หากจะมีบ้านสักหลังเป็นของตัวเอง นอกจากทำเลที่ตั้งและการออกแบบตัวบ้าน สิ่งถัดไปที่คนจะนึกถึงคงเป็นการตกแต่งภายใน หรือการเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความละเมียดละไม เพราะนอกจากต้องเลือกให้ตรงกับตัวตนและไลฟ์สไตล์แล้ว ยังต้องคำนึงถึงคนที่จะอาศัยอยู่ร่วมกับเราด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนรวมของครอบครัวอย่างห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนยกตัวอย่างห้องนอนของสามี-ภรรยา อาจต้องใช้เวลาเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์นานกว่าห้องนอนส่วนตัวสมัยที่อาศัยอยู่คนเดียว

สำหรับบ้านของ อ๋อง-วีกฤษฏิ์ พลาฤทธิ์ และปุ๊ก-จงกล พลาฤทธิ์ แห่ง NORSE Republics และ HAY Thailand ร้านเฟอร์นิเจอร์นำเข้าสำหรับคนรุ่นใหม่ ทั้งสองบอกกับเราว่า ใช้เวลาเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านไม่นานเลย

“เฟอร์นิเจอร์ชิ้นหลักๆ เราให้คุณวีกฤษฏิ์เลือก เพราะเขาเลือกของที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในเรื่องของรายละเอียด เราจะเป็นคนเลือกเข้ามาทำให้บ้านสมบูรณ์ลงตัว ซึ่งโชคดีที่เรามีรสนิยมใกล้กัน ถ้าเขาชอบ เราก็ชอบ” จงกลกล่าวถึงการตกแต่งบ้านของครอบครัว

นอกจากเรื่องรสนิยมการแต่งบ้านที่เข้ากันดีของสามีภรรยาคู่นี้แล้ว The Momentum ชวนทั้งคู่พูดคุยถึงความหลงใหลในบ้านแบบสแกนดิเนเวีย จุดร่วมของแฟชั่นกับเฟอร์นิเจอร์ในมุมมองของจงกล ซึ่งหมวกอีกใบของเธอคือ ตำแหน่งแฟชั่นไดเรกเตอร์นิตยสารโว้กไทยแลนด์ (Vogue Thailand) และเป้าหมายร่วมกันในการทำ NORSE Republics กับ HAY Thailand ที่ต้องการให้เป็นมากกว่าร้านเฟอร์นิเจอร์คือ การสร้างพื้นที่ให้คนเข้ามาลองนั่งๆ นอนๆ พร้อมเรียนรู้การออกแบบของเฟอร์นิเจอร์แต่ละตัว รวมถึงการบาลานซ์ระหว่างชีวิตการทำงานกับความสัมพันธ์ในครอบครัว

สแกนดิเนเวียสู่ไทย: เฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์จากใจที่อบอุ่น

ในวันนี้คนรุ่นใหม่ที่เริ่มเติบโตและมีบ้านเป็นของตัวเอง หนึ่งในแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่นึกถึงคงเป็น HAY จากประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเมื่อปี 2567 HAY Thailand ได้เปิดโชว์รูมในย่านเจริญกรุงไปหมาดๆ โดยมีเบื้องหลังคือ บริษัท นอร์ส รีพับบลิค จำกัด (Norse Republics) 

นอร์ส รีพับลิคก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 เป็นธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียของวีกฤษฏิ์และจงกล ซึ่งมีโชว์รูมคือ NORSE Store ในซอยสุขุมวิท 49 ซึ่งรวบรวมแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไว้หลายแบรนด์ เช่น Fritz Hansen, GUBI และ Vitra 

ธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากความหลงใหลในงานดีไซน์ของทั้งคู่ โดยวีกฤษฏิ์ได้เรียนจบจากด้านการออกแบบ ในขณะที่จงกลก็โลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่น และเมื่อถามว่าทำไมต้องเป็นสแกนดิเนเวีย จุดนี้ทั้งคู่เล่าถึงความชื่นชอบในวัฒนธรรมของคนแถบนั้นซึ่งมีคล้ายคลึงกับคนไทย ในแง่ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัว และมิตรภาพกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งสะท้อนออกมาด้วยการตกแต่งบ้านอย่างอบอุ่น

“เรารักในเรื่องของงานดีไซน์ ชอบสแกนดิเนเวียนดีไซน์ ความเป็นสแกนดิเนเวียให้ความรู้สึกที่อบอุ่น Cozy แล้วบ้านของเขาเป็นบ้านจริงๆ เป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกสบายๆ ซึ่งการตกแต่งไม่ใช่แนวหรูหราหรือโอ้อวด เรา 2 คนรู้สึกว่า ทั้งดีไซน์และไลฟ์สไตล์มันใกล้เคียงกับความเป็นเอเชียนมาก ซึ่งย้อนกลับไปก่อนจะมีนอร์ส รีพับลิค ตอนนั้นคนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสแกนดิเนเวียนดีไซน์มากนัก ก็เลยอยากจะนำเสนอมัน จึงจัดตั้งนอร์ส รีพับลิคขึ้นมา” จงกลกล่าว

ในขณะเดียวกันวีกฤษฏิ์กล่าวเสริมเรื่องความอบอุ่นในครอบครัวของชาวสแกนดิเนเวียน

“ผมรู้สึกว่าชาวสแกนดิเนเวียนให้ความสำคัญกับครอบครัว ความสัมพันธ์ และมิตรภาพ เขาใส่ใจเรื่องบ้านและเขาบาลานซ์ชีวิตการทำงานกับเรื่องในบ้านได้ดี มีความสมดุล บ้านเขาจะมีไว้อยู่อาศัย มีไว้ให้เรากลับบ้านแล้วรู้สึกอบอุ่น” วีกฤษฏิ์เล่า

“เมืองแถบสแกนดิเนเวียอากาศค่อนข้างหนาว บ้านที่อบอุ่นจึงเป็นจุดส่วนรวมของทุกอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัว เพื่อน ปาร์ตี้ เพราะฉะนั้นเขาจะให้ความสำคัญกับการตกแต่งบ้าน ให้ความสำคัญกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน จะทำอย่างไรให้บ้านเขาอบอุ่น ในขณะที่ข้างนอกมันอึมครึมทั้งวัน เพราะฉะนั้นมันเป็นแนวคิดที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นดี แล้วสังคมไทยก็มีการอยู่อาศัยแบบอบอุ่นเหมือนกัน เราเลยรู้สึกว่าเราเฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งบ้านแบบสแกนดิเวียนดีไซน์สามารถเติมเต็มบ้านของคนไทย และกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้” จงกลเสริม

แม้แถบสแกนดิเนเวียกับประเทศไทยจะห่างไกลกันคนละซีกโลก แต่ทั้งคู่เล่าถึงความคล้ายคลึงกันที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว และวีกฤษฏิ์ยังกล่าวอีกว่า ชาวสแกนดิเนเวียจำนวนไม่น้อยเลือกมาตั้งรกรากอยู่ประเทศไทยในแถบหัวหินและปราณบุรี มีรูปทรงบ้านและการออกแบบตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวีย แต่สำหรับครอบครัวคนไทยลูกหลานที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง อาจไม่มีสิทธิปรับเปลี่ยนพื้นที่หรือเฟอร์นิเจอร์ในบ้านให้เป็นตามสไตล์ตนเองมากนัก เราจึงสงสัยว่า แล้วคนสแกนดิเนเวียเป็นอย่างไร

