บทสรุปปมประกาศกฎอัยการศึกสะเทือนโลกในวันที่ 3 ธันวาคม 2024 กำลังใกล้เข้ามา หลังเมื่อวานนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2025) ยุน ซอกยอล (Yoon Suk-yeol) ผู้นำเกาหลีใต้ ขึ้นพิจารณาคดีการถอดถอนประธานาธิบดี ณ ศาลรัฐธรรมนูญในกรุงโซล เป็นครั้งสุดท้าย 

หลังจากนี้ศาลจะประมวลหลักฐานจากการพิจารณาคดีทั้งหมด 11 ครั้ง ทั้งจากปากคำของนายทหารระดับสูง นักการเมือง และพยานคนอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 คน เพื่อตัดสินว่า การประกาศกฎอัยการศึกชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และยุนสมควรถูกถอดถอนจากการใช้อำนาจมิชอบหรือไม่ โดยคาดว่า การตัดสินคดีอาจเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่กำลังจะถึงนี้

ประเด็นหลักของข้อโต้แย้งในการพิจารณาคดีครั้งนี้คือ การที่ยุนปฏิเสธว่า ไม่ได้ ‘ยึดอำนาจ’ ผ่านกฎอัยการศึกเหมือนผู้นำในอดีต แต่เป็นการรักษาความมั่นคงของประเทศจากพรรคประชาธิปไตยเกาหลี (Democratic Party of Korea) หรือพรรคมินจูดัง (민주당) ที่ได้รับการสนับสนุนจากเกาหลีเหนือ โดยเรียกพรรคฝ่ายค้านว่า ‘พรรคจักรวรรดิ’ 

ในการไต่สวนเป็นระยะเวลา 40 นาที ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เปิดฉากด้วยการกล่าวขอโทษประชาชนจากการประกาศกฎอัยการศึก แต่ในถ้อยแถลงยังอ้างว่า การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อปกป้องชาติและพลเมือง ขณะที่การให้ความหมายต่อคำว่ากฎอัยการศึกในเชิงลบ เกิดจากฝ่ายค้านที่พยายามใช้ความทรงจำอันเจ็บปวดของสังคมจากประวัติศาสตร์ในอดีต ปลุกปั่นให้ประชาชนตื่นกลัว

“การประกาศกฎอัยการศึกไม่ใช่การบังคับขู่เข็ญประชาชนด้วยกำลัง แต่เป็นการร้องขอให้คนในชาติตระหนักถึงวิกฤตทางการเมือง

“กองกำลังภายนอกอย่างเกาหลีเหนือและกองกำลังต่อต้านรัฐ ที่แฝงตัวในสังคมของเรา กำลังร่วมมือแทรกแซงอธิปไตยของชาติ และสร้างภัยอันร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ พวกเขากำลังทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งและความยุ่งเหยิง ที่เต็มไปด้วยข่าวปลอม ข้อมูลปลอม และการโฆษณาชวนเชื่อ” 

ยุนอธิบายถึงต้นตอการประกาศกฎอัยการศึกว่า เป็นการปลุกประชาชนให้เตือนถึงวิกฤตทางการเมืองอย่าง ‘เผด็จการรัฐสภา’ โดยอ้างถึงการที่พรรคฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากในสภา ใช้อำนาจเกินขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ การควบคุมสื่อ หรือแม้แต่การแทรกแซงอำนาจตุลาการ พร้อมเปรียบเปรยว่า เกาหลีใต้เหมือนกบที่กำลังต้มอยู่ในหม้อน้ำช้าๆ โดยไม่เห็นภัยอันตรายอันร้ายแรงที่เกิดขึ้น

ผู้นำเกาหลีใต้ย้ำว่า สาเหตุที่การประกาศกฎอัยการศึกของเขาต่างจาก ‘รัฐประหาร’ ในอดีต เพราะเกิดขึ้นเพียง 2 ชั่วโมง และไม่ได้ใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งเขายังใช้อำนาจพิเศษในวันธรรมดา ไม่ได้ฉวยโอกาสในวันหยุด และระดมพลโดยใช้ทหารเพียง 280 นายประกอบภารกิจ พร้อมกับย้ำว่า เขาตัดใจจะถอนกำลังทันทีที่สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ประกาศยกเลิกในช่วงเที่ยงคืน

