1
“มีบางคนอยู่ที่นี่ เป็นฆาตกร รีบมาเร็วๆ”
2.45 น. ของวันที่ 1 ธันวาคม 2006 ตำรวจฟินแลนด์รับแจ้งเหตุจากหญิงสาวคนหนึ่งที่โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ โดยแจ้งว่ามีฆาตกรอยู่ในบ้าน และให้ส่งกำลังตำรวจมาโดยเร็ว
เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเพียง 3 นาที ก็ไปถึงบ้านหลังเกิดเหตุ และพบร่างไร้ลมหายใจของ ยุกกา เอส. ลาห์ติ (Jukka S. Lahti) อายุ 51 ปี เขาถูกแทงด้วยของมีคมจำนวนหลายแผล นอนจมกองเลือดอยู่ และห่างออกไปอีกห้อง ตำรวจก็ได้พบร่างของแอนเนลี โอร์วอกกี เอาเออร์ (Anneli Orvokki Auer) ภรรยาของผู้ตายวัย 41 ปี ถูกแทงที่หน้าอก บาดเจ็บสาหัส
เจ้าหน้าที่กู้ชีพพาร่างหญิงสาวส่งโรงพยาบาล พร้อมกับเข้าดูแลลูกทั้ง 4 คนในบ้านหลังนี้ และเมื่อตรวจสอบจุดเกิดเหตุโดยละเอียด พวกเขาพบร่องรอยการต่อสู้ กระจกที่ห้องนอนแตก แต่ไม่พบอาวุธสังหาร
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในฟินแลนด์ ทางการตั้งชุดสืบสวนลุยค้นหาตัวคนร้ายทันที และเมื่อเอาเออร์ให้การได้ พวกเขาก็รุดสอบปากคำในบัดดล
คำให้การของภรรยาผู้เสียชีวิตเล่าว่า สามีกลับจากที่ทำงาน ถึงบ้านตอน 5 ทุ่ม และหลับไปราวเที่ยงคืน จนช่วงประมาณตี 2 ทั้งสองก็ตกใจตื่น เพราะมีชายแปลกหน้าทุบหน้าต่างห้องนอนเข้ามา ตามคำให้การของเอาเออร์ เมื่อได้ยินเสียงกระจกแตก ชายปริศนารายนี้ได้กระโดดพุ่งตัวจากหน้าต่างเข้าทำร้ายลาห์ติอย่างรุนแรง
ผู้ตายพยายามต่อสู้ขัดขืน เขาคว้าไม้ฟืนสองอันฟาดใส่คนร้าย ขณะที่เอาเออร์ ก็พยายามช่วยสามี เธอจำได้ว่าคนร้ายใส่ชุดฮู้ดสีดำ สวมหมวกไหมพรม ใช้มีดแทงหญิงสาวเข้าที่อก ทำให้กระเด็นร่วงลงไป
เอาเออร์บอกว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะสูงประมาณ 180 เซนติเมตร พอโดนมีดแทงเข้าที่อก เธอเปิดประตูและตะโกนให้ลูกๆ ทั้ง 4 หนีออกจากบ้าน ก่อนจะกดสายด่วนแจ้งตำรวจที่ห้องครัว
ขณะเดียวกันลูกสาวคนโตวัย 9 ขวบก็อยู่ในสภาพตกใจตื่นจากเสียงแม่ หลังเธอบอกให้ถือสายโทรศัพท์รอ ระหว่างที่กระโจนเข้าไปช่วยสามี
เมื่อกลับไปห้องนอน คนร้ายทำร้ายเธอจนต้องหนีจากห้องอีกครั้ง คราวนี้เธอคว้าโทรศัพท์ แล้วเร่งให้ตำรวจรีบมา หลังจากนั้นก็ความเงียบระหว่างนั้นไป 59 วินาที
ลูกสาวคนโตมองไปที่ห้องนอนเกิดเหตุ เธอเห็นคนร้ายในชุดสีดำ ปีนออกจากหน้าต่าง และเห็นคราบเลือดพ่อนองเต็มพื้น
คำให้การนี้ ทำให้ตำรวจตรวจหาดีเอ็นเอที่จุดเกิดเหตุทันที ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสืบสวนเพื่อนบ้าน ขุดคุ้ยหาปมการฆาตกรรมด้วย
เจ้าหน้าที่พบว่าลาห์ติเป็นผู้จัดการบริษัทผลิตทองแดง และเขามีส่วนในการไล่พนักงานออกกว่า 400 คน ทำให้มีการขู่ฆ่ามากมาย แต่เจ้าตัวไม่ได้แจ้งตำรวจ หรือบอกว่าใครกันที่ทำแบบนี้
