ในเมืองหาดใหญ่ที่การดูหนังมักจำกัดอยู่เพียงโรงภาพยนตร์เชิงพาณิชย์และหนังกระแสหลัก กำลังมีคอมมูนิตี้เล็กๆ เกิดขึ้นเพื่อเปิดโลกการดูหนังในมิติที่แตกต่างออกไป หนังที่ไม่มีโอกาสได้ฉายในโรงใหญ่ หนังที่พาเราเดินทางไปพบเรื่องราวและชีวิตของผู้คนรอบโลก และหนังที่ไม่ได้หยุดเพียงความบันเทิง แต่ยังชวนตั้งคำถามและต่อยอดการสนทนาหลังไฟบนจอภาพยนตร์ดับลง
แรงบันดาลใจเริ่มจากการทำงานในแวดวงภาคสังคมและการจัดฉายภาพยนตร์สั้น ก่อนจะกลับมาบ้านเกิดพร้อมความตั้งใจว่า อยากทำบางสิ่งให้กับเมืองนี้โดยไม่ต้องรอการสนับสนุนจากรัฐ การผสานความชอบส่วนตัวเข้ากับความต้องการของผู้คน จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเพจ เรื่องนี้ฉายเถอะ คนหาดใหญ่อยากดู ในปี 2561 เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่เติบโตจากการรวมกลุ่มคนดูบนโลกออนไลน์ สู่การจัดฉายในพื้นที่จริง และท้ายที่สุดกลายเป็นพื้นที่ฉายหนังอิสระที่มีชีวิตชีวา
และในพื้นที่เดียวกัน ที่นี่ยังเป็นคาเฟ่ที่ชื่อ Lorem Ipsum เป็นคาเฟ่และพื้นที่ศิลปะ (Art Community) ในหาดใหญ่ ที่ดัดแปลงมาจากตึกเก่า เน้นบรรยากาศดิบ ปูนเปลือย เหมาะสำหรับคนชอบงานศิลปะ ชอบนั่งทำงาน หรือจิบกาแฟแบบเงียบๆ สบายๆ
วันนี้พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงโรงภาพยนตร์ แต่ยังทำหน้าที่เป็นเวทีที่ผู้คนต่างวัย ต่างความสนใจสามารถมาพบเจอ แลกเปลี่ยน และเปิดประสบการณ์ร่วมกัน ผ่านภาพยนตร์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้และมองเห็นความเป็นจริงของมนุษย์ในหลากหลายแง่มุม
อยากให้คนหาดใหญ่ได้ดูหนังดีๆ
การดูหนังสำหรับหลายคนอาจเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความบันเทิง แต่สำหรับบางคน หนังคือพื้นที่ที่ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตมนุษย์ในหลากหลายมิติ และยังเป็นสะพานเชื่อมให้ผู้คนได้มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน หลังจากใช้ชีวิตและทำกิจกรรมในแวดวงคนทำหนังสั้นที่กรุงเทพฯ ต้น-พรชัย เจียรวณิช ผู้ก่อตั้งเพจเรื่องนี้ฉายเถอะ คนหาดใหญ่อยากดู ก็ได้สัมผัสพลังของภาพยนตร์ที่ไปไกลกว่าหน้าจอ ทั้งในแง่การเปิดประสบการณ์ใหม่และการสร้างบทสนทนาที่มีความหมาย
ต้นเล่าว่า เมื่อกลับมาอยู่หาดใหญ่ สิ่งที่สังเกตเห็นคือ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงภาพยนตร์ ใน 1 สัปดาห์อาจได้ดูหนังมากกว่า 10 เรื่อง แต่หาดใหญ่กลับเหลือเพียง 2-3 เรื่อง ด้วยเหตุผลด้านธุรกิจและการคัดเลือกจากสายหนังที่เชื่อว่าหนังทางเลือกทำรายได้ไม่มากพอ
จากทั้งความชอบส่วนตัวและความรู้สึกอยากแก้ไขปัญหา จึงเกิดเป็นความตั้งใจที่จะสร้างพื้นที่เล็กๆ สำหรับคนที่อยากดูหนังที่แตกต่างออกไป หนังที่ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่พาเราเห็นโลกในมุมอื่น หนังที่ทำให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของคอมมูนิตี้หนังในหาดใหญ่ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นโรงหนังอิสระในวันนี้
