“หากพระเจ้าไม่ต้องการให้เธอรู้จักความรัก ก็ขอให้ฆ่าเธอเสีย”

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยมวลความรู้สึกอันยากจะอธิบาย เป็นความทับซ้อนระหว่างเรื่องจริงและจินตนาการ ความปกติและความบ้า เรื่องราวที่ชวนให้ตรองถึงชีวิตที่ความจริงและจินตนาการ สามารถให้ความรู้สึกอย่างเดียวกัน เราแทบไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวนี้มาจากโลกหรือ “จากดวงจันทร์”

Mal di pietre หรือ จากดวงจันทร์ สะท้อนแง่มุมโรแมนติกทว่าเจ็บลึก ทุกสถานที่ในอิตาลีที่ถูกกล่าวถึงล้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดฝังใจ ความบ้าไร้สติ และความรักที่ปรารถนาให้เป็นและไม่เป็นของชีวิต เรื่องราวรักใคร่ในชีวิตของหญิงผู้มีจิตวิญญาณอันไร้ขอบเขต ผู้ซึ่งมีชีวิตที่อุทิศและยกให้ความรักอยู่เหนือสิ่งใดทั้งปวง ชีวิตของเธอถูกพันธนาการไว้กับชายที่เธอหลงรัก ชายผู้รับผิดชอบชีวิตเธอ

จากดวงจันทร์ เป็นการร้อยเรียงเรื่องราวของบรรพชนรุ่นปู่ย่า เล่าขานผ่านประสบการณ์ให้ผู้เป็นหลานฟัง โดยเฉพาะย่าผู้เป็นที่รักของผู้เขียนชาวเกาะซาร์ดิเนีย เรื่องราวยังเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ผลพวงจากสงครามทำให้แต่ละคนต่างมีเรื่องเล่า เป็นประวัติศาสตร์สงครามที่พ่วงมาด้วยบาดแผลและความรัก

จากดวงจันทร์: ลุ่มหลงในรักราวกับหญิงบ้า

มิเลนา อากุส เติบโตมาในความดูแลของย่า ย่าเป็นลูกสาวคนโต มีน้องสาวอีกสองคน พ่อและแม่ของย่าได้แต่เฝ้ารอให้เธอไปอยู่โรงพยาบาลด้วยอาการบางอย่างของเธอ หรือไม่ก็แต่งงานออกไปจากครอบครัวเสีย เพราะการมีเธอที่เป็นอย่างนั้นอยู่ในบ้าน พวกท่านจึงได้แต่ภาวนาว่าให้ลูกสาวอีกสองคนขายออก

ก่อนแต่งงาน ย่าหลงรักใครคนแล้วคนเล่าแต่ก็ไม่ได้ลงเอยกับใคร ทุกคนต่างทิ้งให้เธอรอคอยความรักอยู่อย่างนั้น จมอยู่กับการร้องขอ อ้อนวอน เสียสติเพื่อให้ได้อยู่ในห้วงรักแท้กับใครสักคน ย่ายังเคยกล้อนผมเพราะฟูมฟายเรื่องความรัก เธอเป็นผู้หญิงสวย แต่ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาจีบเธอต่างหนีหายไปในที่สุด เธอบอกกับตัวเองเสมอว่าที่เธอรั้งใครไว้ไม่ได้เพราะเธอไม่มี ‘สิ่งนั้น’

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังระเบิดลงที่บ้านของปู่ที่ถนนจูเซปเป มันโน ปู่ผู้เป็นหม้ายก็มาเป็นพนักงานในโรงงานผลิตเกลือของคัลยารี ความสวยของย่าทำให้ปู่ตกหลุมรัก แม้ย่าจะบอกกับปู่อย่างตรงไปตรงมาว่าหัวใจของเธอจะไม่มีวันเป็นของเขา แต่พ่อกับแม่ของย่าก็ยังคงยกย่าให้แต่งงานกับปู่ จากนั้นทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่ที่ถนนซูลิส ปู่กับย่าใช้ชีวิตคู่อย่างไม่ใช่คู่ชีวิต ปู่ออกไปใช้บริการโสเภณีแทบทุกคืน เมื่อกลับมาปู่กับย่าก็นอนหันหลังให้กันอยู่คนละฝั่งของเตียงเดียวกัน เป็นเช่นนี้เสมอในทุกๆ คืน จากนั้นย่าก็ขอให้ปู่จ่ายเงินจ้างเธอให้เธอปฏิบัติเช่นโสเภณีเพื่อเก็บเงินเอาไว้ ย่ามีความสุขกับคืนวันเหล่านั้นแม้ว่าจะไม่มีความรัก และแม้ว่าทั้งคู่ยังคงนอนเตียงคนละฟากและแตะต้องกันเฉพาะตอนปฏิบัติกิจของโสเภณีก็ตาม ไม่นานย่าก็ต้องไปรักษาโรคนิ่วในไตที่บ่อน้ำแร่เมืองชิวิตาเวกเคีย

