เครื่องปรับอากาศในออฟฟิศ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน เพื่อคลายร้อนและมอบความเย็นฉ่ำให้แก่พนักงาน แต่หากเรามองเข้าไปใกล้ๆ อาจพบว่า เครื่องทำความเย็นนี้ปรากฏถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนาเตอะ หรือบางครั้งได้กลิ่นเหม็นอับลอยมาในอากาศ ที่ไม่ว่าจะใช้น้ำยาปรับอากาศเท่าไร กลิ่นในห้องทำงานกลับไม่เคยหอม สัญญาเหล่านี้ชี้ได้ว่า แอร์ในที่ทำงานคุณ ‘สกปรก’

มากไปกว่าอากาศที่สกปรกแล้ว แอร์ในที่ทำงานอาจเต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ เช่น แมลงสาบหรือหนู ที่เป็นพาหะนำโรคมากมายอีกด้วย 

ศูนย์หัวใจ หลอดเลือด และเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การไม่ล้างแอร์นานเสี่ยงเกิดโรคปอดอักเสบ เพราะทั้งแอร์และท่อแอร์เป็นสถานที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค หากได้รับเชื้อสะสมเป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบได้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียลีจิโอเนลลานิวโมฟิลา (Legionella Pneumophila) เพราะหากหายใจนำฝอยละอองน้ำที่มีเชื้อนี้ปนเปื้อนเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการเกิดโรคได้ ดังนี้

  1. ปอดอักเสบรุนแรง จะมีอาการไข้สูง ไอ หนาวสั่น เรียกว่าโรคลีเจียนแนร์ (Legionellosis)
  2. อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เรียกว่า ไข้ปอนเตียก (Pontiac Fever)

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เสริมว่า เชื้อโรคที่หลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง ยังก่อให้เกิดเชื้อโรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เหล่านี้ยังไม่นับเชื้อโรคที่มาจากพาหะนำโรคอย่างหนูและแมลงสาบ 

ด้านกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เคยให้ข้อมูลว่า ตามมาตรฐานประกาศกรมอนามัย เรื่องข้อปฏิบัติการควบคุมเชื้อลีจิโอเนลลาในหอผึ่งเย็น (Cooling Tower) ของอาคารในประเทศไทย และสำหรับแอร์ที่ใช้ตามบ้านเรือน เมื่อเปิดแอร์ควรสังเกตว่า อากาศที่ออกมาจากแอร์มีกลิ่นเหม็นหรือมีกลิ่นอับหรือไม่ หากมีกลิ่นในเบื้องต้นควรล้างทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศที่อยู่ในแอร์ด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หากล้างทำความสะอาดแล้วกลิ่นไม่หาย ควรเรียกช่างเพื่อทำความสะอาดแบบเต็มระบบ

เพราะเหตุใดบริษัทควรใส่ใจพนักงาน

พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 มาตรา 6 ระบุว่า ให้นายจ้างมีหน้าที่จัดและดูแลสถานประกอบกิจการและลูกจ้าง ให้มีสภาพการทํางานและสภาพแวดล้อมในการทํางานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติงานของลูกจ้างมิให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ และสุขภาพอนามัย ให้ลูกจ้างมีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับนายจ้างในการดําเนินการและส่งเสริมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ลูกจ้างและสถานประกอบกิจการ

หลายครั้งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือ HR (Human Resource) อาจละเลยปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงานของพนักงาน จึงเลื่อนการล้างแอร์แล้วเลื่อนอีก หรือ ‘โกหก’ พนักงานว่า ล้างแอร์แล้ว แต่กลิ่นไม่พึงประสงค์กลับยังอยู่ 

อีกข้อคือ ฝ่ายบุคคลอาจ ‘ไม่ใส่ใจ’ เพราะคิดว่าก็แค่แอร์สกปรกนั้นไม่ส่งผลกับการทำงาน แต่แท้จริงแล้วอากาศที่สะอาดนั้นส่งผลต่อการทำงานอย่างมาก และสร้างผลสัมฤทธิ์หลายด้านให้บริษัท เช่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พนักงานอยากเข้าออฟฟิศเพราะเป็นพื้นที่ ‘สะอาด’ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมการทำงานดี อากาศที่ดีช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง และอย่างสุดท้ายช่วยลดอัตราการลางานเพราะเจ็บป่วย

ทำอย่างไรเมื่อบริษัทไม่เห็น ‘สุขภาพ’ คนทำงานเป็นเรื่องสำคัญ

  1. บันทึกหลักฐาน ถ่ายภาพ หรือเก็บข้อมูลที่แสดงว่าสภาพแวดล้อมการทำงานไม่ปลอดภัย เช่น แอร์มีคราบฝุ่น กลิ่นอับ มีหนู และประวัติอาการเจ็บป่วยของพนักงานหลายคนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
  2. รวมเสียงเพื่อนร่วมงานไปร้องเรียน เพราะหากร้องเรียนเพียงคนเดียว อาจถูกเพิกเฉย แต่หากเป็นเสียงของหลายคนจะมีน้ำหนักมากขึ้น
  3. แจ้งฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น อีเมลหรือจดหมาย อย่างเป็นทางการจะช่วยให้มีหลักฐานอ้างอิงทางกฎหมายว่า ได้แจ้งทางบริษัทแล้ว
  4. ยื่นเรื่องต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เพราะลูกจ้างสามารถร้องเรียนได้โดยตรง หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
  5. ใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายแพ่ง หากปัญหาสุขภาพรุนแรงและเกิดจากการละเลยของบริษัท สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้

ที่จริงแล้ว ทางบริษัทควรดูแลรักษาสุขภาพพนักงานโดยไม่ต้องร้องขอ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับ และสุขภาพที่ดีแข็งแรงของพนักงานต่างหาก คือกำไรที่แท้จริงของบริษัท

Tags: , , , , , ,