ถ้าโตมากับครัวไทย เชื่อว่าแทบทุกบ้านต้องมี ‘เด็กสมบูรณ์’ อย่างน้อย 1 ขวดอยู่บนชั้นเครื่องปรุง ไม่ว่าจะเป็นซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว หรือซอสหอยนางรม แบรนด์นี้อยู่คู่ครัวไทยมานานจนกลายเป็นรสชาติคุ้นลิ้นที่เรามักลืมตั้งคำถามว่า มาจากไหน
หยั่น หว่อ หยุ่น ก่อตั้งเมื่อปี 2525 โดย วิเชียร ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ที่นำสูตรการหมักซีอิ๊วจากบรรพบุรุษชาวจีนมาสร้างเป็นแบรนด์ไทยแท้ชื่อ เด็กสมบูรณ์ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะอาหารในบ้านไทยนับไม่ถ้วน ต่อมาส่งต่อให้ สมหวัง ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ที่ดูแลกิจการต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ที่รุ่นที่ 3 กำลังเข้ามารับไม้ต่อ
วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจของครอบครัว ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่และวิธีคิดที่ไม่เหมือนเดิม เขากำลังพาเด็กสมบูรณ์ก้าวต่อ ไม่ใช่แค่ให้ทันยุคทันสมัย แต่ยังพยายามขยับแบรนด์จากของคุ้นเคยในครัว ไปสู่บทบาทใหม่ที่กว้างไกลกว่าเดิม บทสนทนาต่อไปนี้คือเรื่องราวของเขา
ภารกิจของทายาทรุ่น 3
“จริงๆ ผ่านไปเร็วเหมือนกันครับ ปีนี้ก็เข้าปีที่ 3 แล้ว
“สำหรับผม การเข้ามาดูแลธุรกิจครอบครัวไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนทุกอย่าง แต่คือการรักษาสิ่งที่ดีไว้ และปรับสิ่งที่ควรปรับให้เข้ากับยุคสมัย เรายังคงมุ่งมั่นทำซอสปรุงรสเหมือนเดิม ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เต้าเจี้ยว คือหัวใจหลักของเรา ที่ยังพัฒนาและปรับปรุงอยู่ตลอด
สิ่งที่เราเพิ่มเข้ามาคือ ‘คุณภาพ’ เช่น การเพิ่มโปรตีนในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพที่กำลังเติบโต ตอนนี้ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น เราก็พยายามปรับสูตรให้เหมาะสม โดยยังคงรสชาติที่คนคุ้นเคยไว้”
จากวันที่เริ่มเข้ามาทำงานจริงๆ วสุพลเล่าว่า ตนเองเริ่มจากแผนกการตลาด ช่วงแรกๆ ยังไม่รู้ว่าคนภายนอกมองภาพลักษณ์ของเด็กสมบูรณ์อย่างไร เพราะเขาอยู่ในมุมของคนทำงานภายใน พอได้พูดคุยกับพนักงานหลายคน จึงเริ่มเห็นภาพว่า คนรุ่นใหม่หรือผู้บริโภคมองแบรนด์อย่างไร
“เวลาสัมภาษณ์พนักงานใหม่ ผมมักจะถามว่ารู้จักเด็กสมบูรณ์จากที่ไหน ส่วนใหญ่คำตอบที่ได้คือ รู้จักเพราะพ่อแม่ใช้มาตั้งแต่เด็ก แปลว่าข้อมูลหรือข้อความเกี่ยวกับแบรนด์เราไม่ได้ถูกสื่อสารไปถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่เลย เราขาดการสื่อสารหรือ Educate ลูกค้าในเจนฯ ใหม่ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมมองว่าเป็นปัญหา