นอกจากนี้ยุนยังเปรียบเทียบว่า การใช้อำนาจในครั้งนี้ ไม่ต่างจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและส่งทหารไปประจำการในพื้นที่อื่นๆ ตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่ง แม้บริบทอาจจะต่างกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐฯ กับเกาหลีใต้กำลังเผชิญภัยคุกคามที่เหมือนกันอยู่

ขณะที่ทีมกฎหมายของยุนขึ้นให้การว่า การประกาศกฎอัยการศึกถือเป็นการใช้อำนาจของรัฐบาล โดยเป็นคำสั่งที่ถูกต้องและไม่ละเมิดรัฐธรรมนูญ พร้อมกับย้ำเหมือนผู้นำเกาหลีใต้ว่า กฎอัยการศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อต้านฝ่ายค้านที่พยายามเล่นงานทางการเมือง ทั้งการถอดถอนและตัดงบประมาณของรัฐบาล

น่าสนใจไม่น้อยว่า ในการพิจารณาคดี ยุนและทีมกฎหมายหยิบยกวิดีโอที่ อู วอนชิก (Woo Won-Shik) ประธานสภา และอี แจมยอง (Lee Jae-myung) หัวหน้าพรรคมินจูดัง ฝ่าวงล้อมและปีนรั้วสภาเพื่อเข้าไปลงมติต้านกฎอัยการศึก เป็นหลักฐานยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ ‘ขวาง’ การทำงาน โดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมีเพียงเล็กน้อย ทำหน้าที่รักษาความสงบและความปลอดภัย แม้ในความเป็นจริงปรากฏทหารหลายนายพยายามขวางไม่ให้นักการเมืองเข้าสภาก็ตาม

ในช่วงท้ายของการพิจารณาคดียุนย้ำว่า เขาไม่ยึดติดกับการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ แต่หากมีโอกาสได้กลับนั่งเก้าอี้ผู้นำอีกครั้ง เขาอยากปฏิรูปการเมืองและรัฐธรรมนูญ โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน แปรเปลี่ยนกฎหมายสูงสุดของประเทศ และโครงสร้างทางการเมืองให้ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม อีกทั้งยังพูดถึงประเด็นการบริหารราชการแผ่นดินในด้านอื่นๆ อย่างการต่างประเทศที่กำลังเผชิญความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน

ทว่าในเวลาต่อมา จอง ช็องแร (Jung Chung-rae) สมาชิกสมัชชาแห่งชาติที่เข้าร่วมพิจารณาคดี ในฐานะตัวแทนของคณะกรรมาธิการถอดถอนประธานาธิบดี โต้แย้งว่า ยุนควรพ้นจากตำแหน่งเพื่อปกป้องประชาธิปไตยและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ โดยย้อนเล่าเรื่องบรรยากาศวันที่ 3 ธันวาคมเมื่อปีที่แล้วว่า โลกทั้งใบกำลังเป็นพยานต่อความน่ากลัวที่เกิดขึ้น

“ในคืนที่ 3 ธันวาคม คืนแห่งการก่อกบฏ ทั้งประเทศเห็นทหารใช้อำนาจจากกฎอัยการศึกผ่านโทรทัศน์ ท้องฟ้าเสียงดังสนั่นไปด้วยเสียงเฮลิคอปเตอร์ ขณะที่พื้นดินก็เป็นพยานต่อเสียงกึกก้องจากเสียงรองเท้าของทหาร แม้เงาพระจันทร์บนทะเลสาบยังเป็นพยานได้” จองย้ำว่า การกระทำของยุนคือการก่อกบฏ และควรถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น

ล่าสุดผลสำรวจของ Realmeter เปิดเผยว่า ประชาชน 52% เห็นชอบให้ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนยุนออกจากตำแหน่ง ขณะที่ 45.1% ต้องการให้ศาลคืนตำแหน่งให้กับเขา และอีก 50.7% เชื่อใจการตัดสินของศาลว่ายุติธรรม แม้อีก 45% ตอบคำถามว่า ไม่เชื่อในการตัดสินของศาลก็ตาม

อ้างอิง

https://www.koreaherald.com/article/10426828

https://www.koreaherald.com/article/10428679

https://www.koreatimes.co.kr/www/nation/2025/02/251_392968.html

https://x.com/koryodynasty/status/1894300439635792385

Tags: , , , , , , ,