24 พฤษภาคม 2565 หลังสิ้นสุดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-2022 ซน ฮึงมิน (Son Heung-Min) เดินทางกลับเกาหลีใต้พร้อมกับรางวัลรองเท้าทองคำ (Golden Boot) เมื่อเขามาถึงสนามบินอินชอน มีแฟนบอลจำนวนมากมารอต้อนรับอย่างอบอุ่น ราวกับวีรบุรุษที่กลับสู่มาตุภูมิหลังศึกสงคราม หลังจากนี้ เขาจะมีเวลาพักผ่อนเพียงไม่นาน ก่อนจะต้องกลับเข้าแคมป์ทีมชาติ เพื่อเตรียมตัวในการลงแข่งนัดกระชับมิตรในช่วงเดือนมิถุนายนต่อทันที
ในอดีตที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลระดับโลก มียอดนักเตะชาวเอเชียที่เดินทางไปค้าแข้งในดินแดนยุโรปและฝากผลงานจนกลายเป็นที่จดจำหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ฮิเดโทชิ นากาตะ (Hidetoshi Nakata), ชุนสุเกะ นากามูระ (Shunsuke Nakamura), เคสึเกะ ฮอนดะ (Keisuke Honda), พัค จีซอง (Park Ji-Sung), อี ยองพโย (Lee Young-Pyo) หรือเมห์ดี มาดาวิเกีย (Mehdi Mahdavikia) แต่ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุคปัจจุบัน คงไม่มีใครโดดเด่นเกินไปกว่าซูเปอร์สตาร์แห่งแดนโสมที่ชาวเกาหลีใต้ภาคภูมิใจอย่าง ซน ฮึงมิน อีกแล้ว
ต้นปีที่ผ่านมา แนวรุกพลังโสมจากสโมสรท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส แห่งศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ วัย 29 ปี เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งเอเชียเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และเป็นครั้งที่ 7 ของเจ้าตัว จากจำนวน 9 ครั้ง ตั้งแต่เริ่มมีการประกาศรางวัลดังกล่าวในปี 2013 โดยรางวัลนี้เทียบได้กับรางวัลบัลลงดอร์ (Ballon D’or) แห่งทวีปเอเชีย
ล่าสุด หลังจากโชว์ฟอร์มการถล่มประตูอย่างร้อนแรงในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาล 2021-2022 ซน ฮึงมิน ผลิตสกอร์เพิ่มได้อีก 2 ลูก ในนัดสุดท้ายของการแข่งขัน ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูสูงสุดของการแข่งขันที่ 23 ลูก เทียบเท่ากับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (Mohamed Salah) กองหน้าเพชรฆาตชาวอียิปต์ จากสโมสรลิเวอร์พูล ซึ่งความสุดยอดของซนในรางวัลนี้ คือ ทั้ง 23 ประตูที่เขายิงได้ ไม่มีลูกไหนที่มาจากจุดโทษเลย จึงทำให้เขากลายเป็นนักเตะจากเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลดาวซัลโวดังกล่าว
“แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะทำได้ แน่นอนว่านี่คือความฝันของผมตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก แต่ตอนนี้รางวัลนี้ก็อยู่ในมือของผมแล้ว” ซน ฮึงมิน ให้สัมภาษณ์หลังจากคว้ารางวัล