“จุดนั้นทำให้ผมคิดว่าแบรนด์เด็กสมบูรณ์ต้องรีเฟรชแบรนด์ ไม่ใช่เปลี่ยนโลโก้หรือรื้อใหม่หมด แต่เป็นการทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่พูดถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องและมีความสดใหม่มากขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนไป”
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้กลายเป็นภารกิจสำคัญที่วสุพลต้องผลักดัน คือทำให้แบรนด์เด็กสมบูรณ์ยังคงคุณค่าเดิม พร้อมปรับวิธีสื่อสารและการตลาดให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อให้เด็กสมบูรณ์ยังคงเป็นแบรนด์ที่คนรู้จักและเชื่อมั่นในระยะยาว
ทำงานกับพนักงานรุ่นเก่า
ตอนผมเข้ามาทำงานใหม่ๆ ก็มีความกังวลอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับพนักงานรุ่นเก่าที่อยู่มานาน หลายคนกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ หรือจะเข้ากับผู้บริหารใหม่ได้ไหม ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะวงการไหนก็ตาม เวลาเปลี่ยนหัวหน้าหรือโค้ชใหม่ แนวทางก็ย่อมต้องเปลี่ยนตาม
โชคดีที่ผมเติบโตมากับครอบครัวและได้รู้จักผู้บริหารกับพี่ๆ ทีมงานหลายคนตั้งแต่เด็ก ทำให้ช่วงแรกมีทั้งคนที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและคนที่ยังอยากรักษาวิธีเดิมไว้ ผมเข้าใจดีว่าสองฝั่งนี้มีอยู่เสมอ และผมเองก็พยายามบาลานซ์ให้ทั้งสองฝ่ายเดินไปพร้อมกันได้ครับ
เปลี่ยนภาพซีอิ๊วให้น่าสนุก
การที่คุณอยู่กับแบรนด์มานานย่อมคุ้นชิน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในอนาคตอาจไม่อินแบรนด์ คุณมีวิธีสื่อสารอย่างไร
“ผมเชื่อว่าแพสชันของผมเกิดจากการอยู่กับแบรนด์มาตั้งแต่เด็ก พออินกับมันจริงๆ เราก็อยากหาวิธีทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกสนุกกับสินค้าที่ดูห่างไกลจากพวกเขา อย่างซีอิ๊วหรือซอสปรุงรส สิ่งแรกเลยคือ ต้องอร่อยก่อน ไม่ว่าจะดัดแปลงยังไง รสชาติต้องได้ เราถึงกล้าทำโปรดักต์อย่างไอศครีมซีอิ๊วดำ ลูกอมซีอิ๊ว เพราะเรารู้ว่าคนรุ่นใหม่เขาไม่กล้าลอง ถ้าแค่เห็นซีอิ๊วอยู่บนเชลฟ์
“วิธีของผมคือพยายามสร้างประสบการณ์ให้เขาได้ลอง ได้ชิม และเซอร์ไพรส์ว่าสินค้าเรามีมิติมากกว่าที่คิด เช่น เวลาไปสคูลทัวร์ ผมก็ไม่แจกซีอิ๊วขวด แต่ให้ลูกอมแทน เด็กอาจจะยังไม่เข้าใจแบรนด์ แต่เขาจำได้ว่าสนุก และเชื่อมโยงรสชาตินั้นกับชื่อเด็กสมบูรณ์ได้ในอนาคต เราไม่ได้พยายามจะเป็นแบรนด์ขนมหรือเครื่องดื่ม แต่เราแค่ขยายวิธีคิดว่า ซีอิ๊ว 1 ขวด ไม่ได้ทำได้แค่อาหารคาว มันไปได้ไกลกว่านั้น”
