บ้านดอยช้างป่าแป๋ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน เป็นบ้านของชุมชนกะเหรี่ยงที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ภายใต้แนวคิด ‘ใช้ประโยชน์ส่วนน้อย รักษาส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม’ 

การรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม นั่นคือการรักษาและปกป้องพื้นที่ของหมู่บ้านให้ยังมีความอุดมสมบูรณ์ โดยมีวิธีการคือ การทำแนวกันไฟรอบพื้นที่หมู่บ้านยาว 30 กิโลเมตร เพราะพื้นที่ดอยช้างป่าแป๋มีไฟป่ามาเยือนในทุกปี ชาวบ้านจึงคิดค้นพัฒนาองค์ความรู้ในการทำแนวกันไฟ ตั้งแต่แนวกันไฟแห้งที่เป็นวิธีการดั้งเดิม ต่อยอดมาสู่แนวกันไฟเปียกที่ใช้น้ำซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า ตลอดจนนำระบบตรวจจับการเกิดไฟป่า (IoT Sensor) เข้ามาใช้ในการเฝ้าระวังไฟป่าในบางตำแหน่ง

The Momentum ลงพื้นที่บ้านดอยช้างป่าแป๋เพื่อเรียนรู้การจัดการไฟป่าของชุมชน และพูดคุยกับ ดิปุ๊นุ-บัญชา มุแฮ แกนนำชุมชนดอยช้างป่าแป๋ และแอ้-ศักดิ์ชัย มุแฮ สมาชิกกลุ่มเยาวชนดอยช้างป่าแป๋ กำลังสำคัญในการทำแนวกันไฟตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กับความหวังที่จะมี พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อเข้าถึงสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติได้ตามวิถีดั้งเดิม

การจัดการไฟป่า

วาทกรรม ‘ชาวเขาเผาป่า’ อาจเลือนหายไปจากทัศนคติของคนรุ่นใหม่ แต่สำหรับบางคนอาจเป็นความคิดที่ฝังรากลึก ยังไม่ได้รับการรื้อถอน และต้องสร้างความเข้าใจใหม่ ซึ่งมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ระบุว่า กระบวนการเผาในระบบไร่หมุนเวียน เป็นขั้นตอนของการเตรียมผืนดิน เกิดจากเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ กล่าวคือที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ พื้นที่ลาดชัน ไม่สามารถสะสมธาตุอาหารได้ ชาวบ้านจึงจำเป็นต้องถางและเผา เพื่อคืนธาตุอาหารที่สะสมอยู่ในต้นไม้ให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินก่อนทำการเพาะปลูก 

ดิปุ๊นุ-บัญชา มุแฮ

ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงบ้านดอยช้างป่าแป๋จะมีการทำแนวกันไฟไว้ก่อนเผาพื้นที่ และจะหมุนเวียนพื้นที่ทำไร่เมื่อครบรอบ 7-10 ปี โดยดิปุ๊นุ อายุ 39 ปี แกนนำชุมชนดอยช้างป่าแป๋ กล่าวว่า องค์ความรู้การทำแนวกันไฟยึดโยงกับวิถีชีวิตในการทำไร่หมุนเวียน สำหรับบ้านดอยช้างป่าแป๋เริ่มทำแนวไฟแบบแห้งมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เป็นแนวกันไฟที่ใช้การโกยใบไม้ออกให้เป็นทางโล่งกว้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามติดกัน

“แนวกันไฟแห้ง เริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะมีหมู่บ้าน ซึ่งภูมิปัญญานี้อยู่ในวิถีของชาวบ้านในการทำไร่หมุนเวียน ก่อนที่เขาจะเผาไร่หมุนเวียน เขาจะทำแนวกันไฟก่อน ซึ่งก่อนจะเผาจะต้องดูฤกษ์ดูวัน หลังจากนั้นก็มีการประยุกต์มาเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ไฟป่าที่มาทุกปีไหม้ลามมาถึงหมู่บ้าน หรือแม้แต่ป่าช้า ที่เป็นพื้นที่จิตวิญญาณ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่พื้นที่จิตวิญญาณมันถูกไฟไหม้ไป ความอุดมสมบูรณ์มันจะหายไปเช่นกัน ชาวบ้านจึงต้องปกป้องพื้นที่เหล่านี้” 