“ความจริงสแกนดิเนเวียมีความเป็นครอบครัวค่อนข้างเยอะ เมื่อลูกโตแล้วไม่ได้ย้ายออกไปข้างนอกทั้งหมด เช่นเดียวกับครอบครัวไทยที่ลูกมีทั้งยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่และย้ายออกไปอยู่เอง ซึ่งถ้าเรายังอยู่กับพ่อแม่ก็จะมีประเด็นว่า ลูกชอบการแต่งบ้านแบบหนึ่ง แต่ไม่มีสิทธิไปเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของครอบครัว ซึ่งสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับแถบสแกนดิเนเวีย เพราะคนที่นั่นโตมากับการตกแต่งบ้านอยู่แล้ว จุดสำคัญคือดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ของเขามันไม่ล้าสมัย เก้าอี้เขาอาจจะใช้มาตั้งแต่รุ่นคุณยาย 60-70 ปี

“คนที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่อาจเริ่มจากห้องนอนของตัวเองก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทีเดียวทั้งบ้าน แต่ค่อยๆ เพิ่มของตกแต่งที่เป็นตัวเองเข้ามาเรื่อยๆ เพิ่มความทันสมัยเข้ามาในพื้นที่เดิมของบ้าน ให้บรรยากาศมันเปลี่ยนไป พอพ่อแม่เปิดประตูห้องเข้ามาเห็น เขาอาจจะเริ่มชอบสไตล์ของเรามากขึ้นจนเริ่มอยากตกแต่งมุมอื่นในบ้านด้วย” วีกษฏิ์แนะนำ

นอกจากนี้จงกลยังให้ความเห็นว่า แค่ของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ในบ้านก็สามารถแสดงตัวตนของเราได้เช่นโคมไฟ เราอาจเริ่มจากตกแต่งพื้นที่เล็กๆ อย่างโต๊ะอ่านหนังสือให้เป็นคาแรกเตอร์ของเรา เมื่อวันหนึ่งที่เรามีบ้านเป็นของตนเองเราจะเข้าใจว่า บ้านที่เราอยากมีเป็นอย่างไร 

“เราเอาเฟอร์นิเจอร์สแกนดิเนเวียเข้ามาในไทย แต่เราก็ไม่อยากให้ทิ้งเสน่ห์ของบ้านแบบไทยๆ อยากให้มันผสมผสานเข้ากับบ้านคนไทยมากกว่า เช่น เก้าอี้หินหรือเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ บางชิ้นในบ้าน มันทำให้เรารู้สึกว่าบ้านมันยังเป็นบ้านของเราอยู่ คนรุ่นใหม่ก็ควรเห็นคุณค่าของร่องรอยในครอบครัวเราเอง” จงกลกล่าว

เซียนเฟอร์นิเจอร์กับตัวแม่แฟชั่น: ความท้าทายในการทำงานร่วมกันของคู่ชีวิต

นอร์ส รีพับลิคเริ่มธุรกิจมายาวนานถึง 10 ปี แม้จงกลจะเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง แต่หมวกอีกใบที่เธอสวมอยู่คือตำแหน่งแฟชั่นไดเรกเตอร์ของนิตยสารโว้กไทยแลนด์ 

“เราเป็นแฟชั่นไดเรกเตอร์ ดูแลเกี่ยวกับคอนเทนต์ที่เป็นแฟชั่นทั้งหมด ทั้งในเรื่องของภาพ สไตล์ ครีเอทีฟคอนเทนต์ต่างๆ สำหรับเราแฟชั่นกับการออกแบบมันค่อนข้างใกล้กันมาก มันสามารถที่จะเชื่อมโยงกันได้ แฟชั่นมันเป็นเรื่องที่มาเร็วไปเร็ว เป็นอะไรที่ต้องอัปเดตอยู่เสมอ แต่งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์มันเป็นอะไรที่ Timeless เพราะงานแต่ชิ้นมีขั้นตอนการออกแบบนานหลายปีกว่าจะได้ชิ้นที่สมบูรณ์แบบ ต้องผ่านการคิดที่ยาวนาน เพื่อที่จะได้ชิ้นงานชิ้นนี้มันอยู่กับผู้ใช้ไปได้นาน ซึ่งในโลกของแฟชั่นก็ต้องการความยั่งยืนแบบนี้ ในขณะที่เฟอร์นิเจอร์เองก็ควรมีชิ้นงานที่สามารถผสานเรื่องของเทนด์เข้าไปได้เหมือนกัน เรามองว่าเป็นความท้าทายที่น่าสนุกดี” จงกลกล่าว

