เมื่อพูดถึง ‘รัก’ หรือ ‘การร่วมรัก’ ทุกคนมักจะนึกถึงอะไรกันบ้าง

หากให้นึกเร็วๆ ก็คงจะนึกถึงชีวิตคู่ การกอด การร่วมเพศ ความสุข การเกิดชีวิตใหม่ อะไรประมาณนี้ แต่เอาเข้าจริง ‘ความรัก’ มีความกว้างใหญ่และน่าสนใจกว่านั้นมาก มากเสียจนวัฒนธรรมอินเดียต้องมีคัมภีร์มาอธิบายความเลยทีเดียว

ก่อนโบกมือลาเดือนแห่งความรัก คอลัมน์ Indianiceation อยากชวนมาลองมองความรักผ่านแง่มุมโบราณคดีในประเทศอินเดียว่า สำหรับชาวอินเดียตั้งแต่โบราณมา ความรักนั้นมีคุณค่าอย่างไร 

อรรถะ กามะ ธรรมะ โมกษะ

ในปรัชญาอินเดียมีหัวข้อหนึ่งชื่อว่า ‘ปุรุษารถะ’ แปลอย่างง่ายๆ ว่า เป้าหมายของชีวิตมนุษย์ 

เป้าหมายนั้นมีองค์ประกอบอยู่ 4 อย่าง ได้แก่

1. อรรถะ คือทรัพย์ทางปัญญา (ความรู้)

2. กามะ คือความสุขทางกาย

3. ธรรมะ คือการช่วยเหลือและปฏิบัติตามระบบสังคม

4. โมกษะ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

หลักทั้ง 4 ข้อนี้ยังล้อไปกับหลักอีกประการอย่าง ‘อาศรม 4’ ที่แบ่งชีวิตคนออกเป็น 4 ช่วงวัย ได้แก่ พรหมจรรย์ (ผู้เรียน), คฤหัสถะ (ผู้ครองเรือน), วานปรัสถะ (ผู้ออกจาริก) และสันยาสะ/ สันยาสี (ผู้ละทิ้งโลก) ซึ่งจุดนี้จะเห็นได้ว่า ข้อกามะนั้นอยู่ตรงกับวัยคฤหัสถะพอดี 

แล้วสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร 

สิ่งนี้กำลังบอกว่า เพราะวัยคฤหัสถะถูกนิยามให้ทำหน้าที่ครองเรือนสร้างครอบครัว ฉะนั้นพวกเขาจะต้องมีกามะ ซึ่งแปลตรงๆ ว่า ‘ความปรารถนา’ แล้วปรารถนานั้นคืออะไร คำตอบคือ ‘ทรัพย์สมบัติ’ และ ‘บุตรธิดา’ ทำให้ในช่วงวัยแรกจึงต้องเรียนรู้ความรู้ต่างๆ เมื่อโตถึงช่วงวัยที่ 2 ก็นำความรู้นั้นไปสร้างรายได้และครอบครัว โดยในส่วนนี้ความรักและการร่วมรักก็จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิต เพราะหากไร้ซึ่งสิ่งทั้งสอง ครอบครัวตามทัศนะนี้ที่ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูก ก็มิอาจก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ 

ถึงตรงนี้เลยอยากขอเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง ครั้งหนึ่งพระศิวะทรงเศร้าโศกเป็นที่สุดที่พระชายาองค์แรกของท่านได้สละชีพ ท่านจึงเข้าสมาธิเป็นเวลายาวนาน ส่งผลให้จักรวาลหยุดนิ่ง อสูรสามารถรุกรานไปยังดินแดนต่างๆ ได้ ด้วยพรที่พวกเขาได้รับจากพระพรหมว่า จะไม่ตายหากไม่ถูกสังหารโดยศิวบุตร เทวดาทั้งหลายจึงร้องต่อกามเทพให้เข้าไปยิงศรแห่งรักใส่พระศิวะ เพื่อทรงตื่นจากสมาธิและเข้าพิธีวิวาห์กับพระนางอุมาปารวตี สุดท้ายก็เป็นตามนั้น พระกามเทพขึ้นทรงนกแก้วไปยังยอดเขาไกรลาส ยิงปุษปศรอันหอมหวานใส่พระศิวะมหาเทพ พระองค์ทรงลืมพระเนตรขึ้น แต่เป็นตรีเนตร ดวงตามที่ 3 กลางหน้าผากซึ่งบรรจุไฟเผาผลาญเอาไว้ พระกามเทพถูกไฟร้อนเผาทำลาย ก่อนที่พระศิวะจะค่อยๆ ลืมพระเนตรที่เหลือขึ้นและพบรักกับพระนางปารวตี 