แน่นอนว่าชาวเกาหลีต่างภาคภูมิใจกับเกียรติยศล่าสุดของซน ฮึงมิน ถึงขนาดที่ประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล (Yoon Suk-Yeol) แห่งเกาหลีใต้ยังร่วมแสดงความยินดีผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า “นี่เป็นโอกาสอันเปี่ยมสุขที่ประชาคมฟุตบอลเอเชียจะร่วมกันเฉลิมฉลอง ผมเชื่อว่ารางวัลนี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่น หลังจากที่คุณอุทิศตัวและทำงานอย่างหนักเพื่อทีมมาตลอดฤดูกาล”
เกียรติประวัติของซน ฮึงมิน ยังมีอีกมากมาย ทั้งในระดับสโมสรและระดับชาติ รวมถึงอีกหนึ่งรางวัลใหญ่ของนักฟุตบอลทั่วโลกอย่าง ปุสกัส อวอร์ด (Puskas Award) ที่จะมอบให้กับการยิงประตูที่สวยที่สุดในรอบปี โดยประตูที่เขาทำได้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2019 ด้วยการพาบอลจากแดนตัวเองตะบึงฝ่านักเตะของสโมสนเบิร์นลีย์คนแล้วคนเล่าเข้าไปยิงประตูอีกฝั่งด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะได้รับการโหวตให้ชนะรางวัลดังกล่าวในปี 2020 นอกจากนี้ เขายังเป็นนักเตะเอเชียที่ทำประตูมากที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปอีกด้วย
การเป็นนักเตะเอเชียที่ได้ลงเล่นในสโมสรใหญ่ของยุโรปไม่ใช่เรื่องง่าย การจะทำให้แฟนบอลและนักเตะระดับโลกคนอื่นๆ ‘ยอมรับ’ ในฝีเท้าถือเป็นเรื่องยากสาหัส ยิ่งในระดับที่สามารถ ‘เอาชนะ’ นักเตะระดับโลกคนอื่นๆ ในสถิติส่วนตัวได้ ก็หมายความว่าคุณต้องพิเศษจริงๆ ซึ่งซน ฮึงมิน ใช้ฝีเท้าพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
นี่เป็นเรื่องราวของชายที่ชื่อ ซน ฮึงมิน นักเตะจากเกาหลีใต้ที่เขย่าโลกฟุตบอลด้วยฝีเท้าและความมุ่งมั่น ซึ่งมีเบื้องหลังจากความเข้มงวดของพ่อผู้ให้กำเนิด จนสถาปนาตัวเองเป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของเอเชีย และนักเตะระดับโลกในปัจจุบัน
วัยเด็ก พ่อผู้วางเส้นทางชีวิต และกฎเข้มงวด
ซน ฮึงมิน เกิดที่ชุนชอน เมืองคังวอน พ่อของเขาคือ ซน อึงจอง (Son Woong-Jung) อดีตนักฟุตบอลที่ค้าแข้งในช่วงยุค 80 และเคยติดทีมชาติเกาหลีใต้ชุดบี ก่อนแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 28 ปี เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย และกลายมาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลในคังวอน ในวัยเด็ก ซน ฮึงมิน เติบโตมากับการเล่นฟุตบอลแบบจริงจัง และผ่านการฝึกสอนอันเข้มงวดของผู้เป็นพ่อ ที่วางแผนการสำหรับพาเขาสู่ความสำเร็จในฐานะยอดนักเตะไว้เรียบร้อยแล้ว
ซน ฮึงมิน เคยให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษอย่างเดอะการ์เดียน ถึงความหนักหนาในการฝึกซ้อมว่า พ่อของเขาเคยมาเป็นโค้ชให้กับทีมฟุตบอลของโรงเรียนเขา ในตอนที่เขาอายุ 10 ขวบ และให้ทุกคนฝึกเดาะบอลเป็นเวลา 40 นาที หากมีใครทำบอลหล่นพื้น จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หากเขาเป็นคนทำบอลหล่น พ่อของเขาจะสั่งให้ทุกคนเริ่มเดาะบอลใหม่ตั้งแต่ต้น
“เด็กคนอื่นๆ เข้าใจดี เพราะผมเป็นลูกชายของเขา ในตอนนั้นมันเป็นเรื่องยากมาก แต่พอย้อนกลับไปมองจากตอนนี้ ผมว่ามันก็เป็นวิธีที่ถูกต้อง” ซน ฮึงมิน กล่าว
