษัทต้องการขึ้นทะเบียนยากับ อย.เพื่อให้ขายยานั้นได้อย่างถูกกฎหมาย บริษัทที่ผลิตยาชื่อสามัญนั้นต้องลงทุนทำการทดลองใหม่ทั้งหมด 

ซึ่งใช้ค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลา และเสี่ยงผิดจริยธรรมในการทดลอง เพราะเป็นที่รู้อยู่แล้วว่า ยาตัวเดียวกันที่เป็นยาต้นแบบผ่านการทดลองมาแล้ว ทำไมต้องนำอาสาสมัครมาทดลองซ้ำอีก ทั้งนี้มาตรฐานสากลในการขึ้นทะเบียนยาคือ บริษัทยาชื่อสามัญต้องทำการทดลองเปรียบเทียบยาชื่อสามัญกับยาต้นแบบว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาเท่ากัน เท่านี้ก็เพียงพอ ไม่ต้องทำการทดลองใหม่ทั้งหมด 

TRIPS+ Agreement อาจเป็นสาเหตุให้ยาราคาแพง

นอกจากเงื่อนไขให้ไทยยอมรับทริปส์พลัส ในเรื่องการผูกขาดข้อมูลยาและการขยายอายุสิทธิบัตร สหภาพยุโรปยังเจรจาให้ไทยเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา สหภาพยุโรปต้องการให้ประเทศยกเลิกกฎหมาย หรือนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมผลิตยาและการวิจัยและพัฒนายา ซึ่งจะบั่นทอนศักยภาพของประเทศในการพึ่งพาตนเอง ในเรื่องวิจัยและพัฒนายาและการผลิตยา รวมถึงจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางยาของประเทศในระยะยาว 

ไทยลงนามอย่างไรให้ประเทศเสียประโยชน์น้อยที่สุด

แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่ได้รับกลับมาจาก FTA ก็มหาศาล หากไทยตกลงยอมรับเงื่อนไขแบบทริปส์พลัส โดยไม่มีการต่อรองที่ดี แน่นอนว่าประเทศอาจต้องเสียงบประมาณไปจำนวนมากในค่ายา และอาจส่งผลกระทบ สั่นคลอน ต่อระบบประกันสุขภาพของไทยในระยะยาว

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือ FTA Watch ได้ เสนอแนวทางไว้ 3 ข้อด้วยกัน 

1. คณะเจรจาของไทยต้องไม่ยอมรับเงื่อนไขแบบทริปส์พลัส ในการเจรจา FTA กับประเทศใดๆ ก็ตาม

2. รัฐบาลควรเร่งให้มีการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการเจรจาและคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศและประโยชน์ของประชาชน

3. รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลและเนื้อหาการเจรจาให้สาธารณะรับทราบ และรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ก่อนที่จะสรุปและลงนามในข้อตกลง FTA รวมถึงต้องให้ผ่านความเห็นชอบในรัฐสภา โดยให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ก่อนลงนามและให้สัตยาบันในข้อตกลงนั้นด้วย

Tags: , , , , , , , , , ,