ในยุคที่การพิสูจน์ความจริงในศาลไทย ไม่อาจอาศัยแค่พยานบุคคลหรือเอกสารกระดาษอีกต่อไป แชต LINE, ข้อความใน Facebook Messenger, อีเมล, ไฟล์วิดีโอจากกล้องวงจรปิด หรือแม้แต่ Log File จาก Server กำลังกลายเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่มีอิทธิพลต่อผลของคดี แต่ในขณะที่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น คำถามใหญ่ที่ยังคงไร้คำตอบชัดเจนในกระบวนการยุติธรรมไทยคือ เราจะเชื่อถือข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร?
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 34/1 “เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรมหรือเพื่อความเหมาะสมสำหรับคดีบางประเภท ให้ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการฟ้องคดี การสืบพยานและการรับฟังพยานหลักฐานการวินิจฉัยคดี ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ได้ตามความจำเป็น”
ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 หมวด 4 การรับฟังพยานหลักฐาน ข้อ 15 “ห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการพิจารณาคดีตามกฎหมายเพียงเพราะเหตุว่าเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จะเชื่อถือได้หรือไม่เพียงใดนั้น ให้พิเคราะห์ถึงความน่าเชื่อถือของลักษณะหรือวิธีการที่ใช้สร้าง เก็บรักษา หรือสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ลักษณะหรือวิธีการเก็บรักษา ความครบถ้วน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความลักษณะ หรือวิธีการที่ใช้ในการระบุหรือแสดงตัวผู้ส่งข้อมูล รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง”
ข้อ 18 “พยานเอกสารและพยานวัตถุที่คู่ความประสงค์จะอ้างอิง ให้ยื่นในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ และให้ถือว่าพยานเอกสารและพยานวัตถุดังกล่าวเป็นต้นฉบับหรือเอกสารเทียบเท่าฉบับเดิม”
ความจริงในยุคข้อมูล: เปราะบางกว่าที่เคย
ข้อมูลดิจิทัลแตกต่างจากเอกสารแบบเก่าตรงที่มันถูกเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และบางครั้งแทบไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย การตัดต่อภาพ การแก้ไขข้อความ การปลอมแปลงลายเซ็น หรือแม้กระทั่งการสร้าง ‘หลักฐานปลอม’ ทั้งชุด สามารถทำได้อย่างแนบเนียนด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ทั่วไปในมือคนธรรมดา
ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกามีการกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจนเรื่อง ’Authentication’ หรือการพิสูจน์ความถูกต้องของพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ไว้ใน Federal Rules of Evidence (Rule 901) ซึ่งกำหนดว่าผู้เสนอต้องแสดงให้เห็นได้ว่า ‘สิ่งที่นำมาเสนอนั้นคือสิ่งที่กล่าวอ้างจริงๆ’ (United States Courts, 2024) แต่ในประเทศไทย แม้จะมีการปรับปรุงกฎหมาย เช่น การเพิ่มมาตรา 34/1 ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งระบุให้ศาลรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ต้องใช้เอกสารกระดาษ แต่ในเชิงปฏิบัติยังขาดแนวทางหรือคู่มือกลางสำหรับการประเมินความน่าเชื่อถืออย่างเป็นระบบ (สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2564)
เมื่อ ‘แชต’ กลายเป็นพยานหลักฐาน
ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยในคดีปัจจุบันคือ การนำ ‘ภาพแคปหน้าจอ’ จากแอปพลิเคชันแชต เช่น LINE หรือ Facebook มาใช้เป็นหลักฐานการพูดคุยตกลงในคดีแพ่ง เช่น คดีซื้อขาย คดีกู้ยืมเงิน หรือแม้แต่คดีหมิ่นประมาท
ปัญหาคือ ภาพแคปหน้าจอเหล่านี้สามารถตัดต่อได้ง่ายมาก ด้วยโปรแกรมพื้นฐาน เช่น Photoshop หรือแอปฯ มือถือธรรมดา โดยไม่ต้องมีความรู้เทคนิคขั้นสูง การใช้ภาพแคปหน้าจอเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะยืนยันความถูกต้องได้ ศาลต้องประเมินประกอบกับพยานแวดล้อม เช่น พยานบุคคล หรือ Log File จาก Server ของผู้ให้บริการแอปพลิเคชันนั้นๆ (กฤตภาส กิตติประเสริฐ, 2565) และในทางปฏิบัติของประเทศไทย การเข้าถึงข้อมูลจากผู้ให้บริการยังมีข้อจำกัดด้านกระบวนการและความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น LINE หรือ Meta (Facebook) มี Server อยู่นอกเขตประเทศไทย การขอข้อมูลจึงยุ่งยากและใช้เวลานาน
Digital Forensics: ตัวช่วยที่ระบบยุติธรรมไทยยังไม่ใช้เต็มศักยภาพ
“ดิจิทัลฟอเรนสิกส์” (Digital Forensics) คือ กระบวนการรวบรวม วิเคราะห์ และรักษาความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในศาล ซึ่งในต่างประเทศมีบทบาทสำคัญอย่างมาก เช่น การดึง Metadata จากไฟล์ ตรวจสอบ Log File และสร้างไทม์ไลน์ยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูล แต่ในประเทศไทย การใช้ Digital Forensics ยังจำกัดอยู่ในคดีอาญาประเภทคดีร้ายแรงหรือคดีหนัก เช่น คดีไซเบอร์หรือคดีฉ้อโกงออนไลน์ ขณะที่ในคดีแพ่ง (โดยเฉพาะคดีทั่วไปที่คู่ความเป็นบุคคลธรรมดา) การพิสูจน์หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ยังอาศัย ‘ดุลพินิจ’ และ ‘ความเชื่อ’ ของศาลเป็นหลัก (อานนท์ ศรีคำ, 2564) ในหลายกรณี ผู้พิพากษาไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคในการวิเคราะห์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อย่างลึกซึ้ง ผู้เขียนเห็นว่า การวางระบบให้มี ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ หรือ ‘พยานผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Evidence’ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