ขณะที่ซน อึงจอง เคยให้สัมภาษณ์กับเดอะโคเรียไทมส์ว่า เขาพยายามฝึกฝนลูกชายจากประสบการณ์ของเขาเอง โดยเน้นไปที่การฝึก ‘พื้นฐาน’ เป็นเวลาหลายปี ทั้งการออกกำลังกายอย่างหนัก ฝึกยิงประตูด้วยเท้าทั้งสองข้างนับพันครั้ง ฝึกกระโดดเชือกหลายพันครั้ง และไม่อนุญาตให้ลูกชายลงเล่นในลีกอย่างเป็นทางการจนกว่าจะอายุครบ 16 ปี
“ผมสอนเขาแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น หกชั่วโมงต่อวัน ทุกวัน ผมไม่ต้องการให้เขาเป็นเหมือนผมตอนเป็นนักฟุตบอล” ซน อึงจอง กล่าว
ในแง่หนึ่ง มันคือการฝึกซ้อมที่แสนโหดสำหรับเด็กคนหนึ่ง แต่อีกแง่หนึ่ง มันคือสิ่งที่ปลูกฝังรากฐานความเป็นมืออาชีพและความสามารถในการเล่นฟุตบอลให้กับซน ฮึงมิน โดยเฉพาะการฝึกยิงประตูด้วยเท้าทั้งสองข้าง ที่ผลลัพธ์ของการฝึกซ้อมปรากฏชัดในปัจจุบันยามซนลงเล่น เพราะเขาเป็นนักเตะที่สามารถยิงประตูด้วยความเฉียบคมได้ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา
ไม่มีใครปฏิเสธว่าการอยู่กับโปรแกรมฝึกอย่างเข้มงวดสาหัสตั้งแต่ยังเด็กของ ซน ฮึงมิน คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในทุกวันนี้
“พ่อจะคิดถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับผมอยู่ตลอดเวลา เขาทำทุกอย่างเพื่อผม หากไม่มีเขาก็คงไม่มีผมในวันนี้ ในฐานะผู้เล่นคนหนึ่ง คุณต้องได้รับความช่วยเหลือ นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือการได้พบกับผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม และต้องมีโชคด้วยเช่นกัน โชคดีที่ผมได้พบทั้งสองสิ่ง” ซน ฮึงมิน กล่าว
เติบโตและฉายแววในฟุตบอลยุโรป
ซน ฮึงมิน เติบโตมากับอคาเดมีของ เอฟซี โซล (FC Seoul) ซึ่งเป็นสโมสรเดียวกับที่ อี ยองพโย อดีตกองหลังทีมชาติเกาหลีใต้ของสโมสรท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส เคยเล่นให้ ก่อนที่จะย้ายมาร่วมสโมสรเยาวชนทีมฮัมบวร์ก (Hamburger SV) ในเยอรมนี ตอนปี 2008 ขณะที่อายุ 16 ปี ตามที่พ่อของเขาวางแผนไว้
ในเวลานั้น ซน อึงจอง ลงทุนย้ายมาพักในโมเต็ลแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์ฝึกของสโมสรฮัมบวร์ก เพื่อคอยสังเกตการณ์และฝึกซ้อมร่างกายตนเองเช่นเดียวกับลูกชาย “ผมไม่เคยมีเวลาหยุดพักเลย พ่อจะอยู่ข้างผมเสมอ และคอยฝึกซ้อมเหมือนกับผม” ซน ฮึงมิน ให้สัมภาษณ์ย้อนไปช่วงเวลาดังกล่าว
อึงจองผู้เป็นพ่อยังมีความเชื่อในเรื่องอาหารกิน โดยเขาเชื่อว่า นมจะช่วยให้เด็กเติบโตและมีสมรรถภาพทางร่างกายที่ดี สิ่งที่เขาให้ซน ฮึงมิน กินบ่อยๆ คือ ‘นมสดราดข้าวสวย’ ราวกับเป็นนมราดคอนเฟล็ก อย่างไรก็ดี ซน ฮึงมิน ไม่เคยมีข้อตำหนิต่ออึงจองผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย เพราะพ่อของเขาเป็นคนที่ทุ่มเทและจริงจังเสมอ ที่สำคัญ เป็นเพราะการอุทิศตนที่เข้มงวดของอึงจองในการสอน นอกจากการยิงประตูแล้ว ซน ฮึงมิน จึงเป็นนักเตะที่มีทักษะเฉพาะที่โดดเด่นอีกข้อคือการเลี้ยงบอล ในวันที่เติบโตเป็นนักเตะที่แข็งแกร่งแล้ว เราจะเห็นภาพการกระชากลากเลื้อยที่รวดเร็วและแข็งแกร่งของ ซน ฮึงมิน บนสนามเสมอ