รีแบรนด์โดยไม่ทิ้งราก
หลายคนมองว่าเด็กสมบูรณ์หรือว่าหยั่น หว่อ หยุ่น เป็นแบรนด์ในตำนาน เป็นของที่อยู่ในครัวคนไทยมานานมาก ก็มีคำถามว่าเรามีกลยุทธ์หรือวิธีคิดยังไงในการทำให้แบรนด์ยังทันสมัย ไม่ตกขบวน
วสุพลเล่าว่า “อันดับแรก ผมต้องขอบคุณคุณปู่ก่อนเลย เพราะท่านเป็นคนออกแบบโลโก้เด็กสมบูรณ์มาตั้งแต่รุ่นแรก ซึ่งผมว่ามันโดนใจคนไทยมาก มีความน่ารัก มีความกลมๆ อ้วนๆ ที่ดูอบอุ่น เป็นมิตร และที่สำคัญคือมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ผมยังคิดเลยว่าคุณปู่เก่งมาก เพราะถ้าวันนี้โลโก้เราเป็นแค่ตัวอักษรธรรมดา ผมยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงให้มันกลายเป็นแบรนด์ที่มีชีวิตชีวาขนาดนี้
“จากจุดนั้น ผมเริ่มต้นด้วยการทำ SWOT เพราะรู้สึกว่าแบรนด์ที่อยู่มาถึง 80 ปี ต้องมีอะไรบางอย่างที่แข็งแรงมากๆ อยู่แล้ว ซึ่งสิ่งนั้นก็คือฐานแฟนคลับที่มีตั้งแต่รุ่นอากงอาม่า จนถึงเจนใหม่อย่างเจนฯ Z นี่คือ ‘Strength’ (จุดแข็ง) ของเรา
“อันดับแรก ผมพยายามทำให้แบรนด์ยังดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลา ด้วยการออกโปรดักต์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ต่อมาก็ดูเรื่อง Brand Ambassador หรือพรีเซนเตอร์ว่า ใครที่เหมาะกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในยุคนี้ เพื่อให้แบรนด์ดูเข้ากับเจเนอเรชันใหม่ๆ ด้วย และข้อสุดท้ายผมให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับผู้บริโภคมากขึ้น ผ่านโซเชียลมีเดียและคอนเทนต์ออนไลน์ เพราะเชื่อว่าผู้บริหารรุ่นใหม่ไม่ควรอยู่ห่างจากผู้บริโภค
“ขณะเดียวกันผมก็ชอบลงพื้นที่ บางทีไปเดินห้างอยู่เป็นชั่วโมงๆ คอยสังเกตพฤติกรรมว่าทำไมลูกค้าหยิบแบรนด์นั้น ไม่หยิบของเรา ทั้งๆ ที่ราคาก็ใกล้เคียงกัน สอบถามฟีดแบ็กตรงๆ กับลูกค้าว่าทำไมซื้อแบรนด์นี้ ซึ่งพอเราเข้าใจ ก็เอามาปรับพัฒนาโปรดักต์ให้ดีขึ้นต่อไป”
รักษารสชาติเดิม เพิ่มคุณภาพใหม่ ปั้นแบรนด์ให้อยู่ในใจคนหลายเจนฯ
แม้จะมีพรีเซนเตอร์ใหม่ มีฉลากดีไซน์สดใส หรือเข้าไปปรากฏบนแพลตฟอร์มยุคใหม่อย่าง TikTok แต่สิ่งที่เด็กสมบูรณ์ยึดมั่นมาตลอด คือการไม่ลืมตัวตนของแบรนด์
“หัวใจสำคัญที่ทำให้ซีอิ๊วไทยยืนหนึ่งอยู่ในครัวไทยมาเกือบศตวรรษ คือ คุณภาพกับรสชาติ ที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง รสชาติที่ผู้คนจดจำได้แม่นยำเสมือนสูตรอาหารประจำบ้าน ถ้าร้านอาหารที่คุณกินตอนเด็ก วันหนึ่งรสชาติเปลี่ยน คุณจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว” วสุพล เล่าถึงหลักคิดที่หยั่น หว่อ หยุ่นใช้เป็นเข็มทิศ