ดิจิทัลฟอเรนสิกส์ (Digital Forensics) ไม่ได้เป็นเพียง ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ข้อบังคับ’ ในหลายประเทศที่มุ่งจะทำให้การพิสูจน์พยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยุติธรรม ศาลในประเทศเหล่านี้ ไม่ได้เพียงรับฟังไฟล์ดิจิทัลตามที่คู่ความนำเสนอ แต่กำหนดให้มีมาตรฐานพิสูจน์ทางเทคนิคที่เข้มงวด และให้ความสำคัญกับ Chain of Custody ตลอดเส้นทางของหลักฐาน เช่น สหรัฐฯ Federal Rules of Evidence (FRE), Rule 901 กำหนดให้หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ต้องได้รับการ ‘authentication’ หรือการพิสูจน์ความแท้จริงก่อนศาลจะรับฟัง ในการพิสูจน์ความถูกต้องของไฟล์หรือข้อความ จำเป็นต้องมีพยานผู้เชี่ยวชาญ (Expert Witness) หรือรายงาน Forensic Report ยืนยัน เช่น Metadata, Hash Value ของไฟล์ (Cornell Law School, 2024) หรือในสหราชอาณาจักร (อังกฤษและเวลส์) มีกฎ Civil Procedure Rules (CPR) และ Practice Direction 31B ซึ่งระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับการเปิดเผยและพิสูจน์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Disclosure of Electronic Documents) คู่ความต้องทำ Electronic Documents Questionnaire เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการค้นหา และการพิสูจน์ความถูกต้องของไฟล์ การใช้ Forensic Imaging และการวิเคราะห์ metadata เพื่อพิสูจน์ว่าเอกสารไม่ถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติที่ใช้ในศาล และหน่วยงานในสหราชอาณาจักร เช่น FBI มีแผนกเฉพาะทาง (Digital Evidence Section) ที่ปฏิบัติการตามมาตรฐานการเก็บรักษาหลักฐานดิจิทัล หรือในประเทศสิงคโปร์ การนำเสนอหลักฐานดิจิทัลที่สำคัญต้องมีการแนบ Forensic Report จากผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน เช่น Computer Forensics Certified Professionals
กฎหมายพยานหลักฐานไทยต้องเปลี่ยน เพื่อปกป้องความจริง
ในยุคที่ ‘ความจริง’ ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ตรงๆ อีกต่อไป การสร้างระบบที่ทำให้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเชื่อถือได้ คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดของกระบวนการยุติธรรมไทยในอนาคต ไม่เช่นนั้น ศรัทธาที่ประชาชนมีต่อความยุติธรรม อาจถูกบิดเบือนไปพร้อมๆ กับข้อความแชตที่ถูกตัดต่อ และไม่มีใครรู้เลยว่า ความจริงครั้งต่อไปในศาลจะยังเป็น ‘ความจริง’ อยู่จริงหรือไม่
ถ้าศาลเชื่อหลักฐานปลอม คนบริสุทธิ์อาจแพ้คดี ถ้าศาลปฏิเสธหลักฐานจริง ผู้เสียหายอาจไม่สามารถเรียกความยุติธรรมได้ การประเมินความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ จึงไม่ใช่เรื่องเทคนิคธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการธำรงไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสและเป็นธรรมในยุคดิจิทัล
ข้อเสนอสำหรับกระบวนการยุติธรรมประเทศไทย
1.จัดทำแนวปฏิบัติกลางสำหรับศาลไทย เช่น การกำหนดว่าหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ใดต้องมีการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ, การกำหนดมาตรฐาน Chain of Custody ของไฟล์
2.ให้ความสำคัญเรื่อง Digital Forensics การเข้าใจพื้นฐานของ Metadata, Log File และการพิสูจน์ไฟล์ Digital Signature เป็นสิ่งจำเป็นและควรเป็นข้อบังคับไว้สำหรับการสืบพยานหลักฐานทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา
3.สนับสนุนการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัย เช่น ผ่านระบบ PKI (Public Key Infrastructure) หรือระบบที่ออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์โดยหน่วยงานที่เชื่อถือได้ตาม พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ
4.ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้การขอข้อมูลจากผู้ให้บริการต่างชาติ (เช่น Facebook, Google) เป็นไปได้ง่ายขึ้นในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง
อ้างอิง (References)
- United States Courts. (2024). Federal Rules of Evidence: Rule 901 – Authenticating or Identifying Evidence. Retrieved from https://www.uscourts.gov
- สำนักงานกิจการยุติธรรม. (2564). แนวทางการใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการยุติธรรม.
- กฤตภาส กิตติประเสริฐ. (2565). “การวิเคราะห์แนวทางการรับฟังพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในคดีแพ่ง.” วารสารนิติศาสตร์สมัยใหม่, 5(2), 45-68.
- อานนท์ ศรีคำ. (2564). “บทบาทของพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการยุติธรรมไทย.” วารสารกฎหมายดิจิทัล, 2(1), 23-47.
- Cornell Law School. (2024). Federal Rules of Evidence, Rule 901. Retrieved from https://www.law.cornell.edu/rules/fre/rule_901
- Ministry of Justice UK. (2022). Civil Procedure Rules – Practice Direction 31B: Disclosure of Electronic Documents.Retrieved from https://www.justice.gov.uk/courts/procedure-rules/civil/rules/part31/pd_part31b
- Singapore Parliament. (2012). Evidence (Amendment) Act 2012. Retrieved from https://sso.agc.gov.sg/Act/EA1893