คุกลับ CIA
หากยังจำกันได้ เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความลึกลับของ ‘ค่ายรามสูร’ หนึ่งในฐานทัพสหรัฐอเมริกาในไทยยุคสงครามเย็น ได้รับความสนใจจากสาธารณชนครั้งใหญ่ เมื่อ จีนา แฮสเปล (Gina Haspel) ได้รับเลือกจาก โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ CIA ในปี 2561
ว่ากันว่า แฮสเปลพัวพันกับเบื้องหลังคดีก่อการร้ายของ อับดุลราฮิม อัลนาชิรี (Abdul Rahim al-Nashiri) ชายที่ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์ ผู้ออกมาแฉว่า ตนถูกคุมขังและทรมานใน ‘Black Site’ หรือคุกลับของ CIA ในต่างประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงสถานที่ในอัฟกานิสถาน โปแลนด์ โมร็อกโก ลิทัวเนีย โรมาเนีย และไทย
ขณะนั้นสื่อต่างประเทศต่างจับจ้องมาที่ภาคอีสานของประเทศ ในฐานะพื้นที่อิทธิพลเดิมของสหรัฐฯ โดยค่ายรามสูรถูกกล่าวถึงว่า เป็นหนึ่งในเครือข่ายของ CIA ที่ใช้ลงทัณฑ์นักโทษก่อการร้ายในต่างแดน บ้างก็ว่า เป็นสถานที่ที่ฮัมบาลี (Hambali) หรือริดูอาน อิซามุดดิน (Riduan Isamuddin) แกนนำกลุ่มก่อการร้ายเจมาห์อิสลามมิยาห์ (Jemaah Islamiah: JI) ถูกคุมขังก่อนจะย้ายไปอ่าวกวนตานาโม
เรื่องราวบานปลายไปถึง พันเอก รัชกฤช แดงไธสง รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 ให้สัมภาษณ์กับ Bangkok Post ว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะตนเคยตรวจสอบแล้ว แต่ไม่พบคุกลับแต่อย่างใด พร้อมทิ้งท้ายว่า ทางการยินดีเปิดค่ายรามสูรให้ทุกคนได้ค้นหาความจริงกับตาของตัวเอง
จนถึงวันนี้ปริศนาของอดีตฐานทัพอเมริกาคลี่คลายในฐานะพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของจังหวัดอุดรธานี โดย The Momentum ขออาสาพาทุกคนตามรอยอดีตและร่องรอยสงครามเย็น ไปพร้อมกับจับเข่าคุยกับคนคุ้นเคยในรั้วค่ายนี้อย่างดี
1
I เขียน Letter ถึงเธอ Dear John
เขียนใน Flat ที่ you เคยนอน
จังหวัดอุดร ประเทศ Thailand
เมื่อครั้งมีโอกาสทำประเด็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางการเมืองของอีสาน ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งเคยแนะนำให้ผู้เขียนฟังเพลง จดหมายรักจากเมียเช่า โดย มานี มณีวรรณ ในปี 2510 ซึ่งสารภาพตามตรงว่า ไม่เคยฟังมาก่อน เพราะความห่างของกาลเวลา (หรือพูดง่ายๆ ว่าเกิดไม่ทัน) แต่ก็ต้องยอมรับว่า เพลงนี้เปรียบเสมือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นดี ที่ยืนยันร่องรอยของสหรัฐฯ ในไทยช่วงสงครามเย็น
ดังเนื้อเพลงจากมานี จังหวัดอุดรธานีเป็นที่ประจำการของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น นอกเหนือจากนครราชสีมา อุบลราชธานี นครพนม ตาคลี (นครสวรรค์) อู่ตะเภา (ระยอง) และดอนเมือง (กรุงเทพฯ) โดยเป็นฐานปฏิบัติการในสงครามอินโดจีน จัดการประเทศเพื่อนบ้านที่เผชิญอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสม์อย่างเวียดนาม ลาว และกัมพูชา
ไม่ใช่แค่ฐานทัพที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาทั่วไป แต่ในตำบลโนนสูง จังหวัดอุดรธานี มรดกทางทหารของสหรัฐฯ ยังปรากฏ ‘สถานีวิทยุดักฟัง’ ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอันดับ 2 ของโลก โดยพื้นที่แห่งนี้เดิมเป็นทุ่งนาร้างโล่งโปร่งขนาดประมาณ 800 ไร่เศษของยายสา หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ยายถำ ชาวบ้านเจ้าของที่ดินคนหนึ่ง ซึ่งสหรัฐฯ ขอซื้อที่ต่อในราคา 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อก่อสร้างสถานีสื่อสารค่ายรามสูรในปี 2507 และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี 2509