นิทานเรื่องนี้สะท้อนความจริงข้อหนึ่งว่า พระศิวะแม้จะเป็นเทพนักบวชแต่ยังจำต้องสละภาวะนั้นเพื่อมาร่วมรักกับพระนางปารวตี เพื่อธำรงรักษาความสมดุลของจักรวาลนี้เอาไว้ ผ่านการกำเนิดเทวบุตรผู้สามารถสังหารอสูรลง ซึ่งประเด็นนี้ผมได้เคยเขียนเอาไว้บ้างแล้วในเรื่องโบราณคดีว่าด้วย ‘ลึงค์’ 

อีกประเด็นที่ผมว่าน่าสนใจมากคือ นิทานเรื่องนี้ชี้ความจริงข้อหนึ่งว่า ศาสนาฮินดูมีแนวโน้มที่จะเป็นบวกต่อการดำรงชีวิตแบบฆราวาส คือไม่รังเกียจ ไม่มองว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ลดคุณค่าของตัวตนหนึ่งๆ และเมื่อลองมองย้อนกลับไปที่หลักอาศรม 4 ก็จะเห็นว่า วิธีคิดแบบอินเดียเสนอว่า มนุษย์เราเรียนรู้ชีวิตของตนในหลายมุมก่อน แล้วจึงค่อยหันหลังให้มัน 

พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าก็ชี้ไปตรงกัน เจ้าชายสิทธัตถะได้รู้จักชีวิต เรียนหนังสือ มีบุตร มีครอบครัว มีทรัพย์ แต่ท่านได้มองเห็นความไม่จีรังในสิ่งเหล่าจึงตัดสินใจหันหลังให้มัน

ใช่ครับ ตามมุมมองของผม ท่านจึงสามารถเป็นศาสดาผู้สอนสิ่งต่างๆ ได้ เพราะท่านผ่านมาหมดแล้ว เราจะสอนผู้อื่นได้อย่างไร หากเราไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น ถูกไหม 

เทวสถาน: สถานแห่ง(การร่วม)รัก

เชื่อว่าคนไทยหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง ‘เทวาลัยขชุราโห’ (Khajuraho Temples) เทวาลัยที่ประดับประดาไปด้วยรูปการร่วมเพศ จนบางครั้งเทวาลัยนี้ถูกเรียกอย่างเหยียดๆ ว่า ‘เทวาลัยแห่งกาม’ (ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ คำคำนี้ผมได้ยินครั้งแรกตอนสมัยเรียนมัธยม จากปากครูสอนวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งสำหรับเด็กน้อยกางเกงขาสั้นในตอนนั้นรู้สึกว่า แปลกๆ) 

กลุ่มโบราณสถานขชุราโหสร้างขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 15-16 โดยจักรวรรดิจันเทละแห่งเชชกภูกติ (Chandelas of Jejakabhukti) ผู้มีอำนาจครอบคลุมพื้นที่รัฐมัธยประเทศในปัจจุบัน เทวาลัยประธานของกลุ่มชื่อ กันทรริยามหาเทวมนเทียร (Kandariya Mahadeva Mandir) แปลว่า มหาเทพแห่งถ้ำ สร้างขึ้นอุทิศแด่พระศิวะในรัชสมัยของพระเจ้าวิทยธาระแห่งจันเทละ (Vidyadhara of Chandela) กษัตริย์ลำดับที่ 9 แห่งราชวงศ์ เทวาลัยองค์นี้มีความสูงมากถึง 31 เมตร สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบอินเดียเหนือที่เรียกว่า เสขรีศิขระ (Sekhari Shikhara) 

เทวาลัยกันทรริยามหาเทวมนเทียร (ที่มา: https://kevinstandagephotography.wordpress.com/)

สิ่งหนึ่งซึ่งสะดุดตาเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเทวาลัยองค์นี้คือ ภาพเมถุน หรือการร่วมเพศขนาดใหญ่จำนวนมากประดับอยู่ในหลายจุดขององค์เทวาลัย โดยมีอยู่ 2 จุดหลักๆ ที่ภาพเหล่านี้ประดับอยู่อย่างโดดเด่นคือ บริเวณที่เรียกว่า ‘อันตราละ’ (ส่วนเชื่อมระหว่างครรภคฤหะกับมณฑป) และ ‘ฐานชคตี’ (ฐานรองรับเทวาลัย) 

อันตราละ คือส่วนเชื่อมระหว่างครรภคฤหะ (ห้องประดิษฐานเทวรูปประธาน) กับมณฑป (โถงด้านหน้า) ส่วนนี้เป็นเสมือนพื้นที่ระหว่างการสร้างกับโลกภายนอก ชื่อของห้องครรภคฤหะเปรียบได้กับ ‘มดลูกของจักรวาล’ ฉะนั้นการที่รูปคนร่วมเพศมาปรากฏอยู่ระหว่างห้องแห่งมดลูกกับโลกภายนอกจึงเป็นเสมือนการบ่งชี้เชิงสัญลักษณ์ว่า พระเป็นเจ้าได้ทรงร่วมรักและนำไปสู่การสร้างจักรวาลที่เราดำรงอยู่ เพราะหากพระเป็นเจ้าหยุดนิ่ง ไม่ร่วมรัก ไม่ร่วมเพศ การสร้างก็จะหยุดลง 