วีกฤษฏิ์เสริมว่า การแต่งบ้านสามารถเป็นแฟชั่นได้ หากเจ้าของบ้านลองหยิบจับอะไรใหม่ๆ หรือเลือกชิ้นงานที่มีสีสันแปลกใหม่เข้ามาในบ้าน

“ปกติบ้านคนเวลาตกแต่งบ้าน เราตกแต่งมาอย่างไร เราก็อยู่ไปแบบนั้นตลอด แต่ความเป็นแฟชั่นก็จะมีเรื่องเทรนด์มาเกี่ยวข้อง เรามีเรื่องสีสันเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็อยากจะให้ลูกค้าของเราลองเปลี่ยนของตกแต่งใหม่ๆ” วีกฤษฏิ์บอก

“แต่งบ้านก็เหมือนแต่งตัว คล้ายๆ กัน เพราะว่าบางครั้งเราแต่งตัว เราใส่เสื้อตัวเดียวกัน แต่เราแต่งไม่เหมือนกัน เพราะว่าสไตล์ของเราไม่เหมือนกัน และเราก็อยากที่จะนำเสนอแบบเป็นตัวเรามากที่สุด ก็เหมือนแต่งบ้านบางทีเราอาจจะมีโซฟาชุดเดียวกัน โต๊ะกินข้าวที่เหมือนกัน แต่ว่าวิธีการตกแต่ง การวางสีบางอย่าง นั่นแหละคือสิ่งที่จะสะท้อนความเป็นตัวคุณว่า มันเป็นบ้านของคุณ” จงกลอธิบายเพิ่ม

จงกลกับวีกฤษฏิ์อาจไม่เคยทะเลาะกันในเรื่องของการแต่งบ้าน แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วในเรื่องของการทำธุรกิจร่วมกัน ทั้งคู่เคยมีความเห็นไม่ลงรอยกันบ้างหรือไม่ แล้วแก้ไขปัญหาอย่างไร 

ช่วงปีแรกๆ ที่เริ่มก่อตั้ง เราต้องทำงานร่วมกันเยอะ ด้วยความที่คนน้อย มีแค่คุณวีกฤษฏิ์กับพนักงานไม่กี่คน ซึ่งการทำงานด้วยกันจริงๆ ในคู่สามีภรรยา ต้องแบ่งบทบาทให้ชัดเจน ในคู่เรา มีเราทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา คุณวีกฤษฏิ์เป็นคนที่เป็นคนตัดสินใจ อย่างน้อยเราต้องยอมรับว่า การตัดสินใจสุดท้ายเป็นหน้าที่ของเขา ในคู่อื่นๆ การทำงานด้วยกันอาจจะต้องลดอีโก้ลง แล้วแต่ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่ด้วย ถ้าบทบาทในบ้านมีคนที่เป็นผู้นำอยู่แล้ว ในเชิงธุรกิจก็น่าจะต้องละลายไป ให้เกียรติต่อกันและกันทั้ง 2 พาร์ต” จงกลตอบคำถาม

“ตอนนี้ทำงานด้วยกันก็สนุกนะ คือมันยังบาลานซ์ได้ดี คืออย่างคุณปุ๊กเองเขาก็มีงานของเขา แล้วเขาก็มาช่วยซัพพอร์ตเราในเวลาที่เราต้องการ จะเรียกว่าเป็นคู่ที่ทำงานตัวติดกันตลอดไหม คือไม่ใช่ เพราะว่าเราต่างคนต่างก็มีสิ่งที่เราโฟกัสแตกต่างกันไป” วีกฤษฏิ์เสริม