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้ต้นรู้สึกว่า ควรลองทำอะไรสักอย่าง ตอนนั้นมีภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Shoplifters (2561) ที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำ และได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลก แต่ไม่ได้ถูกนำมาฉายที่หาดใหญ่ ทั้งที่ไม่ใช่หนังอินดี้ที่เข้าถึงยาก แต่กลับไม่มีโอกาสให้ผู้ชมต่างจังหวัดได้ดูบนจอใหญ่ เหตุการณ์นั้นกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เขาส่งเสียงว่า ในเมืองนี้ยังมีกลุ่มคนดูที่อยากเห็นหนังแบบนี้อยู่จริง จนเกิดการติดต่อค่ายหนัง และเช่าเหมาโรงภาพยนตร์ เพื่อทำการฉายและขายตั๋วเรื่องนี้เอง
จากการเปิดเพจเรื่องนี้ฉายเถอะ คนหาดใหญ่อยากดู เพื่อรวบรวมคนที่มีความชอบและรักในการดูหนังเหมือนๆ กัน นำไปสู่การพยายามเจรจากับโรงภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ทั้งค่าใช้จ่ายสูง ตารางฉายที่ไม่เอื้อ และระบบธุรกิจที่เน้นเฉพาะหนังที่คาดว่าจะทำรายได้การจัดฉายจึงไม่ง่ายเหมือนในกรุงเทพฯ จึงทำให้โมเดลการเช่าเหมาโรงซึ่งทำได้แค่ 2-3 ครั้ง เป็นอันต้องหยุดไป
จนการเกิดขึ้นมาของ Documentary Club ที่เป็นผู้จัดซื้อหนังสารคดี และหนังนอกกระแสเข้ามา จึงกลายเป็นทางออกสำคัญที่ทำให้ คนต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงหนังทางเลือก หนังนอกกระแสได้ง่ายขึ้น ต้นจึงนำหนังเหล่านั้นไปจัดฉายตามพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Co-working space คาเฟ่ ร้านกาแฟ
หลังจากตระเวนฉายหนังตามพื้นที่ต่างๆ มานานกว่า 4 ปี ผู้ชมเริ่มเรียกร้องว่า อยากให้มีพื้นที่ของตัวเอง ต้นและทีมงานจึงร่วมกันสร้างโรงหนังอิสระเล็กๆ ควบคู่กับคาเฟ่ในชื่อ Lorem Ipsum เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงโรงภาพยนตร์ แต่เป็นคอมมูนิตี้ที่อยู่ได้อย่างยั่งยืน และต้อนรับผู้คนที่อยากสัมผัสประสบการณ์ดูหนังในแบบที่แตกต่าง
สนามทดลองให้ศิลปินหลายแขนงได้โชว์ของ
เมื่อโรงภาพยนตร์เล็กๆ ในหาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นจากความฝันของคนรักหนัง ความตั้งใจนั้นจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การฉายภาพยนตร์ แต่ค่อยๆ ขยายตัวจนกลายเป็นสเปซศิลปะที่กว้างกว่าจอภาพยนตร์เสียอีก
พื้นที่แห่งนี้ถูกออกแบบให้โรงหนังตั้งอยู่บนชั้น 2 ขณะที่ชั้นล่างทำหน้าที่เป็นแกลเลอรีขนาดย่อม เปิดต้อนรับศิลปะหลากหลายแขนง และที่สำคัญคือเปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เป็นพื้นที่ที่ใครก็ตามที่มีผลงานและอยากแบ่งปันก็นำมาจัดแสดงได้ ตั้งแต่ภาพวาดสีอะคริลิกของเด็กพิเศษวัยเพียง 6-12 ปี ไปจนถึงงานของศิลปินอาวุโสวัย 50-60 ปี รวมถึงช่างภาพอิสระที่อาจเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์แต่คนในเมืองยังไม่คุ้นเคย
ที่นี่จึงเป็นเหมือนสนามทดลองของศิลปินในทุกช่วงวัยและทุกเส้นทางชีวิต และเวลาที่สเปซนี้มอบให้โดยเฉลี่ย 1 เดือนเต็มก็เพียงพอให้ผู้คนค่อยๆ รับรู้และเข้ามาสัมผัส ต่างจากนิทรรศการที่จัดเพียงสัปดาห์เดียวซึ่งมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะถูกจดจำ
ทั้งหมดนี้สะท้อนความฝันของผู้ก่อตั้งที่อยากให้ที่นี่เป็นมากกว่าพื้นที่ดูหนัง แต่เป็นแหล่งรวมศิลปะที่เชื่อมโยงผู้คนหลากหลายให้มาพบเจอกัน ผ่านทั้งภาพยนตร์ งานศิลป์ และเรื่องราวที่กำลังเติบโตในเมืองหาดใหญ่
สำหรับเกณฑ์มาเลือกหนังมาฉาย ต้นเล่าว่า ที่นี่ไม่มีเกณฑ์ตายตัว ในช่วงแรกหนังที่ถูกนำเข้ามาฉายส่วนใหญ่มาจาก Documentary Club ซึ่งในเวลานั้นจำนวนเรื่องยังไม่มาก การเลือกหนังจึงขึ้นอยู่กับว่าทาง Documentary Club โปรโมตเรื่องใดในกรุงเทพฯ แล้วได้รับกระแสพูดถึงก็จะนำมาฉาย และถ้าเรื่องไหนมีเสียงเรียกร้องจากผู้ชมว่าอยากดู ทีมงานก็พยายามจัดให้ การเลือกหนังในยุคแรกจึงเป็นไปตามกระแสและความต้องการของผู้ชมเป็นหลัก
ต่อมาเมื่อวงการหนังอิสระในไทยเริ่มมีความหลากหลาย ทั้งจากค่ายเล็กๆ ที่ซื้อลิขสิทธิ์หนังจากต่างประเทศเอง หรือแม้กระทั่งผู้กำกับที่ทำหนังโดยไม่มีค่ายจัดจำหน่าย ก็เริ่มมองหาพื้นที่ทางเลือกในการฉายหนัง พวกเขารู้ว่าหาดใหญ่เปิดโอกาสให้หนังนอกกระแสได้เข้าถึงผู้ชม จึงเริ่มติดต่อเข้ามาโดยตรงเพื่อขอจัดฉายด้วยตัวเอง
จากการคัดเลือกหนังตามกระแสและเสียงเรียกร้องของคนดูในช่วงแรก พัฒนามาสู่การเป็นพื้นที่ที่ผู้สร้างหนังและผู้จัดจำหน่ายเห็นคุณค่าและเข้ามาร่วมมือ นี่จึงทำให้โปรแกรมหนังที่ฉายในหาดใหญ่มีความหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสารคดี หนังต่างประเทศ และผลงานของผู้กำกับไทยที่ต้องการหาช่องทางใหม่ในการเจอกับคนดู
เปิดตี้วงสนทนาพูดคุยหลังหนังจบ
อีกหนึ่งสิ่งที่พื้นที่แห่งนี้ให้ความสำคัญไม่แพ้การคัดเลือกหนัง คือการสร้างบรรยากาศของการพูดคุยหลังการฉาย ภาพยนตร์แต่ละเรื่องไม่ได้จบลงที่เครดิตสุดท้าย แต่กลับต่อยอดไปสู่บทสนทนาที่หลากหลาย ผู้จัดเชื่อว่าผู้ชมทุกคนต่างมีความคิดเห็น และมุมมองในแบบของตัวเอง การเปิดพื้นที่ให้ได้แลกเปลี่ยนเช่นนี้จึงไม่เพียงทำให้หนังมีชีวิตยาวนานขึ้น แต่ยังสร้างปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่การดูหนังเพียงลำพังที่บ้านไม่สามารถมอบให้ได้
และเมื่อเกิดวงพูดคุยบ่อยๆ ก็กลายเป็นคอมมูนิตี้ย่อยของกลุ่มผู้ชมที่คุ้นกัน บางคนอาจแค่อยากดูหนัง แต่กลับได้เพื่อนใหม่ที่มีความสนใจใกล้เคียงกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ พื้นที่แห่งนี้ยังเปิดโอกาสให้คนต่างช่วงวัยได้พูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ วัยรุ่นที่อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอาจได้ฟังมุมมองจากผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันผู้ใหญ่เองก็ได้ฟังเสียงของคนรุ่นใหม่
นอกจากบทสนทนาแล้ว การมาดูหนังในสเปซแห่งนี้ยังตอบโจทย์ผู้ชมที่โหยหาประสบการณ์การชมที่สมบูรณ์ บางคนบอกว่า อยู่บ้านไม่เคยดูหนังจบ เพราะมักถูกรบกวนจากโทรศัพท์หรือสิ่งอื่นรอบตัว แต่เมื่อมาที่นี่ การนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดจังหวะ กลายเป็นการบังคับให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำกับภาพยนตร์อย่างแท้จริง