โลกคนละใบ หนังคนละม้วน คือประโยคที่ใช้เปรียบเปรยระหว่างตัวเมืองอุดรธานีกับค่ายรามสูร เพราะภายในค่ายเต็มไปด้วยความเจริญก้าวหน้าราวกับโลกอีกใบ โดยกองทัพสหรัฐฯ เนรมิตพื้นที่รกร้างให้เป็นอาณาจักรที่สะดวกสบายไม่ต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน มีทั้งสระว่ายน้ำ โรงหนัง โรงยิม โรงโบว์ลิ่ง สนามเทนนิส โรงผลิตกระแสไฟฟ้า โรงนอนทหาร ร้านค้าสวัสดิการ (PX) และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกมาก จนมีคำกล่าวขานว่า เจริญผิดหูผิดตาจากตัวเมืองของจังหวัด
แต่ไม่นานนัก สหรัฐฯ ก็ถอนฐานทัพออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2519 ตามข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) เพื่อถอนตัวจากสงครามเวียดนาม และส่งมอบพื้นที่ให้กับกองทัพไทย แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและเทคโนโลยี ที่ทางการไม่สามารถต่อยอดพัฒนาได้ ทำให้ค่ายรามสูรถูกทิ้งร้างตามกาลเวลา
ต่อมากองทัพบกไทยได้ออกคำสั่งให้กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 เคลื่อนย้ายจากค่ายประจักษ์ศิลปาคมมาเข้าที่ตั้งแห่งนี้ในปี 2525 ขณะที่รับพระราชทานชื่อใหม่คือ ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดาในปี 2540
ความคิดการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ค่ายรามสูรเริ่มขึ้นในปี 2555 นำโดย อำนาจ ผการัตน์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ที่ร่วมประชุมกับ พลตรี ธวัช สุกปลั่ง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ขณะที่ภาคท้องถิ่นอย่างชาวบ้านทั่วไป ศิลปิน และ Noir Row กลุ่มศิลปะท้องถิ่น ก็ร่วมผลักดันให้สถานที่ทิ้งร้างนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับประชาชน จนเปิดให้สาธารณะเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการในปี 2561
2
จากเรื่องราวในวันวาน สู่การตามรอยมรดกสงครามเย็นในวันนี้ โดยไกด์ที่นำทางคือ ร้อยเอก พัฒนา สีมืด หรือ ‘ผู้กองมืด’ ฝอ.2 ร.13 พัน.1 ทำการแทน ฝอ.5 ร.13 พัน.1 ผู้ประสานงานและรับผิดชอบอาคารพิพิธภัณฑ์ ขณะที่ยังมีผู้ร่วมทางคนสำคัญคือ ทหารผ่านศึก 2 คน ผู้คุ้นชินกับค่ายแห่งนี้ดีคือ ร้อยโท ลิขิต สามะที และร้อยโท แสวง ขันทองชัย ข้าราชการบำนาญ อดีตกำลังพลหน่วยกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13
หลังจากเล่าประวัติค่ายรามสูรหอมปากหอมคอให้เราฟัง ผู้กองมืดวิเคราะห์ในเชิงยุทธศาสตร์ว่า สาเหตุที่ทหารสหรัฐฯ ได้เลือกพื้นที่แห่งนี้ในการก่อสร้างสถานีสื่อสาร เพราะเป็นพื้นที่เหมาะสม ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างดังต่อไปนี้
1. พื้นที่ที่มีสัญญาณแรงที่สุด รับคลื่นสัญญาณจากประเทศเพื่อนบ้านได้ดี
2. การคมนาคมมีความสะดวก ด้านหลังค่ายติดกับทางรถไฟ และด้านหน้าติดกับถนนมิตรภาพ ซึ่งในอดีตนั้นคือ ถนนมิตรภาพหมายเลข 2 ใช้เป็นรันเวย์สำหรับเครื่องบินทหาร สามารถลงจอดฉุกเฉินได้ทันที