ทั้งนี้จงกลยังบอกว่า ในพาร์ตของการเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เธอคอยสนับสนุนความคิดของวีกฤษฏิ์อยู่เสมอ 

“เราว่าการทำงานร่วมกันที่ดีคือไม่ขัดไปเสียทุกอย่าง เวลาเขาต้องการคำปรึกษาคือ เขาต้องการแค่คนที่ไปคอนเฟิร์มเขาว่า สิ่งที่เขาคิดอยู่มันดีอยู่แล้ว ซึ่งในแง่ของการใช้ชีวิตด้วยก็เช่นกัน ยิ่งเราทำงานครีเอทีฟ เราคิดอยู่แล้วว่าเราอยากได้อะไร เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้มันดี แต่เราต้องการเสียงที่จะมาบอกมันใช่ สิ่งที่เราทำมันดีจริงๆ” เธอกล่าว

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ทำงานเข้ากันได้ดีคือ เป้าหมายทางธุรกิจที่มีร่วมกัน โดยจงกลกล่าวว่า เธอเชื่อในเรื่องของคุณค่าและความยั่งยืน

“การทำงานด้วยกัน เราจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งนี้ทำเพื่อเป้าหมายอะไร เราต้องการสิ่งเดียวกัน ซึ่งในด้านธุรกิจเราเป็นผู้นำเข้าแล้วก็ขาย แต่จริงๆ เราก็มีเป้าหมายที่อยากให้ชิ้นงานที่เราขายมันคุณค่ากับผู้คน เพราะฉะนั้นชิ้นงานทุกชิ้นที่เราเลือกมามันมีคุณค่าในแง่ของดีไซน์ เราอยากให้มันอยู่กับคนได้นานๆ” จงกลบอก

“มันเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสาร และเรื่องของการจัดอีเวนต์ต่างๆ เพราะเราอยากให้คนเข้าใจในงานดีไซน์จริงๆ เรามองว่าของบางอย่างมันก็มีราคาสูง แต่อาจไม่ได้เรียกว่าแพง เพราะหากคนเข้าใจงานดีไซน์มากขึ้น เข้าใจว่ามันราคาสูงเพราะอะไรเขาก็จะมองเห็นคุณค่าในงานแต่ละชิ้น แล้วจะรู้สึกอิ่มเอมใจที่จะซื้อ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดี” วีกฤษฏิ์เสริม

นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีเป้าหมายที่ต้องการให้ NORSE Store และ HAY Thailand เป็นเสมือนพื้นที่แห่งการเรียนรู้ด้านดีไซน์สำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะนักศึกษาที่เรียนด้านการออกแบบ

“เราเปิดโชว์รูมให้นักเรียน นักศึกษาบ่อย อีกอย่างหนึ่งก็คือเราพยายามที่จะนำเฟอร์นิเจอร์ออกไปในพื้นที่ที่เป็น Public Space มากขึ้น เพราะรู้สึกว่าเรามีหน้าที่ต้องนำสิ่งเหล่านี้ออกไปให้คนได้ศึกษา โดยเฉพาะนักออกแบบไทย เรามองว่าคนไทยมีความสามารถมากๆ ยิ่งเขามีตัวอย่างที่ดีให้ได้ศึกษาเยอะๆ มันก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก” จงกลพูดถึงเป้าหมาย

สมดุลและความอบอุ่นในบ้านนอร์ส

ในฐานะเจ้าของธุรกิจร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ซึ่งมีตารางการทำงานที่แน่นทั้งวัน เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่า ทั้งคู่มีเวลาพักผ่อนอยู่บ้านมากน้อยแค่ไหน