ที่นั่นย่าพบกับทหารผ่านศึกคนหนึ่งเมื่อกำลังจะอายุครบ 40 ปี และยังพบกับเขาในห้วงของความทรงจำและถวิลหาเรื่อยมาแม้กายจะลาจากกันแล้ว ทหารผ่านศึกผู้นั้นยังเป็นภาพจำที่ชัดเจนของย่า เขาแต่งกายภูมิฐาน รูปร่างสูง นัยย์ตาคมเข้ม ขาข้างหนึ่งเป็นขาไม้และใช้ไม้ค้ำยัน ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันอย่างโรแมนติกลึกซึ้งและไม่เคยห่างกันเลยเว้นแต่ตอนจำใจไปเข้าห้องน้ำ หลังกลับมาจากบ่อน้ำแร่ ย่าก็ตั้งท้อง

ผู้เขียนคิดว่าพ่อไม่ใช่ลูกของปู่แต่เป็นลูกของทหารผ่านศึกผู้เป็นที่รักของย่า แต่ก็ไม่เคยปริปากบอกใคร กระทั่งย่าเสียชีวิตไป ผู้เขียนได้กลับมาที่บ้านเพื่อซ่อมแซมมัน ทำให้เธอค้นพบจดหมายของทหารผ่านศึกคนนั้นที่ผนังส่วนหนึ่งของห้องนั่งเล่น ที่ที่ย่าซ่อนสมุดและจดหมายเอาไว้ก่อนจะวาดรูปทับ ทว่างานของย่ายังไม่เสร็จดี เธอจึงได้ค้นพบเรื่องราวที่เป็นการประสานกันระหว่างความจริงและจินตนาการ ความปกติและวิปลาส

โหยหาความรักเพราะขาดรักจากครอบครัว?

นอกเหนือจากความโรแมนติกและร้าวราน จากดวงจันทร์ยังพาเราสะเทือนใจไปกับจุดเริ่มต้นของย่า ที่ส่งผลต่อปลายทางอันเพ้อพก นั่นก็คือครอบครัวที่ภาวนาเหลือเกินให้ย่าไปเสียจากบ้าน

ความรักเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานลำดับที่ 3 สำหรับมนุษย์ ตามทฤษฎีหลักจิตวิทยา Maslow’s Hierarchy of Needs ที่ว่าด้วยความต้องการของมนุษย์ ถัดจากความต้องการเพื่อดำรงชีวิตทางกายภาพและความปลอดภัย แต่หากใครคนหนึ่งไม่ได้รับความรัก แม้แต่จากครอบครัว ทั้งที่มันสำคัญต่อการดำรงชีวิตเพียงนั้น มีหรือที่เขาจะไม่โหยหาความรักอื่นมาทดแทน

ที่น่าสนใจคือการขาดความรักพื้นฐานจากครอบครัวนั้นส่งผลต่อพัฒนาการบุคคลิกภาพของคนๆ หนึ่งได้อย่างที่ปรากฏในจากดวงจันทร์ โดยเฉพาะในช่วงวัย 18-40 ปี ที่ตามทฤษฎี Erik Erikson’s Stages of Psychosocial Development กล่าวว่าเป็นช่วงอายุที่มนุษย์จะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากเป็นพิเศษ หากไม่เป็นไปตามต้องการ ก็อาจจะรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยก และหดหู่ ที่พึ่งทางใจในชั่วขณะนั้นจึงอาจเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่การทำร้ายตัวเองและผู้อื่น การเก็บตัวที่ผิดปกติ หรือ การพาตัวเองออกไปจากโลกความจริงใบนี้เสีย

และการพาตัวเองหลีกหนีออกจากโลกความจริงของหนังสือเล่มนี้ ก็เต็มไปด้วยจินตนาการ บ้าบิ่น ไร้ขอบเขต แต่สั้นกระชับ สำนวนการแปลเป็นไปด้วยความเรียบง่ายทว่าเต็มไปด้วยมวลของความรู้สึกและสวยงามภายใต้การสรรคำอย่างละเอียดลออ เช่น “การรอคอยของฉันตื่นขึ้นอย่างกระสับกระส่าย ด้วยสีฟ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่จากไปอย่างอับอายในแสงซีดของฤดูหนาว การรอคอยของฉันไม่เข้าใจเธอ และไม่อาจให้ใครเข้าใจ ท่ามกลางสีเหลืองอ่อนหวานอันทุรนทุรายของดอกมิโมซาหน้าไม่อาย”

หรือประโยคอันกรีดแทงอย่าง “หากพระเจ้าไม่ต้องการให้เธอรู้จักความรักก็ขอให้ฆ่าเธอเสีย”  

ท้ายที่สุด จากดวงจันทร์ ยังทำให้เราเกิดคำถามกับทั้งหนังสือและตัวเอง ถึงความจริง สิ่งที่เพ้อพก ความรัก และสภาพสติ เมื่อความรักไม่เคยเลือกที่เกิด และชีวิตก็ไม่อาจเลือกสิ่งที่จะเกิดกับเราได้มากมายขนาดนั้น

 

อ้างอิง:

Fact Box

  • จากดวงจันทร์ โดยมิเลนา อากุส (Milena Agus) แปลจากต้นฉบับภาษาอิตาเลียน Mal di pietre โดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อ่านอิตาลี 138 หน้า ราคา180 บาท จัดพิมพ์เมื่อ ตุลาคม 2560 ISBN 978-616-92759-3-0
  • วรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับรางวัล 6 รางวัล ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศกว่า 20 ภาษา อีกทั้งยังได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Nicole Garcia โดยใช้ชื่อว่า From the Land of the Moon
Tags: , ,