ภาพขณะดับไฟป่าจากดิปุ๊นุ

ดิปุ๊นุเล่าต่อว่า ก่อนที่จะมีการนำระบบน้ำหรือแนวกันไฟเปียกเข้ามาใช้ เมื่อไฟป่ามา ชาวบ้านต้องใส่น้ำในขวดน้ำดื่มเพื่อใช้ในการดับไฟป่า โดยจะใช้วิธีการพ่นน้ำออกจากปากรดต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ เพื่อกำจัดเชื้อเพลิงให้ดับสนิท แต่วิธีการนี้นอกจากต้องขนน้ำขึ้นไปจำนวนมากแล้ว ยังใช้ไม่ได้ผลกับบริเวณพื้นที่ที่กว้าง กระทั่งถึงปี 2560 จึงเกิดแนวคิดในการสร้างฐานดับไฟป่าขึ้นมา สำหรับวางถังเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายถังไว้บนภูเขา โดยปัจจุบันมีการวางถังน้ำไว้เพื่อดับไฟป่ารอบหมู่บ้าน

หลังจากนั้นในปี 2563 จึงเริ่มขุดสระน้ำขึ้นมาเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ดับไฟป่า โดยต่อท่อมาจากตาน้ำผุด อันเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติในหมู่บ้าน

ดิปุ๊นุมีโอกาสไปดูการทำป่าเปียกหรือระบบแนวกันไฟเปียก ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งการทำป่าเปียกต้องใช้น้ำจำนวนมากในการสร้างความชุ่มชื้นเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดไฟป่า ประกอบไปด้วยการทำฝายชะลอน้ำ การสูบน้ำขึ้นที่สูงแล้วปล่อยน้ำลงมาเลี้ยงพืชที่ปลูกเพื่ออุ้มน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้น แต่สำหรับบ้านดอยช้างป่าแป๋ไม่ได้มีน้ำมากขนาดนั้น จึงใช้เป็นการต่อท่อแหล่งเก็บน้ำแล้วใช้ระบบสปริงเกอร์ให้น้ำกระจายทั่วบริเวณเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้ป่าแทน

“ช่วงแรกๆ เราใช้สปริงเกอร์เยอะมาก เพราะตัวหนึ่งมันกระจายได้แค่ 5 เมตร แต่พอหาข้อมูลไปเรื่อยๆ เราก็ได้ไปเจอกับหัวสปริงเกอร์ที่ยิงน้ำได้ถึง 10 เมตร เลยทำให้ระบบตรงนี้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ” ดิปุ๊นุกล่าว

ภาพจากดิปุ๊นุ

จากแนวกันไฟแห้งอันเป็นวิถีดั้งเดิมสู่แนวกันไฟน้ำ และพัฒนาต่อมาจนมีแนวกันไฟระบบ IoT เป็นเซนเซอร์สำหรับเฝ้าระวังไฟป่า โดยระบบเซนเซอร์นี้ใช้พลังงานโซลาร์เซลล์เพื่อเป็นเครื่องตรวจจับควัน แล้วส่งข้อมูลไปยังสมาร์ตโฟนที่สามารถเปิดกล้องดูภาพพื้นที่เรียลไทม์ได้

แนวกันไฟทั้งหมดนี้มาจากการลงแรงของชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้าน 1 คนต้องทำแนวกันไฟครอบคลุมพื้นที่ถึงคนละประมาณ 52 ไร่ ในขณะที่ 1 คนต้องดูแลไฟป่าคนละประมาณ 59 ไร่ ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านต้องช่วยกันปกป้องพื้นที่ทำกินของตนเอง ดิปุ๊นุบอกกับเราว่า เป็นความโชคดีที่คนในหมู่บ้านมีความรักความผูกพันกับป่า แม้จะมีบางส่วนที่ออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงอยู่อาศัยที่บ้านเพื่อช่วยทำแนวกันไฟ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนดอยช้างป่าแป่

