เล่นหมากเก็บ กระโดดยาง ไปร้านเช่าหนังสือการ์ตูน

เรากำลังพูดถึงสารพัดกิจกรรมของเด็กยุค 90s ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันใครหลายคน ก่อนที่อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีเข้าแทรกซึม จนความบันเทิงเหล่านี้ค่อยๆ จางหายไปตามยุคสมัย 

เหมือนกับวิถีชีวิตในย่านเสนานิคม พื้นที่ในโซนลาดพร้าวที่ทุกวันนี้บุกเบิกกลายเป็นบ้านจัดสรรของเมืองกรุง ครั้งหนึ่งอาณาบริเวณแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยผู้คน ก่อนกาลเวลาจะพรากแต่ละฝ่ายให้ ‘แยกย้ายกันไปเติบโต’ ทิ้งไว้เพียงความทรงจำต่างหน้าให้กับผู้ที่ยังอยู่เบื้องหลัง

แต่นั่นไม่ใช่บทสรุปสำหรับ House of Bean Book Cafe อดีตร้านเช่าหนังสือการ์ตูนอายุเก่าแก่กว่า 30 ปีในซอยเสนานิคม 42 ที่ไม่ยอมแพ้กาลเวลา แต่ขอเก็บความทรงจำเก่านำมาเล่าใหม่ ผ่านการยกเครื่องร้านเช่าหนังสือให้กลายเป็น ‘ร้านกาแฟ’ ขนาดย่อม โดยมีหนังสือการ์ตูนให้อ่านถึง 8 หมื่นเล่ม คอยต้อนรับคนทุกรุ่นทุกวัยที่รักในตัวหนังสือ และผู้ที่หลงใหลจินตนาการในโลกแห่งน้ำหมึก แวะเวียนเข้ามาเติมเต็มชีวิตชีวาให้กับละแวกนี้เหมือนในวันวาน

“เพราะหนังสือการ์ตูนมีคุณค่า มันควรได้เปิดอ่าน” 

คือเหตุผลในการเปิดคาเฟ่หนังสือการ์ตูนของ ไบรท-ภครัฐ เทพวิทักษ์กิจ เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยพบ ‘ความฝัน’ ในหน้าหนังสือการ์ตูนเล่มโปรด จนลงมือทำให้เป็นจริงในฐานะเจ้าของธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่ House of Bean Book Cafe ผู้ที่เชื่อว่า อดีตและปัจจุบันอยู่ร่วมกันบนพื้นที่แห่งนี้ได้

1

จากเด็กหนุ่มที่เจอความท้าทายสารพัด สู่วันที่มีความฝันเป็นของตนเอง และลงมือทำสำเร็จ

นอกจากเป็นเรื่องราวของ ยูโกะ ฮาจิเคน (Yuugo Hachiken) ตัวเอกจาก Silver Spoon มังงะยอดฮิตตลอดกาล และหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดของเจ้าของ House of Bean Book Cafe ที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้อ่าน ว่าด้วยเด็กชายคนหนึ่งที่เผชิญแรงกดดันจากสังคมเมืองหลวงในญี่ปุ่น จนตัดสินใจเรียนต่อด้านการเกษตรในชนบท แต่แล้วปัญหาและความท้าทายนับไม่ถ้วน ได้หล่อหลอมตัวตนให้ฮาจิเคนเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เนื้อเรื่องดังกล่าวยังคล้ายคลึงกับชีวิตของไบรทอยู่ไม่น้อย เมื่อพี่ชายของเขาที่เรียนต่อในต่างประเทศ ได้ส่งมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่สำหรับเด็กคนหนึ่งคือ การฝากฝังร้านเช่าหนังสือการ์ตูนให้ดูแลต่อ

แม้จะซึมซับโลกของการ์ตูนที่เป็นงานอดิเรกไปพร้อมกับการฝึกฝนการทำงาน อย่างการสื่อสารกับลูกค้า แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อไบรทจบการศึกษาและหันมาทำธุรกิจด้านอาหารเต็มตัว ขณะที่ความบันเทิงในโลกดิจิทัลครอบงำวิถีชีวิตของทุกคน จนทำให้หนังสือการ์ตูนกลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายของกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ

ไปต่อหรือพอแค่นี้ 

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในระหว่างภาวะถดถอยของร้านหนังสือหลายแห่ง แต่ไบรทและแม่ของเขาไม่คิดว่า ทางออกของปัญหาจะมีเพียง 2 ตัวเลือกเท่านั้น เขาเริ่มตั้งคำถามต่อว่า ทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดต่อไป เพราะรู้สึกเสียดายหนังสือนับหมื่นเล่มที่เคยคลุกคลีตั้งแต่เล็กจนโต ก่อนที่ประสบการณ์จากธุรกิจร้านอาหารก็ให้คำตอบเขาว่า ต้องหา ‘กลยุทธ์’ ที่แตกต่างและดึงดูดคน 

ด้วยความที่ผมทำร้านอาหาร เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ผมก็จะคอยเก็บไอเดียทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ที่ต่างๆ ตอนนั้นไปซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น กับภรรยา ก็ไปเจอว่า ที่นั่นมีร้านที่ชื่อว่า Lamp Light Book Hotel แต่ก็มีหนังสือความรู้ต่างๆ เราก็ไปดูว่า การใช้บริการและระบบของร้านเป็นอย่างไร จนเอามาปรับใช้กับร้านหนังสือการ์ตูนที่นี่” ไบรทย้อนเล่าที่มาที่ไป

ร้านเช่าหนังสือการ์ตูนจึงเกิดใหม่อีกครั้งในรูปแบบคาเฟ่ ที่เปิดให้อ่านหนังสือแค่เฉพาะในร้าน ด้วยความตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนทุกเพศทุกวัย พร้อมกับการเป็น ‘คลังหนังสือการ์ตูน’ ที่เล่าเรื่องความเป็นมาและพัฒนาการของโลกน้ำหมึก

“เราตั้งใจจริงๆ ให้คนได้เห็นว่า หนังสือการ์ตูนมีวิวัฒนาการอย่างไรบ้าง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งเนื้อเรื่อง ภาพหรือฉากหลังเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เช่น ตัวพระเอกสมัยก่อนจะไม่ค่อยเก่ง แต่สมัยนี้เปลี่ยนไป คนในยุคนี้ต้องการเห็นพระเอกเก่งเลย หรือตัวเอกต้องเจอเหตุการณ์พลิกผัน แล้วทำให้เขาเก่งขึ้นมา” เจ้าของร้าน House of Bean Book Cafe ถ่ายทอดเรื่องราว 

แม้จะมีหนังสือนับหมื่นเล่ม แต่อีกบทบาทหนึ่งที่เสริมเข้ามาคือร้านกาแฟ ซึ่ง House of Bean Book Cafe ก็ไม่น้อยหน้าใครทั้งคุณภาพและรสชาติ โดยร้านมีหุ้นส่วนคนสำคัญอย่าง บอส-สุริยะ พิมพ์พิไล บาริสตามือฉมังของร้านที่อยากให้ทุกคนกินกาแฟที่ ‘ถูก’ และ ‘ดี’ ในทุกวัน มาดูแลในส่วนของกาแฟ

จุดเด่นของกาแฟจาก House of Bean Book Cafe ไม่ใช่การมีเมนูพิเศษเหมือนร้านทั่วไป แต่เป็น ‘เมล็ดกาแฟ’ ที่ดัง ดี และผ่านกระบวนการสรรค์สร้างทำให้เรียบง่ายที่จะดื่ม (Simpify Premium Coffee) เช่นการเพิ่มบอดีของเมล็ดหรือกลิ่นบางอย่าง ภายใต้แนวคิด Everyday Coffee คือราคาต้องไม่สูงเกินไป เพื่อให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินดื่มได้ทุกวัน 

เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคัดสรร มีความหลากหลายตามกลุ่มลูกค้า โดยซิกเนเจอร์ของร้าน คือ ‘มาราธอน’ (Marathon) เมล็ดกาแฟจากโรงคั่ว Roast Runner ซึ่งได้รับรางวัลอันดับ 3 จากการประกวดที่ประเทศออสเตรเลีย 2 ปีซ้อน และรางวัลอันดับ 1 ในการแข่งขัน Superior Taste Award จากประเทศเยอรมนี 

แต่หากใครชอบรสชาติเปรี้ยวของไวน์ ‘Open Up the World’ จากโรงคั่ว Adap ที่มีเพียง 100 กิโลต่อ 1 ปี อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ ขณะที่เมล็ดบราซิลจากลาวัลซา (Lavazza) ซึ่งได้รางวัลอันดับ 1 ของ International Coffee Tasting มีจุดเด่นคือรสนัตตีและช็อกโกแลต ก็เป็นทางเลือกสำหรับใครที่ไม่ชอบกินกาแฟติดเปรี้ยว

