สัตว์ยักษ์โบราณอายุราว 250 ล้านปีก่อน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ไดโนเสาร์’ แม้ในวันนี้พวกมันจะไม่ได้หลงเหลืออยู่บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้อีกต่อไป และทิ้งเศษซากโครงกระดูกให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้า

แต่แม้สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเหล่านี้จะสูญพันธุ์ไป ทว่าชื่อของไดโนเสาร์ก็ไม่ได้จางหาย เพราะ ‘ไดโนเสาร์’ ยังคงถูกนำมาฉายซ้ำบนสื่อมากมาย ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน ตลอดจนกลายเป็นของเล่นให้เหล่าน้องๆ หนูๆ ได้เห็นและสร้างจินตนาการ

สำหรับประเทศไทย นับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีชื่อเสียงด้านไดโนเสาร์ไม่น้อย เพราะมีการค้นพบไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ เช่น ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์กิ (Psittacosaurus sattayaraki), ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน (Phuwiangosaurus sirindhornae) หรือสยามโมซอรัส สุธีธรนิ (Siamosaurus suteethorni) รวมแล้วกว่า 13 สายพันธุ์

มาวันนี้ ‘ไดโนเสาร์’ จะไม่ได้อยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือจินตนาการอีกต่อไป เมื่อกลุ่ม Asset World Corporation (AWC) จับมือร่วมกับ NEON และ Universal Live Events and Location Based Entertainment ในการเปิดตัวธีมพาร์ก Jurassic World: The Experience ณ Asiatique the Riverfront ใจกลางกรุงเทพฯ ที่พร้อมคืนชีพให้สัตว์ยักษ์ในตำนานกลับมาสร้างความสนุกให้กับชาวไทย

คอลัมน์ Out and About สัปดาห์นี้ The Momentum มีโอกาสได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมเยือนบ้านหลังใหม่ของเหล่าไดโนเสาร์ และอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกเล่าต่อ

ทันทีที่ไปถึง Jurassic World: The Experience เราจะพบกับโลโก้ Jurassic Park อันเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์แฟรนไชส์ขนาดใหญ่ติดอยู่บนเพดาน พร้อมการจัดแสดง ‘ก้อนอำพัน’ ที่ด้านในบรรจุแมลงโบราณขนาดใหญ่หลายก้อน ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน

เริ่มกันที่การ ‘ล่องเรือจำลอง’ โดยเจ้าหน้าที่ประจำธีมพาร์กจะชวนเหล่าผู้เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ เพื่อก้าวเข้าไปสู่ ‘เกาะอิสลา นูบลาร์’ (Isla Nublar) ซึ่งเป็นเกาะสำคัญประจำแฟรนไชส์ภาพยนตร์ ระหว่างการเดินทาง 2 ฝั่งของหน้าต่างเรือจะปรากฏเป็นภาพของวาฬกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ ก่อนที่บริเวณหน้าต่างจะแสดงข้อมูลทางชีววิทยาที่สำคัญของ ‘โมซาซอรัส’ (Mosasaurus) กิ้งก่าทะเลที่มีชีวิตอยู่ช่วงปลายยุคครีเทเชียส (Cretaceous) ขึ้นมา

และเมื่อเรือล่องมาถึงเกาะอิสลา นูบลาร์ เรียบร้อยแล้ว เราจะได้ยินเสียงของไดโนเสาร์ และสิ่งมีชีวิตส่งเสียงร้องออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ก่อนที่จะพบกับซุ้มทางเข้าพร้อมป้ายชื่อ Jurassic World ราวกับว่าเรากำลังจะหลุดเข้าอยู่ในภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น

โดยความตื่นเต้นแรกที่ธีมพาร์กจัดให้เราอย่างสมน้ำสมเนื้อคือ การเผชิญหน้าเข้ากับ ‘แบรคิโอซอรัส’ (Brachiosaurus) หรือไดโนเสาร์คอยาวที่ยืนกินใบไม้อย่างสงบและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ในห้องที่ชื่อว่า A Close Counter with Giants ซึ่งภายในพื้นที่ผู้เข้าชมสามารถเดินขึ้นไปชมการให้อาหารของเจ้าหน้าที่อุทยานได้อย่างใกล้ชิด

เดินถัดมาอีกห้อง เราก็จะพบเข้ากับ ‘แองคิโลซอรัส’ (Ankylosaurus) ขนาดความยาวลำตัวจากหัวจรดหางราว 5 เมตร ยืนขยับตัวไปมาด้วยความน่ารัก แม้ว่าบางครั้งจะสร้างความกลัวให้กับเหล่าเด็กๆ จนเรียกเสียงกรี๊ดและน้ำตาออกมาได้ สำหรับแองคิโลซอรัสเป็นไดโนเสาร์กินพืชที่มีร่างกายด้านบนเป็นเกราะกำบัง และมีหางเป็นลูกตุ้มขนาดใหญ่ เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเวลาต่อสู้กับไดโนเสาร์กินเนื้อที่จะเข้ามาทำร้าย