ภาพเมถุน-การร่วมเพศ บริเวณอันตราละของเทวาลัยกันทรริยามหาเทวมนเทียร โบราณสถานขชุราโห (ที่มา: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

ภาพเมถุน-การร่วมเพศ บริเวณอันตราละของเทวาลัยกันทรริยามหาเทวมนเทียร โบราณสถานขชุราโห (ที่มา: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

เมื่อกล่าวถึงภาพสลักในส่วนนี้ ก็ชวนนึกถึงนิทานประจำเมืองพาราณาสีเรื่องหนึ่งที่เล่าว่า ครั้งหนึ่งพระศิวะทรงล้อเลียนพระแม่ว่า สิ่งที่พระแม่สร้างนั้นเป็นเพียงวัตถุไม่ถาวร แต่พระองค์นั้นคือผู้แสดงความจริง คำล้อเลียนนี้ทำให้พระแม่หนีจากเขาไกลาส ส่งผลให้จักรวาลหยุดนิ่ง เกิดความแห้งแล้งไปทั่ว สุดท้ายพระศิวะจึงต้องเสด็จออกตามหาพระแม่ และในที่สุดทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้งที่พาราณาสี เมื่อมหาเทพและมหาเทพีได้มาพบกัน โลกก็กลับสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง 

ขณะที่อีกส่วนหนึ่งอย่าง ฐานชคตี หรือฐานขนาดใหญ่รองรับองค์เทวาลัย บริเวณนี้มักสลักเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินไปบนโลกมนุษย์ เพราะ ‘ชคะ’ แปลตรงว่า โลก ถ้าเปรียบกับไตรภูมิพระร่วงแบบไทยๆ ส่วนนี้คือ ‘กามภูมิ’ ในส่วนมนุษย์โลก เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่จะปรากฏรูปกิจกรรมทางเพศประดับอยู่บริเวณนี้ เพราะการร่วมเพศเป็นพื้นฐานของมนุษย์นั่นเอง 

ความต่างอย่างมีจุดร่วมหนึ่งของรูปเพศสัมพันธ์บริเวณชคตีกับอันตราละคือ เพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งมนุษย์และเทพต่างทำกิจกรรมนี้ แต่กิจกรรมทางกามบนโลกมนุษย์นั้นตัดขาดจากสวรรค์หรือเทวโลก การสอดใส่ของเจ้าพ่อและเจ้าแม่แห่งจักรวาลจึงประกอบขึ้นเพราะเป็นเรื่องปกติ

ทว่าในกรณีของมนุษย์กลับต่างออกไป คนเราลุ่มหลงอยู่กับสิ่งๆ นั้น แม้ว่าความรักจะมีความสำคัญมาก แต่กลับเหมือนดาบสองคม ความรักผูกมนุษย์คนหนึ่งเข้ากับบางสิ่งอย่างประหลาด คนคนนี้เป็นของฉัน สิ่งสิ่งนี้เป็นของฉัน ใครก็อย่ามายุ่งกับของฉัน ฉันยอมสละทุกอย่างเพื่อความรัก หรือทั้งชีวิตของฉันยอมให้กับเขา ไม่ว่าเขาจะต้องการสิ่งนั้นหรือไม่ก็ตาม 

ภาพเมถุน-การร่วมเพศ บริเวณอันตราละของเทวาลัยกันทรริยามหาเทวมนเทียร โบราณสถานขชุราโห (ที่มา: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

ความรักจึงสวยงามและสร้างความงุนงงในเวลาเดียวกัน หากเราตกอยู่ในอ้อมกอดของความรักมากจนลืมตัว เราอาจจะตกอยู่ในความว่างเปล่าอันสับสนก็ได้ สุดท้ายคัมภีร์กามสูตร คัมภีร์แห่งการครองเรือนของชาวอินเดียโบราณจึงร้องทักด้วยข้อความที่ผมคิดว่า สามารถเตือนสติมนุษย์อย่างเราได้มากเลย 

“ความสำเร็จอันมิเสื่อมนั้นรอชายและหญิงผู้มีปัญญารอบคอบยิ่งหลังจากได้เรียนแล้วซึ่งกามสูตรนี้อย่างถ้วนถี่ (แล) เอาใจใส่ในธรรมะและอรรถะ และฝึกฝนความกามะ (กิจทางเพศ) โดยไม่ลุ่มหลง และเขาผู้ฝึกฝนกามสูตรนี้อย่างเหมาะสม”

แด่ความรัก สิ่งสวยงามแห่งจักรวาล เมื่อใดไร้รักย่อมไร้จักรวาล

 

ที่มาข้อมูล

Allen, Margaret Prosser (1991). Ornament in Indian Architecture. University of Delaware Press.

Devangana Desai (2005), Khajuraho, Oxford University Press, Sixth Print 

Michell, George; Singh, Snehal (2002). Hindu temples of India in The World of Indian Architecture. Vol. 117. 

Tags: , , , , ,