ความเข้มงวดของซน อึงจอง ที่มีต่อลูกชาย ยังขยับไปถึงในชีวิตประจำวันด้วย ครั้งหนึ่งในวันฉลองครบรอบ 125 ปี การก่อตั้งสโมสรฮัมบวร์ก ซน ฮึงมิน ออกไปย่ำราตรีกับเพื่อนร่วมทีมอย่างสนุกสนาน กระทั่งอึงจองโทรศัพท์ไปเรียกให้กลับและตำหนิที่เขาละเลยสุขภาพในการออกไปเที่ยว แทนที่จะพักผ่อน ผลคือซน ฮึงมิน ยอมกลับบ้านทันที
หลังจากนั้น ซน ฮึงมิน ย้ายมาร่วมทีมไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (Bayer Leverkusen) ในปี 2013 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 10 ล้านยูโร ก่อนจะโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในการทำแฮตทริกตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนามในแมตช์กระชับมิตรทันที และทำให้ชื่อของดาวเตะวัยรุ่นชาวเกาหลีใต้เริ่มเป็นที่พูดถึงในเวทีบุนเดสลีกามากขึ้น
โบยบินสู่พรีเมียร์ลีก
หลังจากบ่มเพาะฝีเท้าในเวทีเยอรมันเป็นเวลา 8 ปี จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในชีวิตของซน ฮึงมิน คือวันที่ 28 สิงหาคม 2015 หลังจากสโมสรท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส จากพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ประกาศคว้าตัวเขาด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร ซึ่งนับเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดของนักเตะเอเชียในการย้ายทีม ทำลายสถิติก่อนหน้าของยอดดาวเตะชาวญี่ปุ่น ฮิเดโทชิ นากาตะ ที่ย้ายจากโรมาไปร่วมทีมปาร์มา ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการผลักดันการย้ายทีมครั้งนี้คือพ่อของเขา เนื่องจากมองว่าลูกชายของตนยังไม่ได้รับโอกาสมากพอ อย่างไรก็ดี ซน ฮึงมิน เคยให้สัมภาษณ์ว่า พ่อของเขาจะเป็นผู้คอยแนะนำในทุกการตัดสินใจครั้งสำคัญ แต่ตัวเขาเองจะเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย
ช่วงเวลาที่ซน ฮึงมิน ข้ามฟากมาสู่อังกฤษ เขาก็ถูกสื่อจับตามองฟอร์มการเล่นในสนามทันที ทั้งการเป็นคนเอเชีย และการมาอยู่ทีมใหญ่อย่างสเปอร์ส แม้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่บ้างในช่วงฤดูกาลแรกๆ เช่น ก่อนฤดูกาล 2016-2017 จะเริ่มต้น เขาเคยแจ้ง เมาริซิโอ ปอเช็ตติโน (Mauricio Pochettino) ผู้จัดการทีมในขณะนั้นว่าขอย้ายออกจากทีม เพื่อโอกาสในการลงเล่นมากขึ้น แต่เขากลับได้รับโอกาสเพื่อพิสูจน์ตัวเองในทีมสเปอร์สแทน
หลังจากนั้น เหมือนว่ากราฟชีวิตของซน ฮึงมิน จะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกฤดูกาล ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีในสนาม และการประสานงานร่วมกันในแนวรุกระหว่างเขากับ แฮร์รี เคน (Harry Kane) ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมชาติอังกฤษ รวมถึงเป็นนักเตะตัวหลักของทีมที่ผู้จัดการทีมจะเลือกใช้งานเสมอ แม้สเปอร์สจะมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมหลายครั้งก็ตาม และอาจมีบางช่วงที่ฟอร์มดร็อปไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดเขาจะกลับมาสู่มาตรฐานเดิมได้เสมอ