และมากไปกว่านั้น ที่นี่ยังตั้งใจเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง ‘ผู้สร้าง’ และ ‘ผู้ชม’ หลายครั้งผู้กำกับเลือกที่จะเดินทางมาด้วยตัวเอง เพื่อนำเสนอผลงานและพูดคุยกับคนดูโดยตรงอย่างใกล้ชิด
ทำแล้วต้องทำต่อเนื่อง
ความท้าทายหลักของพื้นที่ฉายภาพยนตร์และกิจกรรมศิลปะแห่งนี้อยู่ที่ความต่อเนื่อง ต้นเล่าว่า ตนเองก็รู้สึกแปลกใจที่สามารถทำสิ่งนี้มาได้เกือบ 10 ปี ซึ่งถือว่ายาวนานมาก ซึ่งก็มีช่วงเวลาที่อยู่ในภาวะอิ่มตัว บวกกับความเหนื่อยล้าส่วนตัว จึงต้องหยุดพักการฉายเกือบเดือน แต่เมื่อกลับมาจัดทำอีกครั้ง ก็รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจและพลังใหม่
อีกความท้าทายของโรงหนังอิสระคือ การมาของสตรีมมิงที่ทำให้ผู้ชมสามารถดูหนังที่บ้านได้ง่ายขึ้น ผู้จัดจึงสอบถามผู้ชมโดยตรงและพบว่า พวกเขายังคงมาเพราะมีภาพยนตร์บางเรื่องที่ไม่สามารถหาชมบนสตรีมมิงได้ ชื่นชอบบรรยากาศพูดคุยแลกเปลี่ยนหลังฉาย ซึ่งการดูหนังที่บ้านไม่สามารถมอบให้ได้
ต้นเล่าว่า “เวลาที่เราเห็นเด็กและเยาวชนเข้ามาที่นี่ เราสัมผัสได้ว่าพวกเขามีเรื่องในใจเยอะ บางคนไม่ได้รับการรับฟังจากคนใกล้ตัว การจัดกิจกรรมของเราไม่ได้เป็นแค่การดูหนังหรือชมศิลปะ แต่เราต้องการให้พื้นที่นี้เป็นที่ที่พวกเขาได้พูด ได้เล่า ได้ระบาย และรู้สึกว่ามีคนฟังจริงๆ
“เราลองจัดกิจกรรมเล็กๆ เช่น เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนหลังฉายหนัง หรือแม้กระทั่งกิจกรรมธรรมะ ก็เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ทบทวนความคิดตัวเอง รู้สึกได้ว่าพวกเขามีพื้นที่สำหรับการรับฟังอย่างแท้จริง”
ในอนาคตต้นและทีมอยากขยายแนวทางนี้ให้มากขึ้น อาจร่วมมือกับจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต จัดกิจกรรม ‘อาสารับฟัง’ ให้เด็กและเยาวชนที่มีภาวะทางจิตเล็กน้อยหรือกำลังซึมเศร้า ได้รับการรับฟังและการเยียวยาเบื้องต้น แม้จะไม่ใช่แพทย์ แต่เพียงแค่การฟัง ก็ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
“เราต้องการให้เรื่องการสนับสนุนสุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งที่ทำต่อเนื่องไปพร้อมกับงานศิลปะและภาพยนตร์ที่นี่ เพราะเรารู้ว่ายังมีคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่แบบนี้อยู่เสมอ”
ในช่วงกลางเดือนตุลาคม Lorem Ipsum และโรงหนังอิสระ มีแผนย้ายพื้นที่ไปยังทำเลใหม่ พื้นที่ใหม่นี้มีขนาดเล็กลงเล็กน้อย แต่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยจะรวมร้านหนังสือและร้านเสื้อผ้าวินเทจ เพื่อสร้างการเชื่อมโยงและความหลากหลายของกลุ่มคน นอกจากนี้ยังมีส่วนของคาเฟ่เป็นจุดรวมผู้คนเช่นเดิม โดยพื้นที่ใหม่นี้จะเปิดทุกวัน พร้อมกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย
Fact Box
- เรื่องนี้ฉายเถอะ คนหาดใหญ่อยากดู ติดตามการตารางการฉายหนังได้ทาง https://www.facebook.com/HatyaiWant2see
- Lorem Ipsum https://www.facebook.com/lorem.ipsum.space เปิดบริการทุกวัน วันจันทร์-พุธ เวลา 09.00-18.00 น. และวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เวลา 09.00-22.30 น.