3. บริเวณพื้นที่ใกล้เคียง มีทรัพยากรใต้ดินจากแหล่งแร่โปแตช ที่สามารถนำไปสกัดเป็นสารโพแทสเซียม เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การผลิตปุ๋ยเคมี ขณะที่ยังสามารถผลิตเป็นสารประกอบวัตถุระเบิดบางอย่างได้
ส่วนร้อยโทลิขิตย้อนอดีตว่า เดิมทีค่ายรามสูรในอดีตไม่ได้พัฒนาเหมือนในแบบทุกวันนี้ แต่เต็มไปด้วยป้อมยามสูงๆ และทุ่งหญ้ารกร้าง ขณะที่ร้อยตรีแสวงอธิบายความพิเศษของค่ายนี้ว่า มีอุโมงค์ใต้ดินที่สามารถเดินเชื่อมจากอาคารกลางไปยังอาคารปฏิบัติการอีกฝั่งหนึ่งได้ และฟ้าผ่าไม่มีผลกับพื้นที่ เนื่องจากโครงสร้างวัสดุที่ทำขึ้นอย่างดี
จุดแรกในการทัวร์ครั้งนี้คือ สถานีสื่อสารวงกลมขนาดใหญ่หรืออาคารกลาง ว่ากันว่าเคยใช้เป็นอาคารติดตั้งระบบอุปกรณ์สื่อสารใช้ในด้านปฏิบัติการทางทหารของทหารอเมริกัน โดยมีแลนด์มาร์กคือ ป้ายสีขาวที่เขียนว่า Ramasun Station 7th RRFS (Research Radio Field Station) รอคอยการต้อนรับของผู้มาเยือน ขณะที่มีเสาสัญญาณขนาดใหญ่ราว 48 เสา ล้อมรอบตัวอาคาร
ทหารทั้ง 3 นายให้ข้อมูลกับ The Momentum ว่า เมื่อก่อนอาคารกลางแห่งนี้เคยมีลักษณะเหมือนกรงล้อมรอบ ทำให้ค่ายรามสูรมีอีกชื่อว่า ‘สถานีกรงช้าง’ เนื่องจากรูปแบบการก่อสร้างสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ ประกอบด้วยเสาสูงตั้งเรียงรายเป็นวงกลมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ‘เสาชั้นนอก’ คือเสาอากาศ AN/FLR-9 เป็นเสาอากาศแบบวงกลมขนาดใหญ่ จำนวน 48 เสา
ขณะที่ถัดจากเสาชั้นนอกเข้าไปจะเป็น ‘เสาอากาศชั้นใน’ จำนวน 96 เสา ที่ถูกสร้างขึ้นมารองรับสัญญาณจากทุกทิศทาง ซึ่งมีขีดความสามารถตรวจจับสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมทหารอเมริกันจึงติดตั้งเสา 48 ต้น ตามที่ผมได้สืบค้นข้อมูล เขาใช้ระบบเข็มทิศเป็นหลักในการติดตั้งเสา จากจุดศูนย์กลางที่เราอยู่ มีการวัดมุมภาคของแต่ละเสาด้วย
“ถ้าเรานึกถึงระบบมิลเลียม เสา 48 ต้น ระยะห่างต้นละ 100 มิลเลียมคือ 4,800 มิลเลียม ทหารสหรัฐฯ อาจจะยึดเอาหลักการนี้ในการตั้งสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ เพราะนอกจากการดักจับสัญญาณแล้ว สถานีนี้ยังสามารถค้นหาการตรวจจับสัญญาณ และระบุตำแหน่งสัญญาณที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย” ผู้กองมืดอธิบายจากจุดชมวิวบนสุดของอาคาร ที่สามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้ถึง 360 องศา
เมื่อเดินลงจากจุดชมวิวมายังอาคารด้านใน บริเวณรอบๆ มีรูปภาพจากในอดีตติดบนผนัง ขณะที่ส่วนตรงกลางของอาคารมีแผนผังจำลอง 3 มิติ ซึ่งแสดงให้เห็นพื้นที่ของค่ายในภาพรวมทั้งหมด ซึ่งรูปแรกที่ดึงดูดสายตาของเราคือ ภาพการสร้างค่ายรามสูรในปี 2507 ตามมาด้วยภาพที่พักของทหารอเมริกัน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงภาพกิจกรรมวันคริสต์มาสในรั้วค่ายที่ดูครึกครื้นมีชีวิตชีวา
ในระหว่างที่เดินสำรวจภาพเก่าๆ ทหารทั้ง 3 คนให้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับ The Momentum ว่า ในอดีตค่ายรามสูรช่วยสร้างงานให้กับชาวบ้านในพื้นที่ โดยค่าจ้างเดือนละ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่สูงมากในสมัยก่อน ทำให้บางคนถึงกับลาออกจากงานราชการเพื่อมาทำงานในค่ายแบบเต็มตัว