พร้อมกันนั้น บริษัทยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตเพื่อให้คุณภาพดีขึ้นอยู่เสมอ ใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานสูง และรักษาราคาไม่ให้กระทบผู้บริโภคมากเกินไป ทั้งที่ต้นทุนแทบทุกอย่างสูงขึ้นทุกปี “เราไม่เคยผลักภาระนั้นให้ลูกค้า” วสุพลกล่าว พร้อมบอกว่า บริษัทเลือกจัดการต้นทุนภายในด้วยวิธีอื่น เช่นการหาซัพพลายเออร์ใหม่ หรือใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ส่วนอีกฟันเฟืองที่แบรนด์ไม่อาจมองข้ามคือ แบรนดิ้ง เพราะในยุคที่ใครก็ผลิตซีอิ๊วได้ แบรนด์ไทยอายุ 80 ปีต้องยิ่งย้ำจุดแข็งของตัวเองให้คนรุ่นใหม่รู้จักและจดจำให้ได้ โดยไม่ทิ้งรากของความเป็นเด็กสมบูรณ์ที่โตมาพร้อมกับทุกเจเนอเรชัน
ยืนยันจะไม่เล่นสงครามราคา
แม้ตลาดเครื่องปรุงจะถูกขับเคลื่อนด้วย ‘ราคา’ มากขึ้น แต่เด็กสมบูรณ์เลือกที่จะไม่ลงสนาม Price War เพราะรู้ดีว่าการลดราคาคือดาบสองคม “ถ้าวันหนึ่งเราขายซีอิ๊วจาก 40 บาท เหลือ 20 บาท ผู้บริโภคจะเริ่มตั้งคำถามว่าใช้วัตถุดิบเดิมไหม หรือคุณภาพลดลงหรือเปล่า แล้วจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในราคาเดิมได้อีก”
ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงเรื่องกำไรหรือการกลับขึ้นราคาที่ยากลำบาก แต่ยังส่งผลถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้าง เด็กสมบูรณ์จึงเลือกวิธีรักษาคุณภาพและคงราคาที่เหมาะสม เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในทุกระดับ และอยู่ในครัวไทยได้อีกนาน
ซีอิ๊วในทุกจาน คือเป้าหมายของแบรนด์
เมื่อถามถึงกลุ่มเป้าหมายในยุคนี้ แบรนด์กลับมองกว้างกว่าตัวเลขหรือเซกเมนต์ทางการตลาด สิ่งที่เด็กสมบูรณ์อยากเป็นส่วนหนึ่งของจานอาหารทุกมื้อ ไม่ว่าจะเป็นซอสหอยนางรม ซีอิ๊วดำ หรือซีอิ๊วขาว ขอแค่ได้อยู่ในช่วงเวลาแห่งความอร่อย เป็นตัวเชื่อมโยงโมเมนต์ดีๆ ของคนในบ้าน ก็เพียงพอแล้ว
และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น แบรนด์จึงต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านช่องทางใหม่ๆ การทำคอนเทนต์ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ รวมถึงแนะนำไอเดียการใช้ซีอิ๊วในเมนูหลากหลายรูปแบบให้รสชาติเด็กสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ของเดิมในขวดเดิม แต่กลายเป็นรสชาติที่ใครๆ ก็อยากหยิบใช้ในทุกวัน
ผู้บริโภคเปลี่ยน เด็กสมบูรณ์ต้องเปลี่ยนมากกว่า