“เราจะเลือกที่มีคุณภาพจริงๆ เพราะกาแฟคุณภาพการันตีว่า ดีและอร่อยแน่นอน” 

บอสเล่าว่า เสียงตอบรับจากโลกออนไลน์เกินความคาดหวังสำหรับเขามาก เพราะความตั้งใจแรกเริ่มคือการเปิดร้านกาแฟตามแพสชัน ไม่ได้คาดหวังว่าจะขายดีหรือมีชื่อเสียง แต่กลายเป็นว่า มีลูกค้าแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย

ความพิเศษอีกอย่างของคาเฟ่หนังสือการ์ตูนแห่งนี้คือ การรับขนมมาจากร้านค้าใกล้เคียงหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์ บราวนี มัฟฟิน หรือแม้แต่เค้กส้มและช็อกโกแลตรสชาติอันคุ้นเคยเหมือนในวัยเด็ก โดยไบรทเผยว่า นี่คือความตั้งใจของเขาที่จะส่งเสริมอาชีพและเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน

“ในเชิงธุรกิจอีกขาต้องให้อยู่ได้ด้วย แต่อีกส่วนเราก็ต้องให้ชุมชนอยู่ด้วยกันได้” เจ้าของคาเฟ่ House of Bean Book Cafe เล่าความตั้งใจ

สำหรับการมาเยือนครั้งนี้ The Momentum ได้มีโอกาสสั่งลาเต้ที่ใช้เมล็ดโคลัมเบียจากลาวัซซา ปรากฏว่า รสชาติกาแฟกลมกล่อม ลงตัว แสดงให้เห็นความพิถีพิถันในการผลิต โดยมีรสเปรี้ยวของซิตรัส ผสมผสานกับความหวานละมุนลิ้น คู่กับกลิ่นผลไม้เมืองร้อนและดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ 

ขณะที่เมนูอื่นๆ อย่างชาเขียว Matcha Latte และชาเย็น Thai Tea Latte ก็อร่อยไม่แพ้กัน สั่งไม่หวานก็ได้ตรงตามความต้องการ เมื่อกินควบคู่กับครัวซองต์อัลมอนด์ ขนมจากบ้านใกล้เรือนเคียงของคาเฟ่ นับว่าลงตัวอย่างอยู่หมัด

2

‘Gradually Loved, Deeply Missed’ 

เป็นทั้งข้อความบนซองเมล็ดกาแฟเสนานิคมของร้าน และความรู้สึกในใจลึกๆ ของไบรทต่อชุมชนที่เขาเติบโตมาตั้งแต่เล็กจนโต เพราะนอกเหนือการมาเยือนพื้นที่แห่งนี้เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เขายังหวังให้ทุกคนได้ซึมซับวิถีชีวิตของย่านเสนานิคม และตั้งใจทำให้ถนนสายนี้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนวันวานอีกครั้ง

“อยากให้มาด้วยความคิดพักผ่อน ไม่ต้องคิดอะไร และไม่ต้องมาแค่ร้านกาแฟของเรา อยากให้มาใช้เวลา กินข้าวที่ร้านอาหารซอยนี้ มากินกาแฟเสร็จ กินขนมในซอยนี้หรือพื้นที่ในบริเวณรอบๆ ต่อ

“อยากให้ไปในซอยชุมชน เพื่อที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนที่เขาเคยขายดีจะได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง อยากให้คุณมาในละแวกรอบๆ ลองใช้ชีวิตดูว่า เมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้ ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง เขากินก๋วยเตี๋ยวเป็ดแบบนี้นะ โจ๊กตรงนี้ร้านดังนะ ตรงปากซอยมีร้านน้ำเต้าหู้ ข้างนอกมีอะไรให้เดินเล่นมากมาย คุณอาจจะเดินไปเจอแมวในซอยน่ารักๆ ถัดไปก็ได้ ลองมาเดินใช้ชีวิตดูได้” 

ไบรทอธิบายด้วยความตั้งใจก่อนย้อนเล่าว่า พื้นที่แห่งนี้เคยคึกคักมากในสมัยก่อน จนคนรุ่นใหม่แยกย้ายกันไปมีครอบครัว ทำให้ปัจจุบันย่านนี้มีกลุ่มผู้สูงอายุอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ นับเป็นปัญหาทั่วไปของสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ย่านเสนานิคมเท่านั้น