เราก็ใช้ชีวิตนอกบ้านกันเยอะ แต่ว่าก็ชอบชีวิตที่บ้านที่สุดอยู่ดี” จงกลตอบ

“เราใช้ชีวิตในบ้านเยอะเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะเรา 2 คนค่อนข้างยุ่ง ส่วนบทบาทในบ้านเราไม่ได้แบ่งหน้าที่ เราก็จะช่วยกันดูแลบ้าน ช่วยกันดูแลครอบครัว” วีกฤษฏิ์เสริม

ในวันนี้จงกลกับวีกฤษฏิ์นอกจากจะเป็นสามีภรรยาที่ทำธุรกิจด้วยกัน อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของชีวิตทั้งคู่คือ การเป็นพ่อแม่ของลูกชายวัย 9 ขวบ 

“ลูกชายชื่อว่าน้องนอร์ส เกิดมาพร้อมๆ กับนอร์สรีพับลิคเลย” จงกลกล่าว

เธอบอกกับเราต่อว่า แม้ตารางชีวิตในหนึ่งวันจะยุ่งแค่ไหน ก็ต้องแบ่งเวลาให้กับครอบครัวอย่างเป็นระบบ

เราต้องแบ่งเวลาใช้เวลาด้วยกันบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้สวีตอะไร เช่น ออกกำลังกายด้วยกัน เราเล่นพิลาทิสด้วยกัน ตื่นเช้าไปส่งลูกชายที่โรงเรียน ไปส่งลูกเสร็จไปกินกาแฟ แล้วแยกย้ายกันไปทำงาน ” ผู้เป็นภรรยาเล่าถึงตารางชีวิต

“มันต้องมีรูทีน ต่อให้ระหว่างวันเราจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม ช่วงเวลาตอนเช้า 3-4 ชั่วโมง คือช่วงเวลาที่เราจะได้คุยกันเงียบๆ 2 คน” สามีพูดเสริม

สุดท้ายนี้เราถามคู่รักที่หลงใหลในเฟอร์นิเจอร์ว่า มีเก้าอี้หรือโซฟาตัวไหนที่ทั้งคู่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือไม่ ทั้งสองตอบว่าอาจไม่ใช่เก้าอี้ แต่เป็นโต๊ะจากแบรนด์ &Tradition

“มันคือโต๊ะกินข้าวที่บ้าน มันเป็นที่ที่เรานั่งแล้วแชร์กันจริงๆ ถ้าที่บ้านเราก็จะใช้เวลาที่โต๊ะอาหารเป็นส่วนใหญ่ กินกาแฟ กินข้าว นั่งคุยกับลูก เราจะมาใช้เวลาตรงนั้น อาจจะไม่ได้มีโซฟาเป็นพิเศษ เราชอบโต๊ะเก้าอี้ที่มันเป็นแชร์สเปซที่มันมีบทสนทนา” จงกลกล่าว

“คาแรกเตอร์ของมันคือเป็นโต๊ะที่ไม่กลม ไม่เหลี่ยม เป็นรูปวงรีที่นั่งได้รอบ แล้วก็เป็นโต๊ะไม้ เราชอบที่จับลูบ แล้วความเป็นโต๊ะไม้มันจะมีร่องรอยที่เกิดจากการใช้งาน เราชอบกันมาก แล้วก็จะหาอะไรมาแทนอยากเหมือนกัน เคยมีคนเดนมาร์กบอกว่า จริงๆ แล้วสปิริตของครอบครัวไม่ได้อยู่ที่เก้าอี้ แต่อยู่ที่โต๊ะอาหาร เพราะเก้าอี้คนนั่งคนเดียว แต่โต๊ะอาหารที่คนแชร์ร่วมกัน คือสิ่งที่เป็นพยานในทุกๆ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในบ้าน กินข้าว สนทนา สอนการบ้านลูกทุกอย่างอยู่บนโต๊ะ” วีกฤษฏิ์ทิ้งท้าย

Tags: , , ,