“ทุกวันนี้คนทำอาหารน้อยลงมากครับ” ทายาทรุ่นที่ 3 ของเด็กสมบูรณ์ เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค จากยุคที่ทุกบ้านมีคนทำกับข้าวเอง สู่ปัจจุบันที่ร้านอาหารเปิดมากขึ้น ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป และคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตเร่งรีบขึ้นทุกที
“ต่อให้กินที่บ้าน หลายคนก็ไม่ได้ทำเองอยู่ดีครับ มื้อหนึ่งอาจเป็นอาหารเดลิเวอรี หรือมีคนทำให้แทน เด็กสมบูรณ์จึงต้องปรับตัวตาม ด้วยการขยายจากตลาดครัวเรือน (B2C) ไปสู่กลุ่มร้านอาหารและธุรกิจบริการอาหาร (B2B) มากขึ้น
“เป้าหมายของเราคือ ต้องอยู่ในจานของร้านอาหารให้ได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ในบ้าน แต่ต้องโตในโต๊ะอาหารนอกบ้านด้วย”
ขยายตลาดด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การขาย
“ทุกเช้าก่อนเริ่มงาน หรือแม้แต่หลังเลิก ผมจะใช้เวลาติดตามเทรนด์ผู้บริโภคตลอดครับ” วสุพรเล่า
วิธีคิดของเขาในการหาตลาดใหม่ ไม่ได้เริ่มที่การออกสินค้าใหม่ทันที แต่เริ่มจากการเข้าใจว่า ผู้คนเปลี่ยนไปอย่างไร ผ่านการดูรีวิวบน TikTok การติดตามเพจการตลาด และการอ่านข่าวทั้งในไทยและต่างประเทศ
“ผมเชื่อว่าการเข้าใจเทรนด์โลก จะทำให้เราวางแผนได้แม่นยำกว่าการเดา สำหรับแบรนด์ที่อยู่กับคนไทยมายาวนาน การเติบโตที่ยั่งยืน ไม่ได้มาจากการวางขายให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจผู้คนให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน”
ซีอิ๊วเม็ด ไม่ได้มาแทนของเดิม แต่มาเติมทางเลือก
เมื่อเด็กสมบูรณ์เปิดตัว ‘ซีอิ๊วเม็ด’ นวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีในตลาดไทยมาก่อน เสียงตอบรับก็มีทั้ง 2 ด้าน บางคนมองว่าน่าสนใจเพราะใช้งานสะดวก บางคนก็ยังยึดติดกับรูปแบบเดิมที่คุ้นเคย
“ก็มีคนบอกว่า แบบน้ำก็ดีอยู่แล้วนะ แต่ก็มีอีกกลุ่มที่บอกว่าแบบเม็ดเวิร์กกว่า” วสุพลเล่าถึงกระแสตอบรับ พร้อมอธิบายว่า สิ่งที่แบรนด์ต้องการไม่ใช่การแทนที่ แต่คือการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
“เราไม่ได้ทำซีอิ๊วเม็ดมาเพื่อฆ่าซีอิ๊วน้ำเลย เราแค่คิดว่าในบางสถานการณ์ เช่น ต้องเดินทางไปต่างประเทศ หรืออยู่ในที่ที่พกของเหลวลำบาก ซีอิ๊วเม็ดอาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า มันเบากว่า ประหยัดพื้นที่กระเป๋า และไม่ต้องกลัวเรื่องขวดแตกด้วย”
เขาย้ำว่า เด็กสมบูรณ์ไม่ได้พยายามบังคับใครให้เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่เคยคิดจะเลิกขายซีอิ๊วแบบน้ำ แล้วให้คนหันมาใช้แบบเม็ดแทน แต่ทั้งหมดคือ การสร้างทางเลือกใหม่ให้คนตัดสินใจด้วยตัวเอง
“ผมเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ควรถูกบังคับ เราแค่เสนอว่า ปัจจุบันเรามีตัวเลือกแบบนี้แล้วนะ แล้วเราก็เป็นเจ้าแรกในเมืองไทยที่ทำ”
