เป็นเวลากว่า 2 เดือนเต็ม นับตั้งแต่เหตุปะทะกันที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ความขัดแย้งตรงแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชายังคงดุเดือด กระทบผู้คนธรรมดาที่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน กระทั่งชีวิตไปหลายราย แม้พวกเขาจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความบาดหมางครั้งนี้เลยก็ตาม
ในห้วงที่การปะทะได้ดำเนินไป ไม่เพียงแต่กองทัพและรัฐบาลของ 2 ประเทศที่บาดหมางเท่านั้น แต่ในหมู่ประชาชนก็สะท้อนความโกรธแค้นต่อฝ่ายตรงข้ามผ่านโซเชียลมีเดีย ยุยงให้ออกตามล่าประชาชนที่เคยนับกันเป็น ‘เพื่อนบ้าน’ เพื่อสำเร็จความแค้นหรือความสะใจผ่านการใช้กำลัง เช่น กรณีชาวไทยทำร้ายแรงงานชาวกัมพูชาจนต้องหนีกลับประเทศ
คำถามสำคัญคือ แล้วคนไทยที่ยังต้องทำงานในกัมพูชาในห้วงเวลาแห่งความขัดแย้งนี้ ได้รับผลกระทบดังเช่นที่คนไทยบางกลุ่มปฏิบัติต่อแรงงานกัมพูชาหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นตามล่า ทำร้าย และแบนคนธรรมดาที่ไร้ความเกี่ยวข้องกับสงคราม
The Momentum พูดคุยกับแรงงานชาวไทยในกัมพูชาว่า พวกเขาเห็นหรือได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ในช่วงความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
“คนกัมพูชาเขายังคงพูดคุยกับเราปกติ ยังคงขายของให้เรา ไม่ใช่ว่าเจอคนไทยแล้วต้องทำร้ายร่างกาย” อิง แรงงานไทยที่เข้าไปทำงานคาสิโนในปอยเปต ประเทศกัมพูชา เล่าถึงบรรยากาศช่วงแรกที่ไทย-กัมพูชาเปิดฉากปะทะกันที่ช่องบก
อิงเข้าไปทำงานในเมืองปอยเปตตั้งแต่ยังไม่เกิดการปะทะ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน เธอจึงสามารถกล่าวได้ว่า คนกัมพูชาเปลี่ยนแปลงไปไหมหลังจากความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น ซึ่งเธอกล่าวว่า “คนกัมพูชาไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลย”
“เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราทำตัวปกติ เขาก็ทำตัวปกติ พนักงานในร้านค้าบางคนร้องเพลงไทยในช่วงที่ปะทะกันด้วยซ้ำ ตอนไทยกับกัมพูชาเปิดศึกกันช่วงแรกๆ เจ้านายยังพาพนักงานคนไทยไปร้องเพลงในร้านคาราโอเกะอยู่เลย”
ไม่ต่างจากชาวไทย อิงเล่าว่า ชาวกัมพูชาก็ติดตามข่าวสารการรบอย่างใกล้ชิดผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่ในจังหวะที่คนไทยเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วย พวกเขาก็เลือกที่จะไม่พูดถึงข่าวความขัดแย้ง เพราะไม่อยากทำให้คนไทยอึดอัดเมื่อต้องอยู่ด้วยกัน
“วันนั้นจำได้ว่าจะไปใช้บริการตุ๊กๆ ท้องถิ่น เราเห็นว่าในโทรศัพท์คนขับเขาเปิดข่าวสู้รบกับประเทศของเราอยู่ แต่พอเขาเห็นเราที่เป็นคนไทยเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ปิดโทรศัพท์ไม่ให้เราเห็น ไม่อยากให้เรารู้สึกไม่ดี
“เราก็ทำเหมือนกัน เวลาอยู่ใกล้ๆ ชาวกัมพูชา แล้วเผลอพูดอะไรแรงๆ เกี่ยวกับการสู้รบกับเพื่อน เราก็จะสะกิดกันตลอด แล้วบอกว่าอย่าไปพูดอะไรที่กระทบกับจิตใจเขา เราจะเห็นต่าง ก็เห็นต่างในพื้นที่ของเรา เวลาไปเจอคนกัมพูชาเราก็ไม่เคยไปปฏิบัติไม่ดีกับเขาเลย มันเหมือนเป็นสงครามโซเชียลฯ มากกว่าที่เสพกันแล้วก็อินตาม แต่ชีวิตจริงมันปกตินะ” อิงกล่าว
แต่หลังจากการยกระดับการสู้รบเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกิดความสูญเสียจำนวนมาก การปลุกกระแสรักชาติด้วยการตามล่าคนกัมพูชาในประเทศไทยก็เริ่มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ต่างโพสต์ข้อความยุยง บางคนออกไปทำร้ายคนกัมพูชาที่เพียงเข้ามาเป็นแรงงานในไทย
คอนเทนต์ความรุนแรงเหล่านี้ก่อตัวเป็นความแค้นในหมู่คนกัมพูชาบางส่วน และเกิดพฤติกรรม ‘เอาคืน’ คนไทยที่เข้าไปเป็นแรงงานในกัมพูชา เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองที่ มิ้ว (นามสมมติ) พนักงานชาวไทย ซึ่งทำงานเป็นผู้ดูแลการเช่าอาคารและห้องพักให้กับแรงงานหลายสัญชาติในกัมพูชา
“มีกลุ่มวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์วนดูในเมืองว่า คนไทยอยู่ตรงไหน แล้วพยายามจะลงไปตี” นอกจากนี้ยังมีกรณีของบุคคลที่ถูกเข้าใจว่า เป็นคนไทยถูกทำร้ายร่างกาย แต่แท้จริงแล้วเป็นคนจากชนชาติอื่นๆ” มิ้วกล่าว เธอชี้ว่า การตามล่าและกระทำรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นเพราะ ‘คอนเทนต์จากฝั่งไทย’
“มันเกิดขึ้นหลังจากที่มีคนไทยทำคอนเทนต์ไปล่าตัว ล้อมคนกัมพูชาในประเทศไทย” มิ้วแสดงน้ำเสียงกังวล เนื่องจากความรุนแรงที่ถูกส่งข้ามชายแดนเข้ามาในพื้นที่ที่เธอทำงาน ทำให้ชาวไทยที่ยังอยู่ในกัมพูชามีความเสี่ยงที่จะถูกกระทำเหมือนๆ กัน
“เราเป็นห่วงคนไทยที่อายุเขายังน้อย ทำงานกะกลางคืน แล้วต้องเดินกลับบ้านช่วงระหว่างตี 3-4”
ทั้งนี้สถานการณ์ได้กลับสู่สภาวะปกติ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาจับกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว โดยใช้เวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในขณะที่ความคิดเห็นของคนกัมพูชารอบตัวของมิ้ว ต่างแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อการกระทำของกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว
“มีคนกัมพูชามาพูดว่าพวกชอบทำท่าแว้นๆ เป็นพวกไม่ได้เรื่อง คุยกับหลายๆ คนเขามองพวกนี้เป็นพวกสร้างปัญหาหมดเลย” เธอกล่าว “คอนเทนต์ตามล่าคนอะไรพวกนี้มันส่งผลกระทบกับเราแน่นอน เพราะถ้าเกิดคนในอีกประเทศทำเมื่อไร คนฝั่งนี้เขาก็จะทำเหมือนกัน”
บรรยากาศของการตามล่าคนไทยในกัมพูชาในเมืองของมิ้วหายไป ซึ่งสอดคล้องกับบรรยากาศในประเทศไทยที่กระแสการตามล่าคนกัมพูชาถูกกระแสตีกลับ วิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม เพราะคนธรรมดาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงคราม กระนั้นเมื่อมีเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่แค่มิ้วที่ต้องระวังตัว แม้แต่อิงที่บอกว่า “การตามล่าคนไทยมันเกิดขึ้นไกลเรามาก” ก็ยังต้องใช้ชีวิตในกัมพูชาด้วยความระมัดระวังและไม่ประมาท
เพราะเมื่อไรที่คอนเทนต์ตามล่าคนกัมพูชาในประเทศไทยกลับขึ้นมาอีกครั้ง การตามล่าคนไทยในกัมพูชาก็อาจจะกลับมาอีกครั้งเช่นกัน
“ก็ระวังตัวมากขึ้น หลังจากเหตุการณ์ที่มีข่าวว่า คนไทยในกัมพูชาจะโดนทำร้ายก็ไม่ขับมอเตอร์ไซค์ไปทำงานเองแล้ว นั่งรถรับ-ส่งไปทำงานกันเยอะๆ แทน” อิงระบุ “สงครามไม่ได้มีอะไรที่ดีๆ เกิดขึ้นเลย มันเหมือนกับการต่อยกับคนข้างบ้าน”
สถานการณ์ที่ไทยและกัมพูชาในเวลานี้ยังคงเกาะกันไปบนเส้นทางของความตึงเครียดที่ไม่รู้จบ หลายคนอาจจะตีความว่า สงครามได้ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ สายตาที่มองกันเป็นประเทศ ‘เพื่อนบ้าน’ สั่นคลอนอย่างรุนแรง แต่เรื่องราวของมิ้วและอิงสะท้อนว่า ความเห็นต่างไม่จำเป็นต้องทำให้ใครบาดเจ็บหรือล้มตาย พวกเขายังอยู่ร่วมกันได้ในกระแสของความเห็นต่าง แต่หากวันใดที่คู่ขัดแย้งในระดับประชาชนธรรมดาด้วยกัน เริ่มปฏิบัติต่ออีกฝ่ายแบบไร้มนุษยธรรม นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ความบาดหมางจะลุกลามเกินควบคุม
Tags: สันติสุข, Feature, คนไทย, สงคราม, กัมพูชา, แรงงาน, ไทย