“สมาชิกในชุมชนรู้สึกว่าพื้นที่ตรงนี้มีความสำคัญกับเขา นอกจากนี้ยังมีความสำคัญกับคนที่อื่นๆ ด้วย มันทำให้เกิดสำนึกที่อยากอยู่ในหมู่บ้าน อยากปกป้องป่า บางคนก็อยากจะช่วยพ่อแม่ เพราะพอเข้าไปทำงานในเมือง มันบ่งบอกถึงความไม่ยั่งยืน พอเรามาพัฒนาตรงนี้ มันก็มีปัญหาอุปสรรค แต่พอเจอปัญหาอุปสรรคแล้วเราไม่ถอย เราต้องทำ ทำให้ดีกว่าเดิม ท้อได้แต่ว่าเราต้องไม่ถอย” ดิปุ๊นุกล่าว

กลุ่มเยาวชน

กลุ่มเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการทำแนวกันไฟและช่วยดับไฟป่า มีจำนวนสมาชิกทั้งหมดประมาณ 20 คนที่อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งแอ้เป็นหนึ่งในสมาชิก แม้ในปีนี้แอ้มีอายุ 28 ปีแล้ว แต่เขามีประสบการณ์ช่วยทำแนวกันไฟมาตั้งแต่อายุ 10 กว่าปี ตั้งแต่สมัยที่ยังมีแค่แนวกันไฟแห้ง

แอ้-ศักดิ์ชัย มุแฮ

“ตอนนั้นยังไม่มีระบบน้ำ เป็นการทำแนวกันไฟแห้งแบบกวาดใบไม้ ตั้งแต่เด็กๆ ก็มีการจัดเวรยามขึ้นไปนอนเฝ้าระวังไฟป่า ทำหน้าเป็นการ์ด มีทั้งหมด 2 ชุด สลับกันเฝ้าระวังตอนกลางวันกับตอนกลางคืน พอมีไฟเข้ามาเราจะวอหากันว่า ไฟอยู่ตรงจุดไหน เพื่อตามกองกำลังเสริมมาดับไฟ”

ภาพจากดิปุ๊นุ

เขาเล่าต่อว่าในอดีต การทำแนวกันไฟจะเริ่มช่วงประมาณเดือนมีนาคม ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านต้องออกไปช่วยกันทำ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย และเด็กที่เริ่มโต ซึ่งตัวแอ้ในตอนเด็กก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ เพื่อเตรียมพร้อมกับไฟป่าที่จะเกิดขึ้นช่วงเดือนเมษายนหรือในช่วงฤดูร้อน โดยการจัดเวรเฝ้าระวังไฟป่าส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย แต่เมื่อเกิดไฟป่าขึ้นมาทุกคนในหมู่บ้านจะรับเข้าไปช่วยกันดับไฟ เว้นเพียงแค่เด็กๆ เท่านั้นที่ไม่ให้เข้าไปเสี่ยงอันตราย 

ภาพจากดิปุ๊นุ

ภาพจากดิปุ๊นุ

ปัจจุบันมีการนำระบบน้ำเข้ามาใช้แล้ว หน้าที่เพิ่มเติมของแอ้คือการซ่อมบำรุงและตรวจสภาพอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และเขายังเสริมอีกว่า ทุกวันนี้ต้องเฝ้าระวังมากขึ้น เนื่องจากไฟป่าทวีความรุนแรงมากกว่าครั้งที่เขายังเป็นเด็ก

ภาพการใช้เครื่องเป่าลม จากดิปุ๊นุ

แม้บ้านดอยช้างป่าแป๋ในวันนี้จะมีคนหนุ่มจำนวนไม่น้อยในการดูแลแนวกันไฟ แต่แอ้บอกกับเราว่า เพื่อนรุ่นเดียวกันกับเขาจำนวนมากก็ย้ายออกจากหมู่บ้านเพื่อไปทำงานกันจำนวนมาก ส่วนเขาก็เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้ 2 ปี หลังจากลงไปทำงานในเมืองอยู่หลายปี 

ภาพจากดิปุ๊นุ

ภาพจากดิปุ๊นุ

“หมู่บ้านเราส่วนมากเด็กผู้หญิงจะเรียนได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย เขาก็ไปเป็นครู เป็นพยาบาล ย้ายกันออกไป ส่วนเด็กผู้ชายก็จะอยู่บ้านเรา ช่วยกันดูแลหมู่บ้าน เราเองก็เคยออกไปทำงานในเมือง แต่อยู่แล้วไม่สนุก อีกอย่างหนึ่งคือเห็นบ้านเรามีไฟป่ามาเยอะทุกปี แล้วเยาวชนไม่พอ ก็เลยกลับมาช่วยเพื่อนๆ ทำแนวกันไฟ กลับมาบ้านก็ช่วยแม่ทำข้าวไร่ พัฒนาหมู่บ้าน โรงเรียน” แอ้เล่าถึงเหตุผลที่กลับมาอยู่บ้าน

