หากคุณต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ถูกต้อง กับชีวิตที่ราบรื่นสุขสบายไร้ปัญหา คุณจะเลือกอะไร?

หรือหากเปลี่ยนคำถามเพื่อให้เห็นภาพอีกนิด เช่น

คุณจะยอมช่วยคนพิการข้ามถนนหรือไม่ หากขณะนั้นคุณอยู่ในช่วงเวลาเร่งด่วน

คุณจะเลิกซื้อเสื้อผ้า Fast Fashion ราคาถูกไหม หากอุตสาหกรรมนี้ทำลายสิ่งแวดล้อมและใช้แรงงานเด็ก

คำถามที่ดูแสนง่ายและเป็นเรื่องสามัญที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่หากเป็นคุณจะเลือกอะไร? 

Small Things Like These สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าชีวิต เขียนโดย แคลร์ คีแกน แปลโดย ฝนบ่าย จากสำนักพิมพ์ Words เป็นนวนิยายเรื่องราวชีวิตของ บิล เฟอร์ลองก์ คนธรรมดาคนหนึ่งที่เติบโตมาอย่างลำเค็ญ อย่างตอนหนึ่งในหนังสือบรรยายไว้ว่า “เขาเริ่มต้นจากศูนย์ บางคนอาจบอกว่าติดลบเลยก็ได้” สู่การกัดฟันต่อสู้กับโชคชะตา จนท้ายที่สุดเขามีอาชีพที่มั่นคงขณะที่หลายคนตกงาน ไม่มีแม้แต่อาหารจะกิน แถมมีเงินทองมากพอที่จะทำให้ไอลีนภรรยาและลูกสาวอีก 5 คนไม่ต้องลำบาก 

“เรานี่โชคดีจริงๆ เลยนะ” เขาพูดกับไอลีนบนเตียงในคืนหนึ่ง

“คนอื่นเขาลำบากกันเยอะแยะ”

“ใช่เราโชคดีมากๆ”

(หน้าที่ 7)

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในทศวรรษ 1980 ในเมืองเล็กๆ ของไอร์แลนด์ ช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจค้าถ่านหินของเฟอร์ลองคึกคักที่สุดในปี เนื่องจากมีอากาศที่หนาวเย็น 

หนังสือเล่มนี้ฉายภาพบรรยากาศความหนาวเหน็บ ความจน และชี้ให้เราเห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะ ‘โชคดี’ อย่างครอบครัวเฟอร์ลองก์ 

อีกฉากสำคัญที่ปรากฏในนวนิยายเล่มนี้คือ ‘ร้านซักรีดแมกดาลีน’ (The Magdalene Laundries) ตามบันทึกและหลักฐานประวัติศาสตร์ ร้านซักรีดแมกดาลีนเกิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ตั้งตามชื่อ แมรี แมกดาลีน (Mary Magdalene) หนึ่งในผู้ติดตามพระเยซู ผู้ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นผู้หญิงใจบาป ถูกผี 7 ตัวสิงร่าง เป็นโสเภณีและภรรยาของพระเยซู รวมถึงถูกยกย่องให้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของผู้ที่ค้าบริการทางเพศ และผู้หญิงที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นหญิงบาปในหลายพื้นที่ทั่วโลกยาวนานหลายทศวรรษ

ร้านซักรีดแมกดาลีนมีฉากหน้าเป็นสถานสงเคราะห์ อยู่ภายใต้การดูแลของคณะนักบวชคาทอลิกที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐไอริช ที่มีจุดประสงค์เพื่อ ‘ฟื้นฟู’ ผู้หญิงที่สังคมมองว่าตกต่ำหรือที่เรียกว่า ‘Fallen Women’ เช่น ผู้หญิงที่ท้องก่อนแต่ง โสเภณี หรือลำบากจากความผิดพลาดในชีวิต และเป็นเด็กกำพร้า 

ทว่ามีฉากหลังเป็นสถานที่กดขี่แรงงานเด็กและผู้หญิงให้ทำงานแบบไร้ค่าจ้าง โดยงานส่วนใหญ่เป็นงานซักรีดเสื้อผ้า ทำความสะอาด และทำอาหาร ท่ามกลางการทำงานอย่างหนัก แต่เด็กและสตรีเหล่านี้กลับได้รับการดูแลที่ไม่เหมือนคน

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับที่นั่นเหรอ” เฟอร์ลองก์ถาม

“ไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ที่ฉันบอกคุณเท่านั้นแหละ” เธอตอบ

“และจะยังไงก็แล้วแต่ เรื่องแบบนี้มันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ ลูกสาวเราทุกคนสบายดีและได้รับการดูแลเอาใจใส่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ลูกสาวเรา?” เฟอร์ลองก์พูด “เรื่องนี้มันเกี่ยวกับลูกๆ เราตรงไหน”

“ไม่เกี่ยวเลยสักอย่าง” เธอตอบ “แล้วเราจะต้องไปรับผิดชอบอะไร”

(หน้า 33) 

Small Things Like These สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าชีวิต ชวนเราขบคิดถึงช่วงเวลาบีบเค้นที่ต้องเลือกระหว่างไม่ทำอะไรเลย กับต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพราะหลายครั้งสิ่งที่เรากำลังต่อสู้หรืออยากเปลี่ยนแปลง มันใหญ่มากกว่าพละกำลังที่เรามี และอาจทำให้เราสูญเสียทุกอย่างที่เคยสร้างมาได้ อย่างช่วงหนึ่งของหนังสือกล่าวไว้ว่า

“การสูญเสียทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายที่สุดในโลก”

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นมากกว่านวนิยายและบันทึกประวัติศาสตร์ เพราะช่วยสะกิดหัวใจผู้อ่านให้ฉุกคิดและตั้งคำถามว่า เราสามารถเลือกทำสิ่งเล็กๆ ที่อาจส่งผลยิ่งใหญ่ต่อชีวิตหรือสิ่งต่างๆ ได้มากมายกว่าที่เราคิดหรือไม่

ขณะเดียวกันหนังสือขนาดเล็กเล่มนี้ ก็ฉายภาพคนธรรมดาที่ต้องต่อสู้กับอำนาจมืด ที่มาจาก ‘รัฐ’ ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แม้ว่าเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้จะเกิดขึ้นคนละทวีปกับประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันมันกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยและคลับคล้ายคลับคลา 

เรื่องราวของประชาชนคนทั่วไปที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างชีวิตที่แสนสงบสุข หรือต้องเสียสละบางอย่างหรือหลายอย่าง เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะชนะหรือไม่ และแน่นอนว่า คนธรรมดาเหล่านั้นหลายคนต้องลงเอยในเรือนจำ หรือต้องลี้ภัยไปต่างแดน 

Tags: , , , , , , ,