เช่นเดียวกับการร้านหนังสือการ์ตูนที่กำลังหายไปจากสังคมตามการเปลี่ยนแปลง ไบรทในฐานะเจ้าของกิจการเชื่อว่า ธุรกิจนี้มี ‘อายุ’ เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ คือมีช่วงเวลาที่เติบโต ตกต่ำ และหล่นหายไป แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ย่อมอยู่คู่กับการอ่าน การปรับตัวและสอดแทรกในธุรกิจอื่น จึงกลายเป็นทางเลือกเพิ่มเติมที่ดีกว่าการปิดตัวลง

“เอาเข้าจริง หนังสือการ์ตูนก็เป็นสื่อบันเทิงอีกอย่างหนึ่ง มีคู่แข่งหลากหลาย Netflix ก็ใช่ เพราะคนมีเวลาว่างจำกัด เขาจะใช้เวลาทำอะไรสักอย่าง เช่น ดู Netflix แทน อาจจะไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูนเหมือนสมัยก่อนแล้ว”

เมื่อถามถึงความประทับใจในการเริ่มต้นกิจการครั้งใหม่ ชายผู้เป็นเจ้าของร้านเล่าถึงการได้ช่วยลูกค้ารายหนึ่งเติมเต็มช่องว่างในช่วงวัยที่หายไป หลังเขาได้กลับมาอ่านการ์ตูนในวัยเด็กที่อ่านไม่จบอีกครั้งที่นี่ คือเรื่อง เหมียวไมเคิล ขณะที่ลูกค้าผู้มาเยือนด้วยใจรัก ก็ช่วยดูแลทะนุถนอมหนังสือและหยิบวางคืนที่เป็นระเบียบเรียบร้อย

น่าสนใจว่า ภาพจำหนังสือการ์ตูนมักผูกกับคนยุค 90s แต่ปรากฏว่า ตลอดการพูดคุยกับไบรท เราเห็นว่า ลูกค้าของร้านนี้เป็นเด็กวัยมัธยมเดินเข้าออกสลับกับผู้ใหญ่วัยกลางคนจำนวนมาก นับเป็นการทำลายมายาคติ ‘คนไทยอ่านหนังสือแค่ 8 บรรทัด’ ตามที่ใครหลายคนมักชอบหยอกล้อ และหยิบยกนำมาพูดในโลกออนไลน์บ่อยครั้ง

เมื่อเราถามไบรทว่า เชื่อภาพจำเหล่านั้นไหม เจ้าของร้านตอบอย่างจริงจังว่า บางครั้งเราอาจคิดไปเองว่า ต้องอ่านหนังสือที่มีความรู้ตลอดเวลา แต่อันที่จริง โลกของหนังสือการ์ตูนเป็นมากกว่าความบันเทิง เพราะมันได้หล่อหลอมตัวตนของเขาในวันนี้ จนทำให้ได้ตามหาและรู้จักความฝันของตนเองผ่านโลกแห่งจินตนาการคือ เรื่องพ่อครัวสูตรชุลมุน

“ผมอ่านเล่มนี้มาตั้งแต่เด็ก และชอบมากเลย ทุกปิดเทอมผมจะมาอ่านเรื่องนี้ มาอ่านจนอยากเปิดร้านอาหาร มีความฝันจนอยากเปิดร้านอาหาร ทำธุรกิจ ซึ่งทุกอย่างมาจากหนังสือการ์ตูนเล่มนี้”

เจ้าของร้าน House of Bean Book Cafe ยังทิ้งท้ายถึงสิ่งที่สังคมไทยชอบหลงลืม คือการมี ‘จินตนาการ’ นอกจากความรู้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต จินตนาการยังเป็นสิ่งทรงพลัง ที่เติมเต็มความสามารถของมนุษย์ให้ถึงขีดสูงผ่าน ‘ศิลปะ’ ที่เปิดกว้างเสรีภาพทางความคิด และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่เสมอ 

Fact Box

- House of Bean Book Cafe ตั้งอยู่ที่ซอยเสนานิคม 1 ซอย 42 แยก 6 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ หากต้องการติดต่อ สามารถโทร.ไปที่เบอร์ 08 1649 0066 หรือช่องทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก

- ปัจจุบัน House of Bean Book Cafe กำลังต่อเติมพื้นที่ชั้น 2 เพื่อรองรับลูกค้า เนื่องจากมีผู้มาเยือนเป็นจำนวนมาก

Tags: , , , , , ,