ทั้งนี้ซีอิ๊วเม็ดไม่ใช่แค่ของเล่นใหม่ แต่คือจุดเริ่มต้นของการขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของแบรนด์
“เราขายซีอิ๊วขวดแบบเดิมมาร้อยกว่าปี แต่ในยุคที่มีเทคโนโลยีมากขึ้น ทำไมเราจะไม่ลองคิดต่อยอดให้ไกลกว่านั้นล่ะ ผมอยากเห็นซีอิ๊วเด็กสมบูรณ์ไปอยู่ในจานอาหารของนักบินอวกาศ หรืออยู่ในกระเป๋านักท่องเที่ยวที่เดินทางข้ามโลก ถ้าแบบน้ำพกยากก็เอาแบบเม็ดไปแทน”
เพราะเป้าหมายของเด็กสมบูรณ์ยังคงเหมือนเดิม นั่นคืออยู่ในทุกจานอาหาร ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน บนเครื่องบิน หรือแม้แต่บนจรวด
“อยากให้โลโก้เราเป็นแบบที่ฝรั่งมาไทยแล้วต้องหิ้วกลับไป”
ในวันที่แบรนด์เก่าแก่ไม่อยากหยุดแค่ขวดซีอิ๊วบนโต๊ะอาหาร เด็กสมบูรณ์ก็เริ่มแตกไลน์สินค้าออกไปไกลกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นไอศครีมรสซีอิ๊ว ซีอิ๊วในรูปแบบเม็ด หรือแม้กระทั่งเสื้อยืดที่พิมพ์โลโก้แบรนด์เอาไว้กลางอกอย่างภาคภูมิ
ถามว่าสิ่งเหล่านี้สะท้อนตัวตนของแบรนด์อย่างไร วสุพลตอบว่า “ผมอยากพาเด็กสมบูรณ์ไปให้ถึงระดับ Global Brand เราเห็นแบรนด์ระดับโลกอย่าง Coca-Cola, McDonald’s หรือแม้แต่ Starbucks ที่คนพร้อมใส่เสื้อมีโลโก้แบรนด์พวกนี้ เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์บางอย่างของยุคสมัยไปแล้ว แล้วกลับมาดูเมืองไทย เราเห็นฝรั่งใส่เสื้อช้าง ใส่เสื้อสิงห์ มันคือซอฟต์พาวเวอร์แบบบ้านๆ แต่จริงมาก
“ผมมองโลโก้เราแล้วรู้สึกว่ามันขลังนะ มันมีอายุ มีที่มา แล้วมันก็ผูกกับอาหารไทยอยู่แล้ว เราอยู่กับจานข้าวของคนไทยมานานมาก แล้วทำไมเราจะนำเสนอความเป็นไทยผ่านแบรนด์ไม่ได้ นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของการทำไอศครีม ซีอิ๊วเม็ด หรือเสื้อยืดพวกนี้ขึ้นมา”
ไม่ใช่แค่ทำของใหม่เพื่อความหวือหวา แต่เพื่อขยับภาพจำของเด็กสมบูรณ์ให้ข้ามไปอีกเลเวล จากตู้กับข้าวสู่ของที่อยากพกติดตัว
คอลแลบไม่ใช่แค่ขายของ แต่คือการแชร์พลังกันคนละครึ่ง
“หลายคนมักคิดว่าเวลาคอลแลบกัน ต้องได้เงิน ต้องมี GP ต้องวางเป้าเรื่องยอดขายไว้ก่อน แต่สำหรับผม มันไม่ใช่แบบนั้นเลย
“สิ่งแรกที่เรามองเวลาจะจับมือกับใครสักคน ไม่ใช่เรื่องตัวเลข แต่เป็นคำถามว่า จะมีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ไหม ถ้าเรามาร่วมมือกัน เพราะเราไม่ได้ทำคอลแลบเพื่อขายของชิ้นเดียวแล้วจบ แต่เราทำเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผู้บริโภคจะไม่เคยเจอมาก่อน”