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูบานข้างๆ ซึ่งก็คือจุดที่เราพบกับแองคิโลซอรัสได้เปิดออก เพื่อให้นักผจญภัยเข้าไปยังห้อง The Predator Pavillion แล้วเจอกับฝูง ‘แรปเตอร์’ (Raptor) ถูกครอบปากเอาไว้ ทั้งนี้แรปเตอร์คือ ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดเล็กที่มีลักษณะสำคัญคือ มักออกล่าเป็นฝูงคล้ายหมาป่า โดยธีมพาร์กครั้งนี้มีทั้งหมด 4 ตัว

โดยกลุ่มแรปเตอร์ที่ถูกจัดแสดงนี้ คือกลุ่มแรปเตอร์เดียวกันกับที่มาจากภาพยนตร์ Jurassic World ได้แก่ ชาร์ลี (Charlie), เดลต้า (Delta), เอคโค้ (Echo) และบลู (Blue) โดยกิมมิกสำคัญของห้องนี้อยู่ที่ การได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์การฝึกฝนบลูให้เชื่อง ราวกับได้รับบทเป็น โอเวน เกรดี้ (Owen Grady) ตัวเอกจากเรื่อง Jurassic World

เมื่อการฝึกฝนเจ้าแรปเตอร์สุดเชื่องสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่อุทยานได้พาเหล่านักเดินทางมายังหอสังเกตการณ์ (The Observation Deck) เพื่อชวนนักท่องเที่ยวมองหา ‘อินโดไมนัสเร็กซ์’ (Indominus Rex) ไดโนเสาร์ตัวร้ายจากเรื่อง Jurassic World ที่ถูกพัฒนาตัดแต่ง DNA ของงูหางกระดิ่ง กบต้นไม้ และหมึกกระดอง ทำให้ไดโนเสาร์ตัวนี้มีความสามารถพิเศษในการพรางตัว

ทันทีที่อินโดไมนัสเร็กซ์ปรากฏตัวต่อหน้านักผจญภัย มันได้สร้างความน่าสะพรึงกลัวด้วยการคำรามใส่กระจกใสที่กั้นระหว่างตัวของมันและผู้ชม อีกทั้งอินโดไมนัสเร็กซ์ยังได้เข้าปะทะกับ ‘คาร์โนทอรัส’ (Carnotaurus) ไดโนเสาร์เทอโรพอด จนทำให้กำแพงของหอสังเกตการณ์แตกหักและเจ้าหน้าที่อุทยานได้พาเหล่านักสำรวจเดินหนีออกไปอีกห้อง

เมื่อเข้ามายังอีกห้องแล้ว คราวนี้เราได้พบกับพื้นที่ป่าดิบชื้น ที่มีการจัดแสดงส่วนประกอบสำคัญจากแฟรนไชส์ Jurassic Park ไม่ว่าจะเป็นรถจี๊ป (Jeep) และรถขนส่งไดโนเสาร์ พร้อมกับเสียงร้องของไดโนเสาร์นานาพันธุ์ที่ส่งเสียงคำรามตลอดเส้นทาง

หากเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ เหล่านักสำรวจจะได้พบกับ ‘เทอราโนดอน’ (Pteranodon) ไดโนเสาร์บินได้ที่บินมาเกาะอยู่ สร้างความน่ากลัวและเรียกเสียงกรีดร้องของเหล่าเด็กๆ ได้ตลอดทั้งทางเดิน

และแล้วห้องไฮไลต์สุดท้ายก็มาถึง โดยทันทีที่เดินเข้าไปเราจะคงยังพบกับ ‘ความมืด’ ก่อนที่ความน่าสะพรึงกลัวสุดท้ายจะค่อยๆ คลืบคลานเข้ามา นั่นก็คือ การมาถึงของ ‘ทีเร็กซ์’ (T-Rex) ไดไนเสาร์กินเนื้อสุดโหดร้ายที่เป็นขวัญใจของเหล่าคนรักแฟรนไชส์ Jurassic Park 

โดยทีเร็กซ์จะค่อยๆ เดินเข้ามาหาเหล่านักผจญภัยก่อนที่จะคำรามส่งเสียงดังอยู่หลายนาที สร้างความน่าเกรงขามทิ้งท้ายก่อนที่การแสดงสัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดกับเหล่าไดโนเสาร์จะจบลง ที่พื้นที่ขายของลิขสิทธิ์แท้จาก Universal Studios ให้เหล่าแฟนๆ ได้เลือกซื้อสินค้า เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำ

หากกล่าวโดยสรุป ในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ ใน Jurassic World: The Experience ถือว่าเป็นอีกหนึ่งธีมพาร์กที่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ และมีความตื่นเต้นที่รอเหล่านักผจญภัยไปค้นพบมากมาย หากใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้แฟรนไชส์ Jurassic Park หรือมีความหลงใหลในสัตว์ยักษ์ในตำนานคงต้องบอกว่า ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด เพราะแค่ได้มาเห็นองค์ประกอบต่างๆ จากภาพยนตร์ก็ถือว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม

Fact Box

  • Jurassic World: The Experience เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 21.00 น.) สามารถซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ www.jurassicworldexperience.com/th/ โดยบัตรเข้าชมเริ่มต้นที่ 579 บาท สำหรับเด็กอายุ 3-10 ปี และราคา 769 บาทสำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 11 ปีขึ้นไป

Tags: , , , , , , , , , , , , , ,