และแล้วก็มาถึงไฮไลต์ที่รอคอยคือ ‘อุโมงค์’ ความยาวประมาณ 300 เมตร สถานที่ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า เป็นคุกลับ CIA ซึ่งต้องสารภาพตามตรงว่า รู้สึกตื่นเต้นเมื่อต้องลงไปในอุโมงค์ เพราะไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เมื่อไปถึงแล้วจริงๆ บรรยากาศดูคลับคล้ายคลับคลาหนังฝรั่งในช่วงสงครามเวียดนามคือ อับและคับแคบ เมื่อเทียบกับความกว้างเฉลี่ยของอุโมงค์คือ 160 เซนติเมตร และความสูงราว 2 เมตร ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้กองมืดได้พิสูจน์ขนาดด้วยการใช้ตลับเทปวัดให้ดู
อุโมงค์นี้เชื่อมโยงกับอาคารปฏิบัติการ มีประตูเข้าออกและมีบันไดขึ้นลงทั้ง 2 ฝั่ง โดยในอดีตอุโมงค์แห่งนี้ใช้สำหรับลอดสายเคเบิล สายไฟ และเป็นช่องทางเดินสำหรับทหารอเมริกัน ขณะที่ปัจจุบันใช้เป็นทางลอดสายไฟเชื่อม 2 อาคาร ซึ่งในระหว่างที่เดินไป ช่างภาพของ The Momentum สังเกตเห็นภาพขีดเขียนของทหารอเมริกันกำลังถืออะไรสักอย่าง แต่ความตั้งใจที่จะเดินข้ามต้องเป็นอันยุติลง เพราะน้ำท่วมในอุโมงค์เป็นอุปสรรค ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนเป็นใช้เส้นทางจากพื้นดินแทน
จุดหมายที่ 2 ในการเดินทางครั้งนี้คือ ‘อาคารปฏิบัติการ’ ซึ่งขณะนี้เหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง และเวทีกิจกรรมที่ปรากฏในรูปวันคริสต์มาสของค่ายรามสูร โดยผู้กองมืดให้ข้อมูลที่ได้รับจากการพูดคุยกับอดีตทหารซึ่งเคยมาปฏิบัติงานที่นี่ว่า ก่อนที่ทหารอเมริกันจะถอนกำลังกลับ อาคารแห่งนี้มีสภาพที่สมบูรณ์มาก เป็นทั้งที่พักและห้องทำงานของทหารอเมริกันครบจบในที่เดียว ขณะที่ร้อยโทลิขิตและร้อยตรีแสวงเผยว่า หลังสหรัฐฯ ถอนฐานทัพออกไปจากประเทศไทย ค่ายรามสูรก็รกร้าง สิ่งปลูกสร้างบางส่วนถูกรื้อถอน สถานที่ถูกทำลาย เพราะสมัยก่อนไม่มีรั้วกำแพง มีเพียงแต่ตาข่ายที่ชาวบ้านทั่วไปข้ามมาได้
จุดสังเกตในอาคารปฏิบัติการที่ทหารทั้ง 3 คน ชวนเราตั้งคำถามคือ รูส่วนบน แม้จะมีข้อสันนิษฐานจากโลกอินเทอร์เน็ตว่า เกิดจากระเบิดทำลายล้าง แต่ผู้กองมืดแสดงความคิดเห็นว่า ไม่น่าใช่ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่รูดังกล่าวอาจจะเป็นจุดที่ติดตั้งสิ่งอุปกรณ์บางอย่าง ซึ่งถูกรื้อถอนออกไป
หลังจากเยี่ยมชม 2 จุดสำคัญแล้ว ผู้นำทางยังพา The Momentum ไปเยี่ยมชมบรรยากาศภายในค่าย ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่พักของทหารอเมริกัน แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงและซ่อมแซม กลายเป็นที่พักอาศัยของทหารภายในค่าย โดยสระว่ายน้ำจากภาพในอดีตยังคงอยู่ แต่กำลังรอการปรับปรุงซ่อมแซม ขณะที่โรงหนังใช้เป็นสถานที่ในการประชุม หรือใช้จัดกิจกรรมในหมู่ทหาร
กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า พื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยร่องรอยของสงครามเย็นที่ไม่จางหายไปไหน แม้กาลเวลาจะผ่านไป ทั้งยังควรค่าแก่การเป็นพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและโลกไปพร้อมกัน
สำหรับใครที่สนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์ค่ายรามสูร สามารถติดต่อได้ที่แฟนเพจ Facebook: พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ค่ายรามสูร ทางหรือโทร. 06 5439 9791
อ้างอิง
– https://theisaanrecord.co/2019/06/22/recollections-camp-ramasun-udon-thani-gis/
Tags: อุดรธานี, ค่ายรามสูร, สถานีวิทยุ, ค่ายพระยาสุนทรธรรมธาดา, CIA, ฐานทัพอเมริกาในไทย, สหรัฐอเมริกา, Cold War, อีสาน, สงครามเย็น, สหรัฐฯ