สำหรับเด็กสมบูรณ์ การคอลแลบหมายถึงการเอาความถนัดของแต่ละฝั่งมาแชร์กันคนละครึ่ง เหมือนที่พวกเขาเคยร่วมกับ Potato Corner หรือ McDonald’s
“ผมไม่ได้ทำเฟรนช์ฟรายส์เป็น เขาก็ไม่รู้จะทำซีอิ๊วยังไง แต่มาเจอกันแล้วออกมาเป็นเมนูใหม่ที่ดีที่สุดได้ ถ้าไม่อร่อย ก็ไม่ออกครับ ทุกเมนูผมชิมเอง ถ้ามันไม่พอดี หวานไป เค็มไป ขาดอะไรไปนิดเดียวยังไม่ออก ผมซีเรียสเรื่องนี้พอสมควร”
แล้วตอนนี้ มีอะไรที่กำลังจะปล่อยออกมาบ้าง
“มีเยอะครับ เยอะมากจนบางอย่างยังทำไม่ทันเลย เพราะผมเองก็เป็นคนละเอียดมาก ทุกครั้งผมชิมเองหมด ก็เลยช้า เพราะอยากให้มันออกมาดีจริงๆ เวลาเราทำคอลแลบ ถ้ารีบมากไปแล้วออกมาไม่ดี คนก็จะรู้สึกว่าแบรนด์เด็กสมบูรณ์กับอีกแบรนด์หนึ่งทำไมออกมาแล้วมันไม่อร่อยเลย ผมว่ามันจะไม่แฟร์กับทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นทุกโปรเจกต์ที่กำลังจะออก ขอให้มั่นใจเลยครับว่าเราทำเต็มที่จริงๆ ไม่ออกมาให้เสียชื่อแน่นอน”
จากซีอิ๊วหวาน 1 หยด สู่ไอศครีมไวรัลถ้วยแรก
“ตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะทำไอศครีมจริงจังเลยครับ แค่ช่วงก่อนเข้ามหา’ลัยผมอินกับเทรนด์คาเฟ่ เลยนึกสนุกว่าซีอิ๊วเด็กสมบูรณ์จะเข้าไปอยู่ในโลกของขนมหวานได้ไหม
“ผมว่าเนื้อมันคล้ายคาราเมลเลยนะ เลยลองราดไอศครีมดูเองที่บ้าน ปรากฏว่ามันได้ ฟีลเหมือน Salted Caramel แค่เปลี่ยนจากเกลือเป็นซีอิ๊ว ผมก็เอาให้พ่อแม่ชิม ถ้าผ่านก็ลุยต่อ”
ด้วยงบจำกัด ไม่มี KOL ไม่มีแคมเปญใหญ่ เขาเสนอให้เปลี่ยนดีไซน์ฉลากเล็กๆ บนขวด ใส่คำว่า ‘ซีอิ๊วหวาน ใส่ไอศครีมได้’ ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคนเอาไปโพสต์ลงโซเชียลฯ ถามกันว่า จริงเหรอ บางคนลองผิดสูตร เอาซีอิ๊วเค็มไปราดไอศครีม บอกกินไม่ได้ บางคนใช้หวานแล้วติดใจ
“ผมเลยตัดปัญหา บอกเลยว่า เดี๋ยวเด็กสมบูรณ์ทำไอศครีมให้เอง”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ที่ยังขายดีต่อเนื่องมาจนวันนี้ “ผ่านมา 6-7 ปีแล้วครับ แต่เราขายไปแค่ 3-4 ล้านถ้วยเอง ทั้งที่ยังมีคนไทยอีกหลายล้านคนที่ยังไม่เคยลอง ผมเลยยังอยากให้ทุกคนได้ชิมอยู่ดี”
ปัจจุบันไอศครีมซีอิ๊วของเด็กสมบูรณ์มีทั้ง Pop-up Store ที่ ICONSIAM, Deksomboon Shop สาทรและเยาวราช และออกตามงานอีเวนต์เรื่อยๆ ส่วนรสบ๊วยที่ตามออกมาก็เพราะอยากเพิ่มไลน์ที่เป็นฟรุตตี้
“ซีอิ๊วมันครีมๆ ไปแล้ว เราก็เลยหาอะไรสดชื่นๆ บ้าง แล้วในแบรนด์เราที่ใกล้ผลไม้สุดก็คือน้ำจิ้มบ๊วย ก็เลยกลายเป็นเชอร์เบตรสบ๊วย”
บางอย่างอาจยังไม่เวิร์ก แต่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
“ถ้าถามว่ามีโปรเจกต์ไหนที่ทำแล้วไม่เวิร์กบ้างมั้ย มีครับ มีหลายตัวเลย แต่สุดท้ายเราก็ยังพยายามทำให้มันเวิร์กให้ได้อยู่ดี”
เพราะสำหรับที่เด็กสมบูรณ์ความล้มเหลวไม่ใช่เครื่องหมายจบ แต่เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนสูตร ลองใหม่ ทำซ้ำ แล้วขยับเข้าใกล้เป้าหมายอีกนิด
เขาหยิบเคสของซีอิ๊วเม็ดขึ้นมาเล่า สินค้าที่ฟังดูเรียบง่ายแต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความยากลำบาก “เราเอาซีอิ๊วของเรามาเข้าสู่กระบวนการสเปรย์ดราย คือนำน้ำมาทำให้แห้งกลายเป็นผง แต่โจทย์ใหญ่คือยังต้องเก็บ ‘รส’ และ ‘กลิ่น’ ให้ได้ครบเหมือนเดิม ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“ผมเชื่อว่าทุกปัญหามันมีทางออกของมัน สมัยก่อนใครจะเชื่อว่ามนุษย์จะบินได้ หรือสร้างแสงไฟได้ใช่ไหม แต่ถ้าเราไม่หยุดตั้งคำถาม มันก็จะมีวันที่เราไปถึง”
ซีอิ๊วเม็ดใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปีกว่าจะออกมาได้จริง และบางไอเดียก็อาจต้องใช้เวลา 5 หรือ 6 ปีขึ้นไป “แต่ผมยังอายุ 27 ครับ ผมว่าแพสชันมันสำคัญ เราแค่ต้องไม่เบิร์นเอาต์ ต้องเก็บไว้ให้ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อโปรเจกต์หนึ่ง แต่มันคือวิธีที่เราจะเดินหน้าต่อในระยะยาว”
จากครัวไทยสู่ครัวโลก และจากรุ่นหนึ่ง สู่ความทรงจำในใจใครสักคน
“ถ้าในส่วนของ Core Product พวกซีอิ๊ว ซอสหอยต่างๆ ผมยังอยากพัฒนาให้แบรนด์เด็กสมบูรณ์เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอาหารไทยให้ไปไกลกว่านี้ ทุกวันนี้คนทั่วโลกเริ่มรู้จักอาหารไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคำถามคือ เราจะมีบทบาทตรงนั้นยังไงให้มากขึ้นอีก จะทำยังไงให้เครื่องปรุงของเราเป็นส่วนหนึ่งในมื้ออาหารไทยที่เขาได้ลิ้มลองครั้งแรก และรู้สึกถึงความภาคภูมิใจของคนไทยที่อยู่เบื้องหลัง
“ในขณะเดียวกัน เราก็มองหาเส้นทางใหม่ๆ ให้แบรนด์เติบโตออกไปนอกกรอบเดิม ปีนี้ผมอยากลองทำขนมครับ พวกเบเกอรี คุกกี้ ขนมปังที่ผสมกลิ่นอายอาหารไทยแบบเต็มที่ ขนมปังหมูหยอง ขนมปังกะเพรา ขนมปังก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผมว่ามันมีทางไปได้อีกเยอะ”
แม้เด็กสมบูรณ์จะผ่านการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย “สุดท้ายแล้วอยากให้จดจำว่า เด็กสมบูรณ์คือเครื่องปรุงที่ผลิตและบริหารโดยคนไทย 100% และคุณภาพมาตรฐานระดับโลก จริงๆ คนไทยเก่งนะ แค่บางทีเรายังไม่กล้าเชื่อในศักยภาพของตัวเองมากพอ ทุกคนไม่จำเป็นต้องชอบเด็กสมบูรณ์ก็ได้ แต่อยากให้ในชีวิตทุกคน อย่างน้อยครั้งหนึ่งอยากให้เราเป็นส่วนหนึ่งในมื้ออาหารสำคัญของเขา แค่นั้นผมก็มีความสุขแล้วครับ” วสุพลกล่าวทิ้งท้าย