นอกจากกลับมาช่วยทำแนวกันไฟเพื่อปกป้องป่าและพื้นที่แห่งจิตวิญญาณแล้ว แอ้ยังกล่าวว่าการได้อยู่ในบ้านของตนเองคือความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติในผืนป่าที่หล่อเลี้ยงชีวิตตั้งแต่เกิด โดยเขามีความสุขตอนที่ได้ทำแนวกันไฟ ทั้งนี้ เขายังมีความหวังให้คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านมีพลังใจในการดูแลพื้นที่ทำกิน

ภาพจากดิปุ๊นุ

“สำหรับเยาวชน อยากจะฝากว่าให้ตั้งใจอย่างที่ผมตั้งใจ อย่าท้อครับ เสียใจแต่อย่าท้อ ทำไปถึงแม้จะไม่ได้อะไรก็ทำไป เพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านของเรา เป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่ทำกิน ถ้าพวกเราไม่รักษา ก็คงไม่มีใครมาช่วยรักษา” แอ้กล่าว

TEK คือเครื่องมือต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์

ในทางมานุษยวิทยาอาจกล่าวได้ว่า ที่ผ่านมาได้มีการนำภูมิปัญญาเชิงนิเวศและวัฒนธรรม (Traditional Ecological Knowledge: TEK) ซึ่งเป็นองค์ความรู้ในชุมชนหรือท้องถิ่นในการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อย่างการทำแนวกันไฟ เข้ามาจัดการทรัพยากรในพื้นที่หมู่บ้าน ประกอบด้วยการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการปฏิบัติ นำมาสู่การถ่ายทอดผ่านธรรมนูญชุมชน อันเป็นข้อปฏิบัติที่คนในชุมชนต้องยึดถือ จนทำให้เกิดศักยภาพในการนำองค์ความรู้เหล่านี้มาเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความเปราะบางของทรัพยากรในท้องถิ่น

อย่างไรก็ตามบ้านดอยช้างป่าแป๋เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่กับป่าซึ่งเป็นพื้นที่แห่งจิตวิญญาณ ทั้งยังเป็นพื้นที่ทำกินมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ในอีกหลายพื้นที่ที่ยังถูกกีดกันออกจากธรรมชาติ และยังต้องรอการอนุญาตจากรัฐผ่านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะ ‘หมวด 5 พื้นที่คุ้มครองชีวิตชาติพันธุ์’ 

ซึ่งเนื้อหาของหมวดที่ 5 ประกอบไปด้วยมาตราที่ 27-32 จำนวน 6 มาตรา ใจความสำคัญคือต้องการกำหนดพื้นที่คุ้มครองขึ้นเป็นกรณีพิเศษ โดยยกเว้นการใช้กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดังกล่าว เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวน 

รวมไปถึงกำหนดกฎเกณฑ์และกติการ่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชุมชน โดยจัดตั้งคณะกรรมการบริหารพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิต ประกอบด้วย ผู้แทนของหน่วยงานรัฐในพื้นที่และผู้แทนของชุมชน เพื่อคุ้มครองวิถีชีวิตและรักษาวัฒนธรรม ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ทับซ้อน ให้สิทธิประโยชน์ในการก่อสร้าง แผ้วถาง เพื่อการอยู่อาศัย การทำกิน และปฏิบัติพิธีกรรมตามประเพณีและจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์

และในอนาคตหากสภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ.เป็นกฎหมาย นอกจากกลุ่มชาติพันธุ์จะเข้าถึงสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติได้ตามวิถีดั้งเดิมอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่สิทธิพิเศษอะไร แต่ประชาชนทุกคนในประเทศจะได้ประโยชน์เป็นความยั่งยืนทางทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงได้รับการยอมรับจากนานาชาติในการคุ้มครองความหลากหลายทางวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ 

 

อ้างอิง:

https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/613

Tags: , , , ,