ฟุตบอลต้องมาก่อนเรื่องความรัก
แน่นอนว่าเรื่องราวของพ่อผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซน ฮึงมิน ย่อมเป็นที่สนใจของสื่อและแฟนบอลในอังกฤษ นอกจากชีวิตแห่งการฝึกซ้อมที่เข้มงวดตั้งแต่เด็กๆ หนึ่งในกฎระเบียบที่ซน อึงจอง วางไว้ให้ซน ฮึงมิน ปฏิบัติตามและถูกเปิดเผยออกมา คือการห้ามลูกชายแต่งงานจนกว่าจะเลิกเล่นฟุตบอล
แม้ซน ฮึงมิน จะเคยมีข่าวคบหาดูใจกับ บัง มินอา (Bang Min-Ah) สมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป Girl’s Day และยู โซยัง (Yoo So-Young) นักแสดงสาว อดีตสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป After School แต่ท้ายที่สุดก็ต้องจบกันไป จนมีข่าวลือหนาหูจากสื่อเกาหลีใต้ว่า เป็นคำสั่งจากพ่อของเขา
ยังไม่นับข่าวลือเรื่องการออกเดตกับ คิม จีซู (Kim Ji-soo) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ประดับโลกอย่าง BLACKPINK ซึ่งหลายคนมองว่าเหมาะสมกันอย่างมาก แต่ท้ายที่สุด ต้นสังกัดของฝ่ายหญิงอย่าง YG Entertainment ก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
เรื่องการแต่งงาน แม้จะเป็นกฎที่หลายคนฟังแล้วรู้สึกโหดร้าย ยิ่งเทียบกับนักฟุตบอลหลายคนจากยุโรปที่แทบจะแต่งงานมีลูกกันตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ หากแต่ซน ฮึงมิน กลับรู้สึกว่า เขาเห็นด้วยกับพ่อของเขา
ครั้งหนึ่งซน ฮึงมิน ให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อคุณแต่งงาน สิ่งที่ต้องมาเป็นอันดับแรกก็คือครอบครัว ภรรยา และลูก แล้วถึงจะเป็นเรื่องฟุตบอล ผมแค่ต้องการมั่นใจว่า ในขณะที่ผมกำลังลงเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุด ฟุตบอลจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมให้มาเป็นที่หนึ่ง”
“คุณไม่รู้หรอกว่าจะสามารถเล่นในระดับสูงสุดได้นานแค่ไหน แต่เมื่อคุณแขวนสตั๊ดแล้ว หรือตอนที่อายุ 33 หรือ 34 คุณจะคิดเรื่องการสร้างชีวิตที่มั่นคงกับครอบครัวก็ยังไม่สาย” ซน ฮึงมิน กล่าว “ผมมีโอกาสมากมายที่จะทำสิ่งต่างๆ นอกสนาม เช่น การดื่มหรืออะไรทำนองนั้น แต่ประเด็นคือผมไม่ใช่คนประเภทที่ชอบทำสิ่งเหล่านั้น”
ความรับผิดชอบของซน ฮึงมิน ที่มีต่อการเล่นฟุตบอล ไม่ใช่เพียงเพื่อการก้าวไปสู่การเป็นสุดยอดนักเตะหรือเกียรติยศส่วนตนเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดอีกข้อสำหรับเขา คือ ‘แฟนบอล’ โดยเฉพาะแฟนๆ ชาวเกาหลีใต้
“ผมแค่ต้องการแน่ใจว่าได้ทำให้ทุกคนมีความสุขจากการที่ผมลงเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุด ยกตัวอย่างนะ ตอนที่ผมเล่นให้สเปอร์สที่เวมบลีย์ คุณเห็นธงชาติเกาหลีกี่ผืนในสนาม? ผมต้องการรักษาระดับการเล่นของผมให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อตอบแทนพวกเขาเหล่านั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผม” ซนกล่าว
“ผมรู้สึกเหมือนเป็นทูตของเกาหลีใต้ หากที่อังกฤษมีแข่งตอนบ่ายสาม จะเป็นเวลาเที่ยงคืนที่เกาหลี และเมื่อลงเล่นเกมแชมป์เปียนส์ลีกตอนสองทุ่ม ที่เกาหลีคือตีห้า นั่นหมายความว่าแฟนบอลยังคงรอดูการแข่งขันอยู่ จึงเป็นหน้าที่ที่ผมต้องจ่ายคืนให้พวกเขา มันเป็นความรับผิดชอบของผม”
เจิดจรัสยิ่งกว่าศิลปินหรือดารา
ฟอร์บส์โคเรีย (Forbes Korea) ที่ทำการรวบรวมดัชนีบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักที่สุดของประเทศมาตั้งแต่ปี 2009 โดยจะจัดอันดับตามความสำเร็จ อิทธิพล ความนิยม และรายได้ เผยข้อมูลให้เห็นว่า ในยุคที่ประชากรวัยหนุ่มสาวของเกาหลีใต้ต่างคลั่งไคล้อยู่กับปรากฏการณ์เค-ป็อบ รายชื่อในห้าอันดับแรกจึงเต็มไปด้วยศิลปินเค-ป็อป แต่มีนักกีฬาเพียงคนเดียวที่สามารถเจาะเข้าไปในจิตสำนึกของความนิยมนั้นได้ ซึ่งก็คือ ซน ฮึงมิน
ที่เกาหลีใต้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะได้เห็นใบหน้าของ ซน ฮึงมิน ปรากฏบนหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ชื่อดัง โฆษณา โทรทัศน์ หรือป้ายบิลบอร์ด เป็นประจำ ไม่ใช่เพียงการนำเสนอผลงานในสนามของเขาเท่านั้น แต่รวมไปถึงชีวิตส่วนตัวของเขาด้วย
ความนิยมของซน ฮึงมิน ในเกาหลีใต้ ถึงขนาดที่ อี ซังโม (Lee Sungmo) นักข่าวกีฬาชื่อดังเคยให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Goal ว่า “ซนเป็นที่รู้จักอย่างดี และเป็นที่รักของชาวเกาหลีใต้ทุกชั่วอายุคน” เหมือนอย่างที่ชาวอาร์เจนตินามอง ลิโอเนล เมสซี (Lionel Messi) นักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลก นอกจากนี้ ชาวเกาหลีใต้ยังเปรียบเขาเป็นเสมือน ‘สัญลักษณ์ของวงการกีฬาเกาหลีใต้’ ในปัจจุบัน และทำให้นิตยสารฟอร์บส์จัดให้เขาอยู่ในอันดับสามของผู้ทรงอิทธิพลในเกาหลีแห่งปี 2022
“ถ้าเขาอยู่ที่เกาหลี การออกไปข้างนอกเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เพราะทุกคนจะสังเกตเห็นเขาทันที” อี ซังโม กล่าว
‘มากเกินไป’ หรือ ‘ปกติ’ แค่มุมมองของปัจเจก
หากตัดสินจากปัจจุบันที่ ซน ฮึงมิน กลายมาเป็นนักเตะในระดับท็อปคลาสของโลก และถูกขนานนามว่าเป็น ‘นักฟุตบอลเอเชียที่เก่งที่สุดตลอดกาล’ ก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า เบื้องหลังความสำเร็จนี้มาจากการอุทิศให้กับฟุตบอลของเขาและผู้เป็นพ่อ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่หลายคนมักตั้งคำถามเกี่ยวกับความเฮี้ยบของซน อึงจอง ที่ปฏิบัติต่อซน ฮึงมิน ตั้งแต่ยังเด็ก
‘เข้มงวดเกินไป ปกป้องมากเกินไป ควบคุมมากเกินไป’ เหล่านี้คือสิ่งที่หลายคนมักรู้สึก เมื่อได้รู้จักเรื่องราวของ ซน ฮึงมิน กับพ่อของเขา ไม่ใช่เรื่องเกินคาด หากพิจารณาจากมุมมองของความเป็นเด็ก การถูกบังคับให้เล่นกีฬาอย่างจริงจัง แทนที่จะได้เล่นสนุกตามใจชอบ หรือมุมมองของความเป็นวัยรุ่น ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยอิสระเสรีและความขบถ แต่กลับต้องอยู่ในกฎระเบียบอันแสนโหด เพื่อเดินตามเส้นทางอันเข้มข้นของการเป็นนักกีฬาระดับท็อป ย่อมไม่ใช่สิ่งที่หลายคนพึงปรารถนา
แต่ก็นั่นแหละ ใครจะบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ผิดปกติหรือไม่ถูกต้อง ในเมื่อผลลัพธ์ของความสำเร็จปรากฎให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ เงินทอง ซน ฮึงมิน มีทุกอย่างในวันนี้ และสามารถต่อยอดไปสู่เสต็ปต่อไปของชีวิตที่สมบูรณ์และมั่นคงได้อย่างไม่ยากลำบาก
สังคมมักถกเถียงกันอยู่เสมอถึงบทบาทของพ่อและแม่ที่มีต่อลูก ว่าคนเป็นผู้ปกครองควรมีสิทธิ์กำหนดชีวิตของคนเป็นลูกมากน้อยขนาดไหน หรือสมควรทำหรือไม่ โดยเฉพาะสังคมครอบครัวของยุโรป ที่มีทัศนคติว่า คนเป็นลูกควรออกจากบ้านไปใช้ชีวิตกันเองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
“คนยุโรปมักมองคนเอเชียแล้วคิดว่า ‘ทำไมพวกเขาถึงยังอาศัยอยู่กับครอบครัว’ แต่ใครกันล่ะที่ช่วยให้ผมเล่นฟุตบอล? ก็ครอบครัวของผมทั้งนั้น พวกเขายอมอุทิศชีวิตเพื่อช่วยผมในการเล่นฟุตบอล และผมต้องจ่ายคืนให้พวกเขา” คั้รงหนึ่ง ซน เคยให้สัมภาษณ์ เมื่อมีการถามถึงเรื่องของครอบครัว
“ผมรู้สึกขอบคุณครอบครัวผม และทุกโอกาสที่เข้ามา ผมรู้ว่าการเป็นมืออาชีพนั้นสำคัญยิ่งกว่าแค่ความสามารถ เหมือนกับไอดอลของผม คริสเตียโน โรนัลโด ที่ทำงานหนักยิ่งกว่าพรสวรรค์ที่เขามี ผมเห็นนักเตะที่คิดแค่ว่ามีพรสวรรค์ก็เพียงพอมาเยอะแล้ว แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่แม้แต่น้อย
“สำหรับผม เขา (ซน อึงจอง) เป็นทั้งพ่อ และเป็นทั้งโค้ชฟุตบอล เขาเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเป็นนักฟุตบอลเสียอีก และประสบการณ์ของพ่อก็ช่วยผมได้มาก” ซน ฮึงมิน กล่าวถึงพ่อของเขา
ทุกสรรพชีวิตล้วนมีเส้นทางเติบโตและแผนการณ์ที่ถูกวาดไว้ต่างกัน การตัดสินว่าชีวิตของใครถูกหรือผิด อาจเป็นเพียงมุมมองจากปัจเจกบุคคลเพียงเท่านั้น และมันไม่เคยเปลี่ยนคุณค่าของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนคนหนึ่งได้
ความเข้มงวดของพ่อที่ปฏิบัติต่อซน ฮึงมิน ก็เรื่องหนึ่ง แต่น่าคิดเหมือนกันว่า หากไม่ใช่การถูกบังคับฝึกซ้อมแบบเลือดตาแทบกระเด็นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และอยู่ในวินัยแบบเคร่งครัดราวกับทหาร ในวันนี้ แวดวงฟุตบอลเอเชียและระดับโลกจะมีชื่อของ ซน ฮึงมิน อยู่หรือไม่
อ้างอิง
https://www.koreatimes.co.kr/www/sports/2018/09/661_255453.html
https://www.goal.com/story/korea-beckham-son/index.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Son_Heung-min
Tags: Game On, Son Heung Min, Tottenham Hotspurs