เจ้าหน้าที่คาดว่าฆาตกรในคดีนี้น่าจะเป็นพนักงานที่ถูกไล่ออก จนไม่พอใจลาห์ติ จึงลงมือก่อเหตุสุดเหี้ยม ซึ่งคำให้การของเอาเออร์และลูกๆ เผยว่าคนร้ายมีรูปร่างใหญ่ จมูกกลม และตาโต
“ตำรวจเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นพวกโรคจิต”
การกระหน่ำแทงสะท้อนความแค้นที่มีต่อตัวลาห์ติ ทางการระดมพล สอบสวนอดีตพนักงานที่โดนผู้ตายไล่ออก พวกเขาตรวจสอบชายร่างใหญ่ที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุทั้งหมด
1 ปีหลังการสืบสวน มีชายหนุ่มที่เข้าเค้าว่าน่าจะมีรูปร่างเหมือนคนร้าย ถูกเก็บดีเอ็นเอ ถึง 600 คน แม้กระทั่งนักแสดงดังของประเทศนี้ ก็ยังโดนจับกุมไปสอบสวนด้วย
แต่ไม่มีใครถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นคนร้ายในคดีนี้
อย่างไรก็ดี เกือบ 3 ปีหลังเหตุสะเทือนขวัญ ในวันที่ 28 กันยายน ปี 2009 เจ้าหน้าที่ก็บุกจับกุมเอาเออร์ พร้อมตั้งข้อหาฆาตกรรมสามีของตัวเอง ท่ามกลางความตกตะลึงของสังคมอย่างมาก
และนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นอันยาวนาน ที่ยังเจือด้วยข้อสงสัยจนถึงปัจจุบัน
2
การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นจากอัยการและชุดสืบสวน ซึ่งมีการเปลี่ยนหัวหน้าทีมมาแล้ว 2 ครั้ง เริ่มตั้งข้อสงสัยหลังควานหาชายร่างใหญ่มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่พบเค้าลางที่จะปิดคดีได้ พวกเขาจึงย้อนมาพิจารณาครอบครัวนี้กันใหม่ ทางการส่งตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวไปตีสนิทกับเอาเออร์ จนได้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจมาก
นั่นก็คือ เมื่อลาห์ติกลับมาบ้าน เขาได้ทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรง เพราะต้องการหย่าร้าง เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบร่องรอยการทุบกระจกที่ห้องนอนอย่างละเอียด ก็สันนิษฐานว่า มันไม่น่าจะเกิดด้วยการทุบจากด้านนอก แต่เกิดจากการทุบจากในห้องนอนมากกว่า
นั่นหมายความว่าไม่มีคนร้ายบุกเข้ามาแต่อย่างใด
ทางอัยการสันนิษฐานว่า การทะเลาะของทั้งคู่นำไปสู่การลงมือทำร้ายร่างกาย มีการคว้าปาข้าวของใส่กัน ฝ่ายชายใช้ไม้ฟืนตีภรรยา แล้วใช้มีดแทง นั่นทำให้เอาเออร์คว้ามีดกระหน่ำสวนสามีหลายครั้ง จนเขาหมดสติ ทางภรรยาคิดว่าเขาตายแล้ว
นั่นจึงนำไปสู่การจัดฉาก เอาเออร์อำพรางที่เกิดเหตุให้เหมือนว่าฆาตกรเป็นคนนอก เช่นไปทุบกระจกหน้าต่าง สร้างคราบเลือดที่รองเท้าลาห์ติเหยียบ เธอโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพื่อปั้นเรื่องขึ้น
แล้วช่วงที่เงียบไป 59 วินาทีนั้น มีการสันนิษฐานว่า ทางสามีเกิดได้สติแล้วตะโกนร้องขึ้นมา เอาเออร์จึงเรียกลูกให้มาคุยแทน ก่อนที่จะกลับไปที่ห้องนอน เพื่อกระหน่ำลาห์ติจนตาย
พฤติกรรมนี้เท่ากับว่าภรรยาแสบรายนี้ ได้วางแผนก่อเหตุฆาตกรรมสุดเหนือชั้นไว้ก่อนแล้ว โดยระหว่างที่ลูกสาวคนโตรับโทรศัพท์จากแม่ เธอเห็นเงาตะคุ่มที่ห้องนอน แล้วคิดไปเองว่าเป็นคนร้ายกำลังจะหนี
อัยการสรุปว่าเอาเออร์ซ่อนอาวุธสังหารและเสื้อผ้าที่เธอใส่ตอนลงมือฆ่าไว้เป็นอย่างดี จนตำรวจไม่อาจหามันพบได้
2 วันหลังโดนคุมตัวไป ทางการประกาศว่า ภรรยาลาห์ติสารภาพว่าเป็นฆาตกร แต่ในเวลาต่อมา ทนายของหญิงสาวยืนยันว่าไม่มีการรับสารภาพใดๆ ทั้งสิ้น นักสืบต่างหากที่ล่อลวงหลอกจนเอาเออร์เข้าใจผิด โดยลองให้เธอเป็นฆาตกร แล้วจะจัดการว่าจะฆ่าผัวรักอย่างไรเท่านั้น
ทางเอาเออร์ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยย้ำว่าเธอจะจัดฉากฆ่าสามีได้อย่างไรในช่วงเวลาแค่นั้น แถมไอ้เสียงที่เจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะเป็นลาห์ติครวญครางนั้นก็ไม่มีจริง เพราะเมื่อตรวจบันทึกสนทนาการโทร.อย่างละเอียด พวกเขาไม่พบเสียงประหลาดนี้ แต่คาดว่าชุดสืบสวนน่าจะเข้าใจผิด ตอนฟังหญิงสาวพูดมากกว่า
แต่ในที่สุด ปี 2010 ศาลชั้นต้นตัดสินว่า เธอมีความผิดฐานฆ่าสามี ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต
ทำให้เอาเออร์เปลี่ยนสถานะจากเมียคนตาย สู่หญิงฆ่าผัวในฉับพลัน
3
อย่างไรก็ดี ทางเอาเออร์ไม่ยอมแพ้ เธอยื่นอุทธรณ์ในปี 2011 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง พร้อมเหตุผลว่า ตำรวจไม่อาจหาอาวุธสังหารได้ แถมช่วงเวลาการเตรียมการ ระหว่างการฆ่า การจัดฉาก การโทรศัพท์ มันกินเวลาไม่นานมากนัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ที่หญิงสาวจะอำพรางทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
หลังจากติดคุกไป 1 ปี เอาเออร์ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่นั่นก็เป็นเพียงอิสรภาพชั่วคราว เพราะตัวเธอจะถูกจับในเวลาต่อมา
โดยระหว่างที่หญิงสาวโดนจับ ลูกๆ ของเธอซึ่งถูกพาตัวไปอยู่กับน้า ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า แม่ของเธอเป็นพวกบูชาซาตาน ซึ่งคำพูดนี้มาจากลูกคนที่ 2 ที่บอกว่า ก่อนเกิดเหตุ เอาเออร์กำลังซักซ้อมพิธีบูชาปีศาจ โดยมีสัตว์นับโหลถูกฆ่า ซึ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนั้น ก็เพื่อจะได้ฆ่าสามีในท้ายที่สุดนั่นเอง
ช่วงเวลาขณะลงมือกระหน่ำแทงสามีนั้น เอาเออร์ใส่ชุดสวมทับเสื้อผ้าของเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดกระเด็นใส่ ซึ่งเสียงร้องโอดครวญ เสียงมีดกระหน่ำแทง ทุกอย่างถูกอัดไว้ล่วงหน้าแล้ว และทุกอย่างมันเสร็จสิ้นก่อนที่จะโทร.แจ้งตำรวจด้วยซ้ำไป
ทางอัยการถือว่านี่คือหลักฐานใหม่ ตามกฎหมายสามารถดำเนินคดีกับหญิงสาวได้อีกครั้ง จึงสั่งจับกุมตัวเอาเออร์อีกครา แม้เจ้าตัวจะย้ำว่าไม่ใช่ฆาตกร อีกทั้งลูกชายคนโตยังยืนยันให้กับแม่ว่า เธอไม่ได้มีพฤติกรรมบูชาซาตานอะไรแม้แต่น้อย
“ฆาตกรที่ฆ่าพ่อเราเป็นคนภายนอก”
แต่อัยการก็ได้ฟ้องเอาเออร์ เพราะเชื่อว่าเธอทะเลาะกันกับลาห์ติจริงๆ จนนำไปสู่การฆ่า ซึ่งศาลชั้นต้นก็มีคำตัดสินเหมือนเดิม นั่นก็คือให้หญิงสาวต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตฐานฆ่าผัว
โดยศาลให้เหตุผลว่า คดีนี้ไม่น่าเกิดจากผู้บุกรุก แต่เกิดจากคนในบ้าน และไม่ได้มีการวางแผนใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการก่อเหตุฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหดนั่นเอง
ทำให้หลังได้รับอิสรภาพแค่ปีเดียว เธอก็กลับไปใส่ชุดนักโทษอีกครั้ง
4
แน่นอนว่าเอาเออร์ไม่ยอมแพ้ เธอยังยืนยันความบริสุทธิ์ เจ้าตัวยื่นอุทธรณ์ ซึ่งนำไปสู่การกลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นอีกครั้ง
โดยผู้พิพากษาให้เหตุผลว่า หลักฐานทั้งหมดในคดีนี้ก็ยังพุ่งเป้าชี้ชัดว่า คนภายนอกต่างหากเป็นผู้ก่อเหตุ และเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีข้อมูลยืนยันเพียงพอว่าหญิงสาวจะฆ่าสามีตัวเองได้ ดังนั้นจึงยกประโยชน์ให้กับจำเลย
พร้อมทั้งระบุว่า คำให้การของลูกคนรองไม่ได้มีความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด
ไม่เพียงเท่านั้น ทนายเอาเออร์ยังเปิดเผยว่า การเก็บหลักฐานดีเอ็นเอของตำรวจนั้นผิดพลาดและไม่ละเอียด พวกเขาถึงขั้นเก็บตัวอย่างต้องสงสัยบางชิ้น ซึ่งสุดท้ายความจริงเป็นของเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปในบ้านหลังนั้นนั่นเอง
แถมระหว่างการสืบสวนในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ก็ยังทำงานสุดชุ่ย จับคนมั่ว เอาไปขังเสียนาน เอาไปสอบแบบลวกๆ จนมีคนเดือดร้อนมากมาย แถมหัวหน้าชุดสืบสวนก็ทำงานไม่เป็นไปตามหลักการกฎหมายด้วย
ยังไม่นับการส่งตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวไปตีสนิทเอาเออร์ ซึ่งสุดท้ายปรากฏว่า ข้อมูลที่ได้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากการสอบสวนปกติของเจ้าหน้าที่เลย
ความผิดพลาดของตำรวจนี้เอง ทำให้หลักฐานที่ได้มาดูอ่อน และไม่ควรถูกนำมาพิจารณาคดีในชั้นศาล จึงมีคำพิพากษายกฟ้อง
หลังติดคุกมาเกือบปี เอาเออร์ก็เป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีฆ่าผัวตัวเองอีกรอบ แต่ผิดกันที่คราวนี้เธอยังไม่ได้ออกจากเรือนจำ เพราะยังต้องโทษในอีกคดี
นั่นก็คือคดีข่มขืนเด็กร่วมกับแฟนใหม่ของตัวเอง
5.
คดีนี้เริ่มต้นจากตำรวจได้ข้อมูลว่ามีเด็กๆ หลายคนร้องเรียนว่า ถูกเอาเออร์กับแฟนใหม่ลวนลามทางเพศ ซึ่งพอเป็นแบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ลังเลรวบตัว ส่งเธอกับคนรักเข้าคุกในทันที โดยหญิงสาวต้องโทษ 7 ปี ฐานข่มขืนเด็ก 2 คดี และแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับผู้เยาว์ 3 คดี
โดยพฤติการณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2007-2009 ซึ่งเป็นเวลาที่ลาห์ติตายไปแล้วด้วย
อย่างไรก็ดี เอาเออร์ติดคุกได้ไม่นาน เธอก็ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เพราะเหยื่อหลายคนกลับคำให้การ อ้างว่าแต่งเรื่องเล่นเท่านั้น
นั่นทำให้เธอได้ออกมาสู่โลกภายนอกอีกครา หลังจากติดคุกไปอย่างยาวนานเกือบ 2 ปี ซึ่งก็ได้รวมช่วงที่เธอโดนจับและไม่ได้ประกันตัวจากชั้นศาล เพราะคดีมีโทษสูง จึงไม่อาจปล่อยให้เธอเพ่นพ่านในสังคมปกติได้ จนกว่าจะมีคำพิพากษาออกมา
มหากาพย์ทั้งมวลของเรื่องนี้จบลงในปี 2015 เมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า เอาเออร์ไม่มีความผิดฐานฆาตกรรมสามีอีกต่อไป
เกือบ 9 ปีแห่งโศกนาฏกรรม เธอกลายเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง และครั้งนี้จะไม่มีการรื้อฟื้นคดีมาอีก จนกว่าจะมีหลักฐานใหม่ ซึ่งถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรโผล่ให้อัยการต้องรื้อฟื้นเรื่องนี้
หลังหญิงสาวรับฟังคำพิพากษนี้ ทางเอาเออร์ก็ตัดสินใจลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมจำนนต่อการถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรฆ่าผัวอีกแล้ว เธอลุยฟ้องตำรวจฟินแลนด์ในทันที
การต่อสู้นี้เป็นเรื่องระหว่างเธอกับรัฐ ท่ามกลางความสนใจของสังคมฟินแลนด์ เอาเออร์เขียนหนังสือ ยอมให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ และเธอเป็นแพะในเรื่องนี้ ที่ต้องเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น สูญเสียโอกาสในชีวิต สูญเสียการได้อยู่กับลูก เป็นเพราะตำรวจทำงานชุ่ย จนจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ เพราะมัวแต่คิดว่าเธอนั่นแหละฆ่าลาห์ติ
ในปี 2016 ทางการสั่งให้มีการจ่ายค่าชดเชยเอาเออร์เป็นเงินรวมกันถึง 5.4 แสนยูโร โดยเฉลี่ยจากระยะเวลาที่เธอต้องติดคุกทั้งหมด 611 วัน โดยต้องจ่ายวันละ 800 ยูโร รวมกับค่าชดเชยจากศาลอีก 2.2 หมื่นยูโร จากความบอบช้ำในการต้องไปอยู่เรือนจำ
นี่เป็นการชดใช้ค่าเสียหายในกระบวนการยุติธรรมที่สูงเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศฟินแลนด์เลยทีเดียว
ปัจจุบัน เอาเออร์ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ข้อสงสัยว่าใครฆ่าลาห์ติ อดีตสามีของเธอนั้น ยังคงเป็นปริศนาต่อไป โดยเหตุการณ์นี้ถือเป็นคดีอาชญากรรมปิดไม่ลง ที่คนฟินแลนด์ยังให้ความสนใจ รวมถึงแฟนคดีฆาตกรรมทั่วโลก มีการสร้างเป็นหนัง ทำพอดแคสต์ เขียนเป็นหนังสือมากมาย
แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครฆ่าลาห์ติกันแน่ มันยังคงเป็นคำถามที่ไร้คำตอบจนถึงปัจจุบัน
เอาเออร์ผิดจริงหรือเป็นแพะ ไม่มีใครรู้ได้ นอกจากตัวเธอเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องราวนี้ ก็คือเหตุผลของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินใจยกฟ้องเอาเออร์ ที่ระบุไว้ว่า อัยการนั้นมีภาระต้องพิสูจน์ว่าใครเป็นฆาตกร
ส่วนเอาเออร์นั้นไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหรือหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง หรือมีส่วนร่วมต่อการสืบสวนเอาผิดเธอ
เพราะหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ อันเกิดจากการทำงานสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ ไม่อาจถูกนำมาใช้สร้างผลเสียต่อผู้ถูกกล่าวหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรงลักษณะนี้
นี่จึงทำให้เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายอย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง
https://finnishcrimestory.tumblr.com/post/632801842850578432/the-murder-in-ulvila https://pledgetimes.com/the-case-of-anneli-auer-seven-special-details-because-of-which-ulvilas-murder-spree-will-remain-in-finnish-criminal-history/
Tags: ฆาตกรรม, Haunted History, ฆาตกรรมในฟินแลนด์, โอร์วอกกี้ เอาเออร์, ยุกกา แอส ลาห์ติ