ขอเพียงได้ชื่อว่า ‘ความฝัน’ ไม่ว่าจะฝันร้ายหรือฝันดี ก็ล้วนเป็นเรื่องลึกลับที่ดึงดูดความใคร่รู้ เป็นแหล่งแรงบันดาลใจชั้นดีของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย น้อยคนนักที่จะหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันของตน ไม่ว่าจะเป็นชาวอียิปต์โบราณที่ความฝันถูกตีความในฐานะประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า หรือเราชาวไทยที่จดจำเลขที่ปรากฏในฝันมาซื้อลอตเตอรี่

หากปราศจากฝัน พวกเราในฐานะเผ่าพันธุ์มนุษย์คงไม่อาจขับเคลื่อนสังคมและผลักดันความก้าวหน้าหลายๆ ด้านมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งงานวรรณกรรม งานศิลป์ ปรัชญา หรือแม้แต่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์และการแพทย์หลายอย่างที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ หากไม่ใช่เพราะภาพอันเลือนรางในห้วงนิทราที่ปรากฏในความฝัน ต่างเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ไม่น้อย 

และนั่นรวมถึงฝันร้ายด้วย 

แม้หลายคนจะมองฝันร้ายเป็นภัยคุกคามยามนอนหลับ เป็นปรากฏการณ์ผิดปกติที่เข้ามาลดทอนคุณภาพชีวิตของเราลง แต่ในความเป็นจริง มนุษย์ทุกคน ‘จำเป็น’ ต้องมีฝันร้ายอยู่

อาจเป็นเพราะแบบนี้ เผ่าพันธุ์ของเราจึงวิวัฒนาการมาให้เผชิญฝันร้ายเป็นครั้งคราว และถ้าอ้างอิงจากงานวิจัยในช่วงที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่ลักษณะของฝันร้ายรวมถึงแนวโน้มที่จะฝันร้าย อาจถูกส่งต่อไปสู่ลูกหลานผ่านร่องรอยทางพันธุกรรมได้ในลักษณะเดียวกับที่แผลใจ (Trauma) ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

บทหลวมๆ ของฝันร้ายที่มนุษยชาติร่วมกันเขียนขึ้น

ตกจากที่สูง ไปทำงานสาย เจ็บป่วย ทำข้อสอบไม่ได้ มีคนตาย ถูกไล่ล่าโดยอสุรกาย ผี หรือไม่ก็ศัตรู 

พล็อตฝันร้ายสุดคลาสสิกเหล่านี้วนเวียนอยู่ในความฝันของทุกคน และหากสังเกตดีๆ ฝันร้ายที่ปรากฏในวรรณคดีและบันทึกทางประวัติศาสตร์นั้น ก็ไม่ได้มีเส้นเรื่องที่ต่างไปจากนี้มากมายนัก 

นางทองประศรี แม่ของขุนแผน ฝันว่า ฟันร่วงจากปากเป็นลางบอกเหตุว่า สามีจะตาย 

แมคเบธ พระเอกละครเชกสเปียร์ ฝันว่า ศัตรูที่ตนลงมือฆ่ากลายเป็นผีกลับมาหลอกหลอนจ้องเอาคืน

ประธานาธิบดีลินคอล์นฝันถึงโลงศพและเสียงร้องไห้ในทำเนียบขาว ไม่นานก่อนเขาจะถูกลอบสังหารในชีวิตจริง

ฝันร้ายของคนเหล่านี้อาจดูแตกต่างกันในรายละเอียด แต่เมื่อมองลึกลงไปแล้ว กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด เป็นไปได้ว่านี่คือผลพวงจากโครงสร้างบางอย่างที่ถูกถักทออยู่บนรหัสพันธุกรรมของบรรพบุรุษและตัวเรา?

ยิ่งกว่าเป็นไปได้เสียอีก

ยีนฝันร้าย

คำถามนี้คือสิ่งที่ คริสเตอร์ ฮับลิน (Christer Hublin) แพทย์ชาวฟินแลนด์ และคณะวิจัยของเขาพยายามหาคำตอบ ผ่านการสำรวจคู่แฝดที่มีอายุระหว่าง 33-60 ปี กว่า 3,500 คู่ทั่วประเทศฟินแลนด์ โดยใช้วิธีทำแบบสอบถาม เก็บข้อมูลทางการแพทย์และประสบการณ์ฝันร้ายในวัยเด็กและผู้ใหญ่มาคำนวณทางสถิติ เขาต้องการที่จะทราบว่า

1. ฝันร้ายสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างไร

2. ฝันร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่สมาชิกครอบครัวเดียวกัน มีหลักฐานรองรับทางพันธุศาสตร์มากแค่ไหน หรือจริงๆ แล้วเป็นแค่ความบังเอิญ

ผลลัพธ์คือ ฝันร้ายมีโอกาสถูกส่งต่อมากถึง 36-45% ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า เอพีเจเนติกส์ (Epigenetics) หรือภาวะเหนือพันธุกรรม ที่คอยกำกับการแสดงออกของลักษณะที่ถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอ

อธิบายง่ายๆ คือไม่ได้มียีนตัวไหนที่เป็นยีนฝันร้ายแบบเฉพาะเจาะจง และฝันร้ายก็ไม่ได้เปลี่ยนรหัสพันธุกรรมของเราไปจริงๆ แต่เมื่อคนรุ่นพ่อแม่ฝันร้าย ความกลัวและประสบการณ์จากความฝันเหล่านี้จะหล่อหลอมพฤติกรรมๆ หนึ่งขึ้น ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนยีน 

เอพีเจเนติกส์ก็คือ กระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อยีนเหล่านี้ถูกส่งต่อ แล้วยีนบางส่วนถูกกดเอาไว้ไม่ให้แสดงออก ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มที่รุ่นลูกจะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงและความกลัวบางอย่างที่คล้ายกับรุ่นพ่อแม่ รวมไปถึงแนวโน้มที่จะฝันร้ายด้วย

แต่อย่างที่ได้กล่าวไป มนุษย์จำเป็นต้องมีฝันร้าย ไม่ว่าฝันร้ายของเราที่มาเยือนเป็นครั้งคราวจะมีเสี้ยวส่วนของร่องรอยจากบรรพบุรุษเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด แต่ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ คนเราเริ่มฝันร้ายในวัยที่พัฒนาการทางความรู้คิดพุ่งพรวด ฝันร้ายจึงเป็นข้อพิสูจน์ที่สำคัญอย่างยิ่งว่า สมองของมนุษย์คนไหนเริ่มมีความสามารถที่จะรับรู้ถึงตัวตน (Sense of Self) และความเป็นอื่น (Other) 

รับรู้ว่าตัวตนของเราเป็นอันตรายได้

รับรู้ว่าตัวตนของเราผูกโยงกับสังคมรอบตัว

รับรู้ว่าตัวตนของเรามีที่ทางและหน้าที่บางอย่างผูกมัดอยู่

และถ้าโลกนี้ไม่มีฝันร้าย วัฒนธรรมป็อปคงขาดสีสันไม่น้อย หนังสยองขวัญจะไปสนุกอะไร หากตัวเอกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝันร้ายคืออะไร

อ้างอิง

This Is Why You Dream: What Your Sleeping Brain Reveals About Your Waking Life by Rahul Jandial

https://www.dailymail.co.uk/health/article-13257265/nightmares-school-exams-adults-dreams-interpret-neurosurgeon.html 

https://rollercoaster.ie/lifestyle/health-wellbeing/nightmare-parents/ 

Tags: , , , , ,