ในช่วงชีวิตหนึ่ง เราต่างเคยต้องตกอยู่ในสถานะ ‘คนกลาง’ ในความสัมพันธ์ของคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นคนกลางในความสัมพันธ์ให้เพื่อน พี่น้อง หรือคนรู้จัก มันน่าจะเป็นพื้นที่ที่เอาเข้าจริง ก็คงไม่ค่อยอยากอยู่เท่าไร เพราะมันเต็มไปด้วยความรู้สึก ‘ไม่สบายใจ’
ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องคอยเป็นผู้ประสานรอยร้าวของคนอื่นโดยไม่เลือกข้าง และช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจมุมมองของกันและกัน ซึ่งต้องใช้พลังงานเยอะพอสมควร เราก็ยังต้องคอย ‘จัดการความรู้สึกตัวเอง’ จากการรับฟังปัญหาความขัดแย้งของคนอื่น ที่เสี่ยงกลายมาเป็นของเราเองอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บางครั้งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องตกอยู่ในตำแหน่งคนกลาง การ ‘แสดงตัวเป็นกลาง’ ตามชื่อ โดยยังคอยซัพพอร์ตคนอื่นให้หาจุดร่วมระหว่างกันให้ได้ด้วย จึงเป็นสิ่งสำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะหนักแน่น และกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง เพราะเป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายจะพยายามเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างไร้เหตุผล
ดังนั้นไม่ว่าความสัมพันธ์ของคนที่เรารู้จักจะเต็มไปด้วยความโรแมนติกหรือชวนทะเลาะ สิ่งสำคัญคือ การรักษาสมดุลของการเป็นคนกลาง ซึ่งหมายถึงพื้นที่ปลอดภัยของทั้ง 2 ฝ่าย โดยไม่ก้าวก่ายจนเกินไปและไม่เลือกข้าง
แล้วจะทำอย่างไรเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ของ ‘คนกลาง’
เป็นกลางโดยไม่เลือกข้าง
จำไว้ว่า หน้าที่สำคัญที่สุดของคนกลางคือ การ ‘เป็นพื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับทั้ง 2 ฝ่าย นั่นหมายถึง ‘การไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง’ ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึก ‘เห็นด้วย’ กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม เพราะหากมีฝ่ายใดรู้สึกว่า เราเอนเอียงหรือเข้าข้างอีกฝ่าย ความเชื่อใจอันเป็นสิ่งสำคัญก็จะหายไปทันที และหน้าที่ของการเป็น ‘คนกลาง’ ของเราจะอันตรธานหายไปโดยอัตโนมัติ
ฉะนั้นคำแนะนำคือ ลองพิจารณาคำพูดของตัวเองให้ดี เช่น การมีคำพูดที่สะท้อนความรู้สึกของทั้ง 2 ฝ่าย มากกว่าคำพูดที่ชี้นำอารมณ์ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “เออ มึงพูดถูก มันชอบดราม่าตลอดแหละ” ก็เปลี่ยนเป็น “เออ กูเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แล้วมันก็อาจจะมองอีกมุมหนึ่งเหมือนกัน”
รักษาความไว้วางใจ
ความไว้วางใจคือ ‘หัวใจ’ ของการรับบทบาทคนกลาง พึงระลึกไว้เสมอว่า เราได้มาเป็นคนกลางเพราะทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อว่า เราจะเก็บความลับได้และไม่บิดเบือนคำพูดของพวกเขา (แม้ในใจจะคิดว่า ถามหรือยังว่ากูอยากเป็นคนกลางไหม) ซึ่งหากเราหลุดความลับหรือปากสว่างเล่าเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อนุญาต ก็เสี่ยงจะสูญเสียความน่าเชื่อถือทันที และอาจทำให้เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายแย่ลงไปอีก แทนที่จะดีขึ้น
รับบทผู้ช่วยให้ทุกฝ่าย ‘สื่อสาร’ กันได้ดีขึ้น
ในความสัมพันธ์บางครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ ‘พูด’ ความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้หมด หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ดังนั้นการเป็นคนกลางจึงควรเป็นคนที่ช่วย ‘แปล’ ความรู้สึกของทั้ง 2 ฝ่ายได้ชัดเจนและทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจกัน แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็ตาม สิ่งนี้สำคัญเพราะอย่างที่กล่าวไปว่า มีหลายครั้งที่ผู้คนทะเลาะกันเพียงเพราะ ‘การสื่อสาร’ ผิด จนทำให้เข้าใจกันไปคนละทาง หากเราสามารถช่วยให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดอารมณ์ลง และกลับมาเข้าใจใน ‘เจตนา’ ที่แท้จริงได้ก็เป็นเรื่องดี
อย่าลืมตั้งขอบเขตให้ชัดเจน
แม้เราอาจต้องรับบทคนกลางโดยไม่ได้เต็มใจนัก และต้องพยายามทำหน้าที่นี้ให้ดี เพราะทั้ง 2 ฝ่ายคือคนที่เรารู้จัก แต่อย่าลืมว่า เราไม่ใช่ ‘นักจิตวิทยา’ หรือ ‘นักบำบัด’ ที่ต้องกลายเป็นพื้นที่ระบายให้คนอื่นตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้อง ‘ปกป้อง’ พื้นที่และพลังงานของตัวเองด้วย หากเราต้องแบกรับอารมณ์ของคนอื่นตลอดเวลา ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกเหนื่อย จนท้ายที่สุดเราอาจต้องแบกรับความเครียดของตัวเอง จนรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของปัญหามากกว่าผู้ช่วยประสานรอยร้าวไปแล้ว
รู้ว่าเมื่อไรควรใส่เกียร์ถอย
แม้จะเป็นคนกลาง แต่บางสถานการณ์ คนกลางก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด หรือบางครั้งการมีเราอยู่ตรงกลางอาจทำให้เรื่องแย่ลงด้วยซ้ำ เพราะอย่าลืมว่าเราไม่ใช่คนที่ต้อง ‘รับผิดชอบ’ กับความสัมพันธ์ของคนอื่น แต่เป็นเพียงคนช่วย ‘เชื่อม’ ความเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่แก้ปัญหาแทน
ดังนั้นหากปัญหาของทั้งคู่ ‘ซับซ้อน’ และ ‘ละเอียดอ่อน’ เกินไป มันอาจเกินหน้าที่ของการเป็นคนกลาง จึงควรแนะนำให้ปรึกษานักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญแทน หรือหากมี ‘สัญญาณ’ บางอย่างที่เราสัมผัสได้ว่า มีฝ่ายหนึ่งพยายามควบคุมเราหรือใช้เราเป็นเครื่องมือ ก็จงใส่เกียร์ถอยออกมา ก่อนที่ปัญหาจะบานปลาย
คงไม่มีใครอยากอยู่ในตำแหน่ง ‘คนกลาง’ ของความสัมพันธ์คนอื่นเป็นแน่ เพราะเรื่องของเราก็ไม่ใช่ แต่ในเมื่อบางครั้งชีวิตดันเลือกไม่ได้ ก็จงกลายเป็นคนกลางที่ดีและไม่เลือกข้างก็แล้วกัน
ขอให้คนกลางทุกท่านโชคดี
ที่มา:
– https://www.hercampus.com/school/jmu/being-middle-man-someone-else-s-relationship/
Tags: Relationship, จิตวิทยา, ความกลัว, Wisdom